ประชาทรรศน์
07 ก.พ. 2009
'สมเจตน์' แขวะ 'แม้ว' น่าสงสารยังตกในห่วงของกรรม แถมต้องชดใช้ ชี้ถ้าหมดกรรมเมื่อไหร่ คงหยุดป่วน โปรยยาหอม ทหาร-ประชาธิปัตย์ สามารถทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา 'เอกยุทธ' จวก 'เทพเทือก' ปัญญาอ่อน ไร้วุฒิภาวะหยาม จนท.ไร้น้ำยาจับ 'ทักษิณ' ด้าน 'ชัยสิทธิ์' แฉ'แม้ว' ถูกสั่งเก็บ ขณะที่ เพื่อไทย ระบุ เลื่อนการเดินทางเข้าพบอดีตนายกฯ กองทัพ- ประชาธิปัตย์ ปัดพัลวันหลังถูกปูดงบลับ 2พันล้านล้างระบอบทักษิณ
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณีมีความขัดแย้งกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่าตนกับนายยงยุทธ ไม่รู้จักกัน ตนทำงานตามหน้าที่ของตน จุดที่เกิดขึ้นคือ เค้าปราศรัย และไล่ตนและน้องชายออกจากเชียงราย ทั้งนี้ตนมองว่านักการเมืองชอบใช้วิธีการแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง ดังนั้นตนจะมุ่งทำหน้าที่ให้มากขึ้นไปอีก จุดที่เกิดขึ้นไม่ใช่การวางแผน แต่เกิดขึ้นจากการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ เอง และพ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่คิดว่า การกระทำของตนเองจะกลายเป็นจุดดับ ซึ่งนักการเมืองก็ซื้อเสียงทั้งนั้น และไม่ระมัดระวัง คิดว่าไม่มีใครกล้าจับ แต่เมื่อข่าวล่วงรู้มาถึงตน ก็มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ และส่งให้คนทีเกี่ยวข้อง ไปดำเนินการตามหน้าที่ ช่วงนั้นยอมรับว่า ถูกอำนาจรัฐที่รุนแรงเข้ามาบีบ แม้ตัวเองยังถูกย้าย แต่มีผู้บังคับบัญชาที่ดี ก็ย้ายให้มีตำแหน่งที่สูงขึ้น
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องความปลอดภัยส่วนตัวไม่ห่วง พูดไปอาจดูเว่อร์ เพราะการเป็นทหาร เราก็สละชีวิต หากจะตายเพราะฝีมือคนๆ เดียว ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ประมาท และไม่กลัว
ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังทำให้บ้านเมืองวุ่นวายนั้น พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ตนสงสาร พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะยังตกอยู่ในห่วงของกรรมและยังต้องชดใช้กรรม ซึ่งกรรมหมดเมื่อไหร่ก็คงหยุด และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าจะโดนลอบสังหารนั้นเป็นการคิดไปเอง ไม่มีใครไปลอบสังหาร คนมีเงินมหาศาล สามารถจ้างรปภ.ดูแลได้ คงไม่มีใครกล้าทำอะไร ซึ่งตนคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างมโนภาพ คิดไปเรื่อยๆ กลางคืนนอนไม่หลับ อยากฝากว่า ไม่ต้องดูอื่นไกล แม้กระทั่งเมียยังไม่ไว้วางใจ และคนอื่นจะไว้วางใจหรือ
ส่วนทีมีกระแสข่าวว่ามีส.ส.กลุ่มหนึ่งจะเดินทางไปหา เพราะส.ส.เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย เป็นคนออกกฎหมายมาบังคับใช้กับคนอื่น แต่ตัวเองกลับเดินไปหาคนหนีคดีอาญาน่าจะขัดต่อจริยธรรม อยากฝากว่า ให้คิดให้รอบคอบว่าทำเหมาะสมหรือไม่
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมาติดคุกก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน หรือถ้าจะพ้น ก็ต้องมาต่อสู้กันทางศาลก่อน พฤติกรรมของเค้าที่ดิ้นรน ก็เพราะไม่ยอมติดคุก เรื่องการต่อรองขอเงินคืนนั้น ต่อรองไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ทุกอย่างขึ้นกับการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ หากเห็นแก่ประเทศชาติ ก็ต้องสงบนิ่ง อย่ามาทำป่วนและสร้างความแตกแยกในแผ่นดิน หากทำได้ วันหนึ่งก็กลับประเทศได้ ส่วนส.ส.ที่ยังหวังกับทักษิณ ก็ไม่ทราบว่า หวังอะไร หวังอะไรไม่ทราบ
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองนั้น พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า การที่ทหารจะเข้าไปสู่การเมือง ไม่ใช่ว่าเข้าไปโดยระบอบเผด็จการ ก็อาจมีทหารเข้าไปลงเลือกตั้ง การบอกว่าทหารไม่ควรยุ่งเกี่ยวการเมืองนั้นไม่ใช่ แต่ไม่ควรเอาตำแหน่งลงไปยุ่งเกี่ยว แต่โดยอาชีพ ควรมีคนเข้าไปเล่นการเมือง เพื่อปกป้อง ไม่ให้การเมืองมาล้วงลูกและแต่งตั้งผู้บังคับบัญชาทหารเพราะจะเป็นผลเสีย การเมืองเราไม่บริสุทธิ์ ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ไม่สามารถดูแลความมั่นคงของประเทศได้
“ขณะนี้ผมมองดูว่า การเมืองต้องมีความเข้าใจ รักษาความถี่-ความห่าง ระหว่างทหารกับการเมือง ทหารคือกลไกของรัฐ แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่จะไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รัฐบาลต้องรักษาความห่าง-ความชิดตรงนี้ไว้ ปล่อยให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นหน้าที่ของทหาร”พล.อ.สมเจตน์กล่าว
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์รัฐบาลประชาธิปัตย์กับทหาร พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันที่สุด มีกฎระเบียบของพรรคในการดูแล มีการพูดถึงความมั่นคงของประเทศชาติเป็นหลัก ระหว่างนี้ทหาร-ประชาธิปัตย์ สามารถทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา
"เอกยุทธ" จวก "เทพเทือก" ปัญญาอ่อนหยามจนท.ไร้น้ำยาจับ "ทักษิณ"
กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการดำเนินการเพื่อนำตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาดำเนินคดี โดยระบุว่า ไม่เชื่อว่า เราจะมีขีดความสามารถที่จะส่งเจ้าหน้าที่ไปไล่จับพ.ต.ท.ทักษิณในต่างประเทศ ได้ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่คนหนีคำพิพากษาธรรมดา แต่เป็นมหาเศรษฐี ตำรวจจะซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อไปไล่จับคงไม่ได้ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ ส่วนกรณีที่ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางการข่าวจะไม่สามารถติดตามได้เลยหรือ นายสุเทพ กล่าวว่า เราคงไม่ทุ่มเทงบประมาณไปไล่ล่าพ.ต.ท.ทักษิณในต่างประเทศ ส่วนการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศนั้น ก็เป็นดุลพินิจของรัฐบาลประเทศนั้น ๆ
นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า การออกมาแสดงความเห็นเช่นนี้ของนายสุเทพ แสดงให้เห็นว่า ไร้วุฒิภาวะมาก เสมือนบอกว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีปัญญาไปจับพ.ต.ท.ทักษิณได้ เพราะเค้าเป็นมหาเศรษฐี มีเครื่องบินส่วนตัว ทั้งที่ความจริงแล้ว การจัดการกับพ.ต.ท.ทักษิณ หากต้องการจัดการจริงๆ แค่ยกเลิกพาสปอร์ตก็จบแล้ว ไม่ใช่พูดปัญญาอ่อนแบบนายสุเทพ ว่าต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไปไล่จับพ.ต.ท.ทักษิณ
“การเอาคนผิดกลับประเทศ วิธีที่ทำได้และง่ายสุดคือ การยกเลิกพาสปอร์ตที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นนักโทษที่หนีคดีแล้ว จะมาอ้างเรื่องเสรีภาพคงไม่ได้ จะเห็นว่าแค่การยกเลิกพาสปอร์ตทางการทูต ก็ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณเคลื่อนไหวไปประเทศต่างๆ ลำบากมากขึ้น เพราะหลายประเทศก็เริ่มปฏิเสธไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศแล้ว เพราะเป็นผู้ต้องโทษ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่า มันได้ผล แต่ก็ไม่ทำ ไม่ยกเลิกพาสปอร์ตทั้งหมด”นายเอกยุทธกล่าวและว่า ที่นายสุเทพพูด ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะหากเป็นฝ่ายค้านหรือส.ส.ธรรมดา ก็คงไม่เป็นไร แต่วันนี้มีตำแหน่งใหญ่ คือรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง มาบอกได้อย่างไรว่า เค้ารวย เจ้าหน้าที่ไม่มีขีดความสามารถ แสดงให้เห็นถึงการแบ่งชนชั้นคนรวย-คนจน และเลือกปฏิบัติ เป็นการพูดรายวันที่กร่างมาก การจะพูดจาอะไรกับสื่อ ควรตรึกตรองให้ดีด้วย เพราะคำพูดมักเป็น “นาย” ตัวเองเสมอ จึงต้องขอประณาม
นายเอกยุทธ กล่าวอีกว่า ที่น่าตลกคือ บอกว่าคงจับพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ แต่ส.ส.ฝ่ายค้านกลับไปหาพ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างเอิกเกริก แถมยังบอกเองว่า เสาร์-อาทิตย์จะไปพบที่ฮ่องกง ทั้งนี้ตนมองว่า ฝ่ายรัฐบาลเองมากกว่า ที่ไม่กล้าและไม่อยากให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา เพราะกลัวจะเกิดความวุ่นวาย ยิ่งหากพ.ต.ท.ทักษิณเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา ก็จะเป็นการจุดชนวนขึ้นมาได้ขณะที่เป็นฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณเองที่ไม่กล้ากลับมา เพราะกลัวติดคุก จึงเป็นเรื่องที่เล่นเกมสงครามน้ำลายใส่กัน
“การไปพบนักโทษหนีคดีของ ส.ส.ฝ่ายค้านนั้น ถือเป็นเรื่องแปลก บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณสร้างผลประโยชน์มากมาย ถือว่าเลอะเทอะ เพราะช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังบูม และเป็นรอบของมัน แต่อยากให้ย้อนกลับไปดูว่า สมัยไทยรักไทยอยู่ ประชาชนมีแต่หนี้สินเพิ่มขึ้น เงินในโครงการประชานิยมที่ลงไป ก็ไม่ได้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มเลย เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ อย่างโอท็อป ก็ไปสนับสนุนให้เค้าผลิตสินค้า แต่หาตลาดให้ไม่ได้ หลายรายก็เริ่มประสบปัญหา รวมถึงเรื่องอีลิทการ์ด บอกว่าเป็นการ์ดที่มีสิทธิอย่างมากขายกันเป็นล้านบาท เอาสิทธิของคนไทยหลายอย่างไปขายให้ต่างชาติ ประเทศไทยไม่ใช่ขอทาน ไม่ใช่ต้องการให้คนจ่ายแค่ 1 ล้านบาท แต่มีสิทธิมากมาย แต่คนไทยเองกลับไม่มีสิทธิ”นายเอกยุทธกล่าวและว่า อยากให้คอยสังเกตว่า ใครมาเป็นรัฐบาลตั้งแต่ปี 2553 ขึ้นไป ก็จะได้รับการเชิดชูว่า เก่ง เพราะเป็นรอบของเศรษฐกิจ ที่จะพลิกฟื้นขึ้นมา
'ชัยสิทธิ์'แฉ'แม้ว'ถูกสั่งเก็บ
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผบ.ส.ส. ลูกพี่ลูกน้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีขบวนการเพื่อต้องการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ จริง ดังนั้น จึงไม่สามารถที่จะเปิดเผยแหล่งที่อยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ การประกาศต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น เชื่อว่าเป็นเพราะถูกฝ่ายอื่นจ้องทำร้ายมาก จึงต้องลุกขึ้นสู้บ้าง อีกทั้ง สถานการณ์พรรคเพื่อไทย จำเป็นแล้วที่จะต้องหาผู้นำที่เข้มแข็งมาต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนการที่จะให้กลับมาต่อสู้คดีในประเทศไทย เป็นเรื่องยาก หากกลับมาต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ซึ่งจะทำให้ตายเร็วขึ้น เพราะในเรือนจำ สังคมรู้ดีว่ามีสภาพอย่างไร
พท.เผยตัวเต็งหน.พรรคคนใหม่'เหลิม-มิ่งขวัญ'มาแรง
นายไพจิตร ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงบุคคลที่เหมาะสมดำรงตำแหน่ง ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรว่าขณะนี้ พรรคยังไม่ตกลงว่าจะเป็นบุคคลใด ระหว่าง 3
คน ที่เป็นแคนดิเดต คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน นายมิ่งขวัญแสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่าพ.อ.อภิวันท์ อาจจะรับตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้ เนื่องจาก เป็น รองประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ดังนั้น ผู้ที่เหมาะสมอยู่ในขณะนี้คือ ร.ต.อ.เฉลิม กับ นายมิ่งขวัญ ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้ง แต่อาจจะไม่ใช่วันที่ 10 ก.พ. นี้ ขณะที่มั่นใจว่า ส.ส.ของพรรค จะไม่ย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น หลังมีกระแสข่าวว่า ส.ส.ในสังกัด จ.เพชรบูรณ์และ สระบุรี เตรียมย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย
นอกจากนี้ ส.ส.นครพนม ยังกล่าวถึง การเดินทางไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต่างประเทศว่า ส่วนตัวจะเดินทางไปพบ เพื่อให้กำลังใจ แต่ที่ไม่สามารถบอกสถานที่พำนักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ เพราะเกรงเป็นเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
พท.ยกเลิกพบ'แม้ว'
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ส.ส.ของพรรคที่จะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง ระหว่างวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์นี้ ต้องยกเลิกการเดินทางกะทันหัน เนื่องจากได้รับการประสานจาก นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยว่า ยังไม่ทราบที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชัดเจน โดยหลังจากนี้จะประสานกันใหม่อีกครั้ง โดยอาจจะเป็นสัปดาห์หน้า
นายประชากล่าวต่ออีกว่า ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า เรื่องการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอยู่ ไม่ได้ตัดทิ้ง ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยก็ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน ใครคิดที่จะทำเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันอยากเป็นใหญ่เกินตัว มีแต่ความอิจฉา โดยได้วางแผนคิดอยู่าภายในประเทศไทย เพราะกังวลและกลัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาสู่ตำแหน่งอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามขณะนี้พรรคกำลังเตรียมข้อมูลเรื่องการอภิปรายไม่ ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งมีข้อมูลจำนวนมาก กำลังจัดทำให้เป็นระบบ นอกจากเรื่องปัญหาที่ดิน การแจกถุงยังชีพปลากระป๋องเน่า ยังมีเรื่องการฟอกเงินในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล และมีคนของพรรคการเมืองหนึ่งถูกจับที่บ่อนประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือไม่ เรื่องนี้จะถูกเปิดเผยในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
กองทัพ- ประชาธิปัตย์ ปัดพัลวันหลังถูกปูดงบลับ 2พันล้านล้างระบอบทักษิณ
จากประเด็นร้อนที่นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และในฐานะคณะทำงานฝ่านการเมืองพรรคเพื่อไทย ได้เปิดโปงว่ามีพรรคประชาธิปัตย์ และกองทัพ ร่วมกันทำลายพรรคเพื่อไทย กลุ่มนปช. และผู้ที่ให้การสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยใช้งบประมาณ 2 พันล้านบาท เป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ และกองทัพออกโรงตอบโต้ชี้แจงในข้อเท็จจริงกันใหญ่ โดยล่าสุดในวันนี้ (7 ก.พ.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวแถลงตอบโต้กรณีว่า คำพูดดังกล่าวถือเป็นการจงใจใส่ร้ายโดยไม่ละอายต่อผลกระทบถึงสถาบันที่อยู่ เหนือความขัดแย้ง จึงขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยและไม่มีวันใช้วิธีการเช่นเดียวกับ พรรคเพื่อไทยพาดพิงสถาบันสูงสุดของชาติ หรือสถาบันอื่นๆ เพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า อยากให้นายณัฐวุฒิกลับไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาของกลุ่มนปช.ทั้งกรณีหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ ที่มีการดำเนินการจับกุม น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด และ นายสุชาติ นาคบางไทร รวมถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงบางคน ตะโกนว่า “ทักษิณจงเจริญ” จนถูกแจ้งจับดำเนินคดี ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนายณัฐวุฒิ เคยสำนึกผิดและรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถาบันสูงสุดของชาติบ้าง หรือไม่ อย่างไรก็ตามถ้าคิดว่าการดำเนินงานเพื่อปกป้องเทิดทูนสถาบันอันเป็นที่เคารพ เป็นการกำจัดฝ่ายตรงข้ามของพรรคประชาธิปัตย์ อยากบอกว่าใครก็ตามที่ดึงสถาบันเข้ามาเพื่อหวังให้เกิดความขัดแย้งทางการ เมืองถือเป็นศัตรูของคนไทยทั้งประเทศ
แขวะ'พท.'วิ่งเต้นหาหัวหน้าพรรคไกลถึงฮ่องกง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปิดเผยเรื่องการใช้งบ 2,000 ล้านบาท ในกรณีดังกล่าวนั้นได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวแล้วหรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ระบุว่ายังไม่เห็นรายละเอียด เป็นเพียงการให้สัมภาษณ์ของนายณัฐวุฒิเท่านั้น และรู้สึกแปลกใจว่าในเมื่อจุดประสงค์ 4 ข้อของแผนงานดังกล่าว เน้นเรื่องการปกป้องสถาบัน เหตุใดจึงไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้ นพ.บุรณัชย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เกาะฮ่องกง ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ว่า ตนมองว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยต้องเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเป็นเพราะต้องการหารือเกี่ยวกับการตั้งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ อย่างที่แกนนำพรรคเพื่อไทยระบุว่าจะพิจารณาในวันที่ 10 ก.พ.นี้ แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่สามารถหาหัวหน้าพรรคตามกระบวนการภาย ในของพรรค แต่จะต้องเข้าไปวิ่งเต้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อแต่งตั้งหัวหน้าพรรคเพราะตำแหน่งนี้ถือว่าสำคัญ เนื่องจากต้องได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นผู้นำฝ่ายค้าน รวมทั้งกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และที่สำคัญเพื่อหวังไปถึงการเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องไปขอความเห็นชอบจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
อย่างไรก็ตามบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคจะต้องมาขับเคลื่อนแผน ยุทธศาสตร์ 9 ทัพ ที่มีเนื้อหาให้มวลชนมาต่อสู้นอกสภา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ห่วงใยในประเด็นนี้ว่าจะนำไปสู่การสร้างสถานการณ์ความ ขัดแย้งและเกิดความแตกแยกในสังคมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นผ่านการโฟนอิน แต่ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายของบ้านเมืองด้วยการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ขอยืนยันว่า พรรคได้ขอให้รัฐบาลรับรองเรื่องความปลอดภัย จะไม่มีเหตุการณ์เหมือนครั้งมีเหตุคาร์บอม
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่ที่มาเก๊า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งที่มีข่าวว่าทางการจีนไม่อนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ประเทศจีน เรื่องนี้จะดำเนินการและประสานกับทางจีนหรือไม่อย่างไร นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการพิจารณาภายในของจีน ที่จะกำหนดการเข้า ออกของบุคคล ซึ่งมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างออกไป จึงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขอวีซ่าไปที่จีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่ ส่วนเกาะฮ่องกง หรือ เกาะมาเก๊า แม้จะอยู่ภายใต้การปกครองของจีนแต่ก็ถือว่าเป็นเขตพื้นที่ปกครองพิเศษ จึงต้องไปดูหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน
ปชป.จ่อสืบคดีเลขาฯ'เหลิม'กินป่ายันไม่ดิสเครดิตใคร
นอกจากนี้ นพ.บุรณัชย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่า ร.ต.อเฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรว่า ต้องขอถามก่อนว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุม พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ อดีตเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย(ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมาในข้อหา ร่วมกับภรรยา บุกรุกที่ป่าสงวนของอุทยานแห่งชาติป่าแม่ระกา จ.กำแพงเพชร ซึ่งตรวจพบว่ามีการบุกรุกที่เกินกว่าการแสดง
สิทธิที่ได้จับจอง ซึ่งอยู่ในช่วงที่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้งที่ในระหว่างนั้นมีการเข้มงวดเรื่องการบุกรุกที่ป่าสงวน จึงขอถามไปถึง ร.ต.อ.เฉลิม ว่า ให้คนของตัวเอง ดำเนินการผิดกฎหมาย ในระหว่างที่มีตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ อย่างไรก็ตามพรรคจะมอบหมายให้ตัวแทนของพรรคไปสืบค้นข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะหวังสกัดกั้น ร.ต.อ.เฉลิม ที่จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่พรรคมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานและเปิดเผยข้อเท็จจริงให้สาธารณะชนได้รับ ทราบก่อนที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะเข้ามาอาสาทำงานทางการเมือง และต้องมีหน้าที่ที่จะปกป้องสถาบัน ดังนั้นการเปิดเผยเรื่องนี้ถือเป็นข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่ต้องทำตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เพราะอาจเชื่อมโยงไปถึงคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้นจึงต้องสืบค้นต่อไปว่า ร.ต.อ.เฉลิม มีส่วนรับทราบเกี่ยวกับการกระทำของบุคคลใกล้ชิดหรือไม่ ไม่ได้หวังที่จะดิสเครดิต ร.ต.อ.เฉลิม อย่างที่มีการตั้งข้อสังเกต
ผบ.สส.เย้ย'ทักษิณ'พูดซ้ำซากยันทบ.ไม่มีงบลับ
ขณะที่พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงกรณีงบลับ 2 พันล้านว่า กองทัพไม่มีงบลับที่จะนำมาดำเนินการตามที่มีการกล่าวอ้าง ส่วนการเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้ทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ จะมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยในสังคมไทยหรือไม่ ส่วนตัวไม่มีความเป็นห่วงเป็นในเรื่องนี้ ทุกคนทำงานตามหน้าที่ สังคมก็ทราบสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นดีอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าสังคมมีความต้องการจะให้ประเทศเดินหน้าต่อไป และการออกมาพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีไม่พบว่าจะมีเรื่องอะไรใหม่
ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวอีกว่า สำหรับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ เป็นการชุมนุมที่สามารถทำได้ตามวิถีแห่งประชาธิปไตย แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ในส่วนของกองทัพไม่ได้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นหน้าที่ของตำรวจ
'เดอะตู่' แขวะ'เทือก' ปัดตาใส งบ 2 พันล้าน
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีงบลับของกองทัพ 2,000 ล้านบาทเพื่อใช้สร้างความสมานฉันท์ ว่าเป็นลักษณะการดำเนินการเช่นเดียวกับสมัยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ( คมช.) เพื่อหวังหาประโยชน์จากการใช้งบประมาณ เพราะเมื่อพิจารณาเนื้อหายุทธศาตร์เป็นการทำลายล้างพรรคเพื่อไทยโดยตรง เพราะหากเป็นไปตามที่อ้างว่าต้องการสร้างความสมานฉันท์ ทำไมต้องทำเป็นงบลับ ไม่เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากองทัพเป็นผู้ปกครองรัฐบาล ไม่ใช้รัฐบาลปกครองกองทัพอย่างที่เข้าใจ
ส่วนที่นายสุเทพบอกว่าไม่ทราบเรื่องนี้ ต้องถามกลับไปว่า นายสุเทพเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีเหตุใดจึงไม่ทราบ และที่สำคัญนายสุเทพไม่ได้ปฎิเสธว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ตรงนี้จะพิสูจน์ว่ากรรมจะเป็นเครื่องชี้เจตนาของผู้กระทำ ส่วนการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นนายจตุพรกล่าวว่า ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะใช้เป็นหมัดเด็ดล้มล้างรัฐบาล โดยขณะนี้รอเพียงเอกสารชิ้นสุดท้ายให้สมบูรณ์ครบถ้วนก็จะยื่นอภิปรายไม่ไว้ วางใจให้ประชาชนได้เห็นธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเมื่อได้เอกสารครบถ้วนแล้วก็จะประกาศวันยื่นอภิปราย โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้กลุ่มคนเสื้อแดงจะนัดหมายการชุมนุมกดดันรัฐบาล ว่าจะใช้วันและสถานที่ใดควบคู่ไปกับการดำเนินงานในสภา
เพื่อไทยแฉแหลกรบ.จับมือกองทัพ จัดงบลับทำลายเสื้อแดง
อย่างไรก็ดีประเด็นร้อนดังกล่าว ได้เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ โดยนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ คณะทำงานฝ่ายการเมืองพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และนางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา ร่วมแถลงข่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีความตั้งใจจะกลับมายังประเทศไทยเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยณัฐวุฒิ กล่าวว่า การกล่าวเช่นนั้นเป็นการกล่าวหาที่ฉกาจฉกรรจ์ ไม่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูง ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีการดำเนินการหลายๆ ด้าน อาทิ ทางกฎหมาย และในสภาผู้แทนราษฎรและด้านอื่นๆ
ทั้งนี้ตนมีข้อมูลสำคัญที่จะขอตั้งคำถามไปยังรัฐบาลชุดนี้ และนายทหารใหญ่บางนาย ซึ่งตนมีเอกสารเป็นสำเนาพาวเวอร์พอยท์ ในการประชุมฝ่ายยุทธการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกซึ่งประชุมเมื่อต้นปี 2552 โดยมีการสรุปเนื้อหาสาระโครงการดังกล่าวเป็นการใช้งบลับของรัฐบาลในการ ดำเนินงาน ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการมี 4 ข้อหลักๆ ดังนี้ 1.ปกป้องและเทิดทูนให้มีความมั่นคงในการเป็นศูนย์รวมจิตใจและความสามัคคี 2.ช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตโดยการนำโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน3.สร้างความเข้าใจ ความสามัคคี ความสมานฉันท์ ของประชาชนในชาติโดยใช้แนวทางสันติวิธี และ 4.สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากภัยความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ โดยทราบมาว่าโครงการในลักษณะนี้ เป็นการสร้างความสามัคคี ไม่น่ามีเหตุผลใดที่รัฐบาลจะดำเนินการโดยทางลับ นอกจากนี้ ที่สำคัญมีรายงานบันทึกแนบท้ายการประชุมว่า กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ฉะนั้น ในกรณีนี้หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้จับมือกับผู้บังคับบัญชาเหล่าทัพ โดยมีการกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับ รัฐบาลเท่านั้น ซึ่งโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากเกือบ 2,000 ล้านบาท
แกนนำนปช.กล่าวต่ออีกว่า ตนมีความสงสัยที่ต้องการจะสอบถามไปยังนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่าถ้าทำโครงการนี้โดยบริสุทธิ์ใจทำไมต้องปิดลับ
และต้องโฟกัสเป้าหมายที่กลุ่มคนเสื้อแดง จากข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏในเอกสารทำให้ตนเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จับมือนายทหาร ผู้บัญชาการเหล่าทัพบางคนกำจัดฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล โดยอ้างอิงสถาบันเบื้องสูง เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจจริงต้องเปิดเผยและทำกับคนทุกกลุ่มทั่วประเทศ ไม่ใช่มุบมิบทำ
พร้อมกันนี้นายณัฐวุฒิกล่าวเปิดเผยว่า ตนได้สอบถามไปยังพี่น้องเสื้อแดงในส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคอีสาน ทราบว่า กองกำลังของเหล่าทัพ และกองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร( กอ.รมน.)ได้ลงพื้นที่ไปพบปะพูดคุยกับประชาชน ซึ่งตนเข้าใจว่าคือภารกิจนี้ใช่หรือไม่ ตนหวังว่าคำถามทั้งหมดจะได้รับคำตอบจากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
07 ก.พ. 2009
'สมเจตน์' แขวะ 'แม้ว' น่าสงสารยังตกในห่วงของกรรม แถมต้องชดใช้ ชี้ถ้าหมดกรรมเมื่อไหร่ คงหยุดป่วน โปรยยาหอม ทหาร-ประชาธิปัตย์ สามารถทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา 'เอกยุทธ' จวก 'เทพเทือก' ปัญญาอ่อน ไร้วุฒิภาวะหยาม จนท.ไร้น้ำยาจับ 'ทักษิณ' ด้าน 'ชัยสิทธิ์' แฉ'แม้ว' ถูกสั่งเก็บ ขณะที่ เพื่อไทย ระบุ เลื่อนการเดินทางเข้าพบอดีตนายกฯ กองทัพ- ประชาธิปัตย์ ปัดพัลวันหลังถูกปูดงบลับ 2พันล้านล้างระบอบทักษิณ
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณีมีความขัดแย้งกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่าตนกับนายยงยุทธ ไม่รู้จักกัน ตนทำงานตามหน้าที่ของตน จุดที่เกิดขึ้นคือ เค้าปราศรัย และไล่ตนและน้องชายออกจากเชียงราย ทั้งนี้ตนมองว่านักการเมืองชอบใช้วิธีการแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง ดังนั้นตนจะมุ่งทำหน้าที่ให้มากขึ้นไปอีก จุดที่เกิดขึ้นไม่ใช่การวางแผน แต่เกิดขึ้นจากการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ เอง และพ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่คิดว่า การกระทำของตนเองจะกลายเป็นจุดดับ ซึ่งนักการเมืองก็ซื้อเสียงทั้งนั้น และไม่ระมัดระวัง คิดว่าไม่มีใครกล้าจับ แต่เมื่อข่าวล่วงรู้มาถึงตน ก็มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ และส่งให้คนทีเกี่ยวข้อง ไปดำเนินการตามหน้าที่ ช่วงนั้นยอมรับว่า ถูกอำนาจรัฐที่รุนแรงเข้ามาบีบ แม้ตัวเองยังถูกย้าย แต่มีผู้บังคับบัญชาที่ดี ก็ย้ายให้มีตำแหน่งที่สูงขึ้น
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องความปลอดภัยส่วนตัวไม่ห่วง พูดไปอาจดูเว่อร์ เพราะการเป็นทหาร เราก็สละชีวิต หากจะตายเพราะฝีมือคนๆ เดียว ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ประมาท และไม่กลัว
ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังทำให้บ้านเมืองวุ่นวายนั้น พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ตนสงสาร พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะยังตกอยู่ในห่วงของกรรมและยังต้องชดใช้กรรม ซึ่งกรรมหมดเมื่อไหร่ก็คงหยุด และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าจะโดนลอบสังหารนั้นเป็นการคิดไปเอง ไม่มีใครไปลอบสังหาร คนมีเงินมหาศาล สามารถจ้างรปภ.ดูแลได้ คงไม่มีใครกล้าทำอะไร ซึ่งตนคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างมโนภาพ คิดไปเรื่อยๆ กลางคืนนอนไม่หลับ อยากฝากว่า ไม่ต้องดูอื่นไกล แม้กระทั่งเมียยังไม่ไว้วางใจ และคนอื่นจะไว้วางใจหรือ
ส่วนทีมีกระแสข่าวว่ามีส.ส.กลุ่มหนึ่งจะเดินทางไปหา เพราะส.ส.เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย เป็นคนออกกฎหมายมาบังคับใช้กับคนอื่น แต่ตัวเองกลับเดินไปหาคนหนีคดีอาญาน่าจะขัดต่อจริยธรรม อยากฝากว่า ให้คิดให้รอบคอบว่าทำเหมาะสมหรือไม่
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมาติดคุกก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน หรือถ้าจะพ้น ก็ต้องมาต่อสู้กันทางศาลก่อน พฤติกรรมของเค้าที่ดิ้นรน ก็เพราะไม่ยอมติดคุก เรื่องการต่อรองขอเงินคืนนั้น ต่อรองไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ทุกอย่างขึ้นกับการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ หากเห็นแก่ประเทศชาติ ก็ต้องสงบนิ่ง อย่ามาทำป่วนและสร้างความแตกแยกในแผ่นดิน หากทำได้ วันหนึ่งก็กลับประเทศได้ ส่วนส.ส.ที่ยังหวังกับทักษิณ ก็ไม่ทราบว่า หวังอะไร หวังอะไรไม่ทราบ
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองนั้น พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า การที่ทหารจะเข้าไปสู่การเมือง ไม่ใช่ว่าเข้าไปโดยระบอบเผด็จการ ก็อาจมีทหารเข้าไปลงเลือกตั้ง การบอกว่าทหารไม่ควรยุ่งเกี่ยวการเมืองนั้นไม่ใช่ แต่ไม่ควรเอาตำแหน่งลงไปยุ่งเกี่ยว แต่โดยอาชีพ ควรมีคนเข้าไปเล่นการเมือง เพื่อปกป้อง ไม่ให้การเมืองมาล้วงลูกและแต่งตั้งผู้บังคับบัญชาทหารเพราะจะเป็นผลเสีย การเมืองเราไม่บริสุทธิ์ ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ไม่สามารถดูแลความมั่นคงของประเทศได้
“ขณะนี้ผมมองดูว่า การเมืองต้องมีความเข้าใจ รักษาความถี่-ความห่าง ระหว่างทหารกับการเมือง ทหารคือกลไกของรัฐ แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่จะไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รัฐบาลต้องรักษาความห่าง-ความชิดตรงนี้ไว้ ปล่อยให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นหน้าที่ของทหาร”พล.อ.สมเจตน์กล่าว
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์รัฐบาลประชาธิปัตย์กับทหาร พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันที่สุด มีกฎระเบียบของพรรคในการดูแล มีการพูดถึงความมั่นคงของประเทศชาติเป็นหลัก ระหว่างนี้ทหาร-ประชาธิปัตย์ สามารถทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา
"เอกยุทธ" จวก "เทพเทือก" ปัญญาอ่อนหยามจนท.ไร้น้ำยาจับ "ทักษิณ"
กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการดำเนินการเพื่อนำตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาดำเนินคดี โดยระบุว่า ไม่เชื่อว่า เราจะมีขีดความสามารถที่จะส่งเจ้าหน้าที่ไปไล่จับพ.ต.ท.ทักษิณในต่างประเทศ ได้ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่คนหนีคำพิพากษาธรรมดา แต่เป็นมหาเศรษฐี ตำรวจจะซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อไปไล่จับคงไม่ได้ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ ส่วนกรณีที่ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางการข่าวจะไม่สามารถติดตามได้เลยหรือ นายสุเทพ กล่าวว่า เราคงไม่ทุ่มเทงบประมาณไปไล่ล่าพ.ต.ท.ทักษิณในต่างประเทศ ส่วนการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศนั้น ก็เป็นดุลพินิจของรัฐบาลประเทศนั้น ๆ
นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า การออกมาแสดงความเห็นเช่นนี้ของนายสุเทพ แสดงให้เห็นว่า ไร้วุฒิภาวะมาก เสมือนบอกว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีปัญญาไปจับพ.ต.ท.ทักษิณได้ เพราะเค้าเป็นมหาเศรษฐี มีเครื่องบินส่วนตัว ทั้งที่ความจริงแล้ว การจัดการกับพ.ต.ท.ทักษิณ หากต้องการจัดการจริงๆ แค่ยกเลิกพาสปอร์ตก็จบแล้ว ไม่ใช่พูดปัญญาอ่อนแบบนายสุเทพ ว่าต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไปไล่จับพ.ต.ท.ทักษิณ
“การเอาคนผิดกลับประเทศ วิธีที่ทำได้และง่ายสุดคือ การยกเลิกพาสปอร์ตที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นนักโทษที่หนีคดีแล้ว จะมาอ้างเรื่องเสรีภาพคงไม่ได้ จะเห็นว่าแค่การยกเลิกพาสปอร์ตทางการทูต ก็ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณเคลื่อนไหวไปประเทศต่างๆ ลำบากมากขึ้น เพราะหลายประเทศก็เริ่มปฏิเสธไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศแล้ว เพราะเป็นผู้ต้องโทษ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่า มันได้ผล แต่ก็ไม่ทำ ไม่ยกเลิกพาสปอร์ตทั้งหมด”นายเอกยุทธกล่าวและว่า ที่นายสุเทพพูด ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะหากเป็นฝ่ายค้านหรือส.ส.ธรรมดา ก็คงไม่เป็นไร แต่วันนี้มีตำแหน่งใหญ่ คือรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง มาบอกได้อย่างไรว่า เค้ารวย เจ้าหน้าที่ไม่มีขีดความสามารถ แสดงให้เห็นถึงการแบ่งชนชั้นคนรวย-คนจน และเลือกปฏิบัติ เป็นการพูดรายวันที่กร่างมาก การจะพูดจาอะไรกับสื่อ ควรตรึกตรองให้ดีด้วย เพราะคำพูดมักเป็น “นาย” ตัวเองเสมอ จึงต้องขอประณาม
นายเอกยุทธ กล่าวอีกว่า ที่น่าตลกคือ บอกว่าคงจับพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ แต่ส.ส.ฝ่ายค้านกลับไปหาพ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างเอิกเกริก แถมยังบอกเองว่า เสาร์-อาทิตย์จะไปพบที่ฮ่องกง ทั้งนี้ตนมองว่า ฝ่ายรัฐบาลเองมากกว่า ที่ไม่กล้าและไม่อยากให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา เพราะกลัวจะเกิดความวุ่นวาย ยิ่งหากพ.ต.ท.ทักษิณเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา ก็จะเป็นการจุดชนวนขึ้นมาได้ขณะที่เป็นฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณเองที่ไม่กล้ากลับมา เพราะกลัวติดคุก จึงเป็นเรื่องที่เล่นเกมสงครามน้ำลายใส่กัน
“การไปพบนักโทษหนีคดีของ ส.ส.ฝ่ายค้านนั้น ถือเป็นเรื่องแปลก บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณสร้างผลประโยชน์มากมาย ถือว่าเลอะเทอะ เพราะช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังบูม และเป็นรอบของมัน แต่อยากให้ย้อนกลับไปดูว่า สมัยไทยรักไทยอยู่ ประชาชนมีแต่หนี้สินเพิ่มขึ้น เงินในโครงการประชานิยมที่ลงไป ก็ไม่ได้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มเลย เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ อย่างโอท็อป ก็ไปสนับสนุนให้เค้าผลิตสินค้า แต่หาตลาดให้ไม่ได้ หลายรายก็เริ่มประสบปัญหา รวมถึงเรื่องอีลิทการ์ด บอกว่าเป็นการ์ดที่มีสิทธิอย่างมากขายกันเป็นล้านบาท เอาสิทธิของคนไทยหลายอย่างไปขายให้ต่างชาติ ประเทศไทยไม่ใช่ขอทาน ไม่ใช่ต้องการให้คนจ่ายแค่ 1 ล้านบาท แต่มีสิทธิมากมาย แต่คนไทยเองกลับไม่มีสิทธิ”นายเอกยุทธกล่าวและว่า อยากให้คอยสังเกตว่า ใครมาเป็นรัฐบาลตั้งแต่ปี 2553 ขึ้นไป ก็จะได้รับการเชิดชูว่า เก่ง เพราะเป็นรอบของเศรษฐกิจ ที่จะพลิกฟื้นขึ้นมา
'ชัยสิทธิ์'แฉ'แม้ว'ถูกสั่งเก็บ
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผบ.ส.ส. ลูกพี่ลูกน้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีขบวนการเพื่อต้องการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ จริง ดังนั้น จึงไม่สามารถที่จะเปิดเผยแหล่งที่อยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ การประกาศต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น เชื่อว่าเป็นเพราะถูกฝ่ายอื่นจ้องทำร้ายมาก จึงต้องลุกขึ้นสู้บ้าง อีกทั้ง สถานการณ์พรรคเพื่อไทย จำเป็นแล้วที่จะต้องหาผู้นำที่เข้มแข็งมาต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนการที่จะให้กลับมาต่อสู้คดีในประเทศไทย เป็นเรื่องยาก หากกลับมาต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ซึ่งจะทำให้ตายเร็วขึ้น เพราะในเรือนจำ สังคมรู้ดีว่ามีสภาพอย่างไร
พท.เผยตัวเต็งหน.พรรคคนใหม่'เหลิม-มิ่งขวัญ'มาแรง
นายไพจิตร ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงบุคคลที่เหมาะสมดำรงตำแหน่ง ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรว่าขณะนี้ พรรคยังไม่ตกลงว่าจะเป็นบุคคลใด ระหว่าง 3
คน ที่เป็นแคนดิเดต คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน นายมิ่งขวัญแสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่าพ.อ.อภิวันท์ อาจจะรับตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้ เนื่องจาก เป็น รองประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ดังนั้น ผู้ที่เหมาะสมอยู่ในขณะนี้คือ ร.ต.อ.เฉลิม กับ นายมิ่งขวัญ ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้ง แต่อาจจะไม่ใช่วันที่ 10 ก.พ. นี้ ขณะที่มั่นใจว่า ส.ส.ของพรรค จะไม่ย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น หลังมีกระแสข่าวว่า ส.ส.ในสังกัด จ.เพชรบูรณ์และ สระบุรี เตรียมย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย
นอกจากนี้ ส.ส.นครพนม ยังกล่าวถึง การเดินทางไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต่างประเทศว่า ส่วนตัวจะเดินทางไปพบ เพื่อให้กำลังใจ แต่ที่ไม่สามารถบอกสถานที่พำนักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ เพราะเกรงเป็นเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
พท.ยกเลิกพบ'แม้ว'
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ส.ส.ของพรรคที่จะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง ระหว่างวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์นี้ ต้องยกเลิกการเดินทางกะทันหัน เนื่องจากได้รับการประสานจาก นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยว่า ยังไม่ทราบที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชัดเจน โดยหลังจากนี้จะประสานกันใหม่อีกครั้ง โดยอาจจะเป็นสัปดาห์หน้า
นายประชากล่าวต่ออีกว่า ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า เรื่องการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอยู่ ไม่ได้ตัดทิ้ง ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยก็ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน ใครคิดที่จะทำเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันอยากเป็นใหญ่เกินตัว มีแต่ความอิจฉา โดยได้วางแผนคิดอยู่าภายในประเทศไทย เพราะกังวลและกลัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาสู่ตำแหน่งอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามขณะนี้พรรคกำลังเตรียมข้อมูลเรื่องการอภิปรายไม่ ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งมีข้อมูลจำนวนมาก กำลังจัดทำให้เป็นระบบ นอกจากเรื่องปัญหาที่ดิน การแจกถุงยังชีพปลากระป๋องเน่า ยังมีเรื่องการฟอกเงินในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล และมีคนของพรรคการเมืองหนึ่งถูกจับที่บ่อนประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือไม่ เรื่องนี้จะถูกเปิดเผยในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
กองทัพ- ประชาธิปัตย์ ปัดพัลวันหลังถูกปูดงบลับ 2พันล้านล้างระบอบทักษิณ
จากประเด็นร้อนที่นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และในฐานะคณะทำงานฝ่านการเมืองพรรคเพื่อไทย ได้เปิดโปงว่ามีพรรคประชาธิปัตย์ และกองทัพ ร่วมกันทำลายพรรคเพื่อไทย กลุ่มนปช. และผู้ที่ให้การสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยใช้งบประมาณ 2 พันล้านบาท เป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ และกองทัพออกโรงตอบโต้ชี้แจงในข้อเท็จจริงกันใหญ่ โดยล่าสุดในวันนี้ (7 ก.พ.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวแถลงตอบโต้กรณีว่า คำพูดดังกล่าวถือเป็นการจงใจใส่ร้ายโดยไม่ละอายต่อผลกระทบถึงสถาบันที่อยู่ เหนือความขัดแย้ง จึงขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยและไม่มีวันใช้วิธีการเช่นเดียวกับ พรรคเพื่อไทยพาดพิงสถาบันสูงสุดของชาติ หรือสถาบันอื่นๆ เพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า อยากให้นายณัฐวุฒิกลับไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาของกลุ่มนปช.ทั้งกรณีหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ ที่มีการดำเนินการจับกุม น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด และ นายสุชาติ นาคบางไทร รวมถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงบางคน ตะโกนว่า “ทักษิณจงเจริญ” จนถูกแจ้งจับดำเนินคดี ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนายณัฐวุฒิ เคยสำนึกผิดและรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถาบันสูงสุดของชาติบ้าง หรือไม่ อย่างไรก็ตามถ้าคิดว่าการดำเนินงานเพื่อปกป้องเทิดทูนสถาบันอันเป็นที่เคารพ เป็นการกำจัดฝ่ายตรงข้ามของพรรคประชาธิปัตย์ อยากบอกว่าใครก็ตามที่ดึงสถาบันเข้ามาเพื่อหวังให้เกิดความขัดแย้งทางการ เมืองถือเป็นศัตรูของคนไทยทั้งประเทศ
แขวะ'พท.'วิ่งเต้นหาหัวหน้าพรรคไกลถึงฮ่องกง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปิดเผยเรื่องการใช้งบ 2,000 ล้านบาท ในกรณีดังกล่าวนั้นได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวแล้วหรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ระบุว่ายังไม่เห็นรายละเอียด เป็นเพียงการให้สัมภาษณ์ของนายณัฐวุฒิเท่านั้น และรู้สึกแปลกใจว่าในเมื่อจุดประสงค์ 4 ข้อของแผนงานดังกล่าว เน้นเรื่องการปกป้องสถาบัน เหตุใดจึงไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้ นพ.บุรณัชย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เกาะฮ่องกง ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ว่า ตนมองว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยต้องเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเป็นเพราะต้องการหารือเกี่ยวกับการตั้งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ อย่างที่แกนนำพรรคเพื่อไทยระบุว่าจะพิจารณาในวันที่ 10 ก.พ.นี้ แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่สามารถหาหัวหน้าพรรคตามกระบวนการภาย ในของพรรค แต่จะต้องเข้าไปวิ่งเต้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อแต่งตั้งหัวหน้าพรรคเพราะตำแหน่งนี้ถือว่าสำคัญ เนื่องจากต้องได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นผู้นำฝ่ายค้าน รวมทั้งกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และที่สำคัญเพื่อหวังไปถึงการเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องไปขอความเห็นชอบจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
อย่างไรก็ตามบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคจะต้องมาขับเคลื่อนแผน ยุทธศาสตร์ 9 ทัพ ที่มีเนื้อหาให้มวลชนมาต่อสู้นอกสภา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ห่วงใยในประเด็นนี้ว่าจะนำไปสู่การสร้างสถานการณ์ความ ขัดแย้งและเกิดความแตกแยกในสังคมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นผ่านการโฟนอิน แต่ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายของบ้านเมืองด้วยการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ขอยืนยันว่า พรรคได้ขอให้รัฐบาลรับรองเรื่องความปลอดภัย จะไม่มีเหตุการณ์เหมือนครั้งมีเหตุคาร์บอม
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่ที่มาเก๊า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งที่มีข่าวว่าทางการจีนไม่อนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ประเทศจีน เรื่องนี้จะดำเนินการและประสานกับทางจีนหรือไม่อย่างไร นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการพิจารณาภายในของจีน ที่จะกำหนดการเข้า ออกของบุคคล ซึ่งมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างออกไป จึงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขอวีซ่าไปที่จีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่ ส่วนเกาะฮ่องกง หรือ เกาะมาเก๊า แม้จะอยู่ภายใต้การปกครองของจีนแต่ก็ถือว่าเป็นเขตพื้นที่ปกครองพิเศษ จึงต้องไปดูหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน
ปชป.จ่อสืบคดีเลขาฯ'เหลิม'กินป่ายันไม่ดิสเครดิตใคร
นอกจากนี้ นพ.บุรณัชย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่า ร.ต.อเฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรว่า ต้องขอถามก่อนว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุม พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ อดีตเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย(ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมาในข้อหา ร่วมกับภรรยา บุกรุกที่ป่าสงวนของอุทยานแห่งชาติป่าแม่ระกา จ.กำแพงเพชร ซึ่งตรวจพบว่ามีการบุกรุกที่เกินกว่าการแสดง
สิทธิที่ได้จับจอง ซึ่งอยู่ในช่วงที่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้งที่ในระหว่างนั้นมีการเข้มงวดเรื่องการบุกรุกที่ป่าสงวน จึงขอถามไปถึง ร.ต.อ.เฉลิม ว่า ให้คนของตัวเอง ดำเนินการผิดกฎหมาย ในระหว่างที่มีตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ อย่างไรก็ตามพรรคจะมอบหมายให้ตัวแทนของพรรคไปสืบค้นข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะหวังสกัดกั้น ร.ต.อ.เฉลิม ที่จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่พรรคมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานและเปิดเผยข้อเท็จจริงให้สาธารณะชนได้รับ ทราบก่อนที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะเข้ามาอาสาทำงานทางการเมือง และต้องมีหน้าที่ที่จะปกป้องสถาบัน ดังนั้นการเปิดเผยเรื่องนี้ถือเป็นข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่ต้องทำตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เพราะอาจเชื่อมโยงไปถึงคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้นจึงต้องสืบค้นต่อไปว่า ร.ต.อ.เฉลิม มีส่วนรับทราบเกี่ยวกับการกระทำของบุคคลใกล้ชิดหรือไม่ ไม่ได้หวังที่จะดิสเครดิต ร.ต.อ.เฉลิม อย่างที่มีการตั้งข้อสังเกต
ผบ.สส.เย้ย'ทักษิณ'พูดซ้ำซากยันทบ.ไม่มีงบลับ
ขณะที่พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงกรณีงบลับ 2 พันล้านว่า กองทัพไม่มีงบลับที่จะนำมาดำเนินการตามที่มีการกล่าวอ้าง ส่วนการเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้ทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ จะมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยในสังคมไทยหรือไม่ ส่วนตัวไม่มีความเป็นห่วงเป็นในเรื่องนี้ ทุกคนทำงานตามหน้าที่ สังคมก็ทราบสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นดีอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าสังคมมีความต้องการจะให้ประเทศเดินหน้าต่อไป และการออกมาพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีไม่พบว่าจะมีเรื่องอะไรใหม่
ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวอีกว่า สำหรับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ เป็นการชุมนุมที่สามารถทำได้ตามวิถีแห่งประชาธิปไตย แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ในส่วนของกองทัพไม่ได้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นหน้าที่ของตำรวจ
'เดอะตู่' แขวะ'เทือก' ปัดตาใส งบ 2 พันล้าน
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีงบลับของกองทัพ 2,000 ล้านบาทเพื่อใช้สร้างความสมานฉันท์ ว่าเป็นลักษณะการดำเนินการเช่นเดียวกับสมัยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ( คมช.) เพื่อหวังหาประโยชน์จากการใช้งบประมาณ เพราะเมื่อพิจารณาเนื้อหายุทธศาตร์เป็นการทำลายล้างพรรคเพื่อไทยโดยตรง เพราะหากเป็นไปตามที่อ้างว่าต้องการสร้างความสมานฉันท์ ทำไมต้องทำเป็นงบลับ ไม่เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากองทัพเป็นผู้ปกครองรัฐบาล ไม่ใช้รัฐบาลปกครองกองทัพอย่างที่เข้าใจ
ส่วนที่นายสุเทพบอกว่าไม่ทราบเรื่องนี้ ต้องถามกลับไปว่า นายสุเทพเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีเหตุใดจึงไม่ทราบ และที่สำคัญนายสุเทพไม่ได้ปฎิเสธว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ตรงนี้จะพิสูจน์ว่ากรรมจะเป็นเครื่องชี้เจตนาของผู้กระทำ ส่วนการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นนายจตุพรกล่าวว่า ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะใช้เป็นหมัดเด็ดล้มล้างรัฐบาล โดยขณะนี้รอเพียงเอกสารชิ้นสุดท้ายให้สมบูรณ์ครบถ้วนก็จะยื่นอภิปรายไม่ไว้ วางใจให้ประชาชนได้เห็นธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเมื่อได้เอกสารครบถ้วนแล้วก็จะประกาศวันยื่นอภิปราย โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้กลุ่มคนเสื้อแดงจะนัดหมายการชุมนุมกดดันรัฐบาล ว่าจะใช้วันและสถานที่ใดควบคู่ไปกับการดำเนินงานในสภา
เพื่อไทยแฉแหลกรบ.จับมือกองทัพ จัดงบลับทำลายเสื้อแดง
อย่างไรก็ดีประเด็นร้อนดังกล่าว ได้เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ โดยนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ คณะทำงานฝ่ายการเมืองพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และนางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา ร่วมแถลงข่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีความตั้งใจจะกลับมายังประเทศไทยเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยณัฐวุฒิ กล่าวว่า การกล่าวเช่นนั้นเป็นการกล่าวหาที่ฉกาจฉกรรจ์ ไม่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูง ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีการดำเนินการหลายๆ ด้าน อาทิ ทางกฎหมาย และในสภาผู้แทนราษฎรและด้านอื่นๆ
ทั้งนี้ตนมีข้อมูลสำคัญที่จะขอตั้งคำถามไปยังรัฐบาลชุดนี้ และนายทหารใหญ่บางนาย ซึ่งตนมีเอกสารเป็นสำเนาพาวเวอร์พอยท์ ในการประชุมฝ่ายยุทธการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกซึ่งประชุมเมื่อต้นปี 2552 โดยมีการสรุปเนื้อหาสาระโครงการดังกล่าวเป็นการใช้งบลับของรัฐบาลในการ ดำเนินงาน ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการมี 4 ข้อหลักๆ ดังนี้ 1.ปกป้องและเทิดทูนให้มีความมั่นคงในการเป็นศูนย์รวมจิตใจและความสามัคคี 2.ช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตโดยการนำโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน3.สร้างความเข้าใจ ความสามัคคี ความสมานฉันท์ ของประชาชนในชาติโดยใช้แนวทางสันติวิธี และ 4.สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากภัยความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ โดยทราบมาว่าโครงการในลักษณะนี้ เป็นการสร้างความสามัคคี ไม่น่ามีเหตุผลใดที่รัฐบาลจะดำเนินการโดยทางลับ นอกจากนี้ ที่สำคัญมีรายงานบันทึกแนบท้ายการประชุมว่า กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ฉะนั้น ในกรณีนี้หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้จับมือกับผู้บังคับบัญชาเหล่าทัพ โดยมีการกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับ รัฐบาลเท่านั้น ซึ่งโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากเกือบ 2,000 ล้านบาท
แกนนำนปช.กล่าวต่ออีกว่า ตนมีความสงสัยที่ต้องการจะสอบถามไปยังนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่าถ้าทำโครงการนี้โดยบริสุทธิ์ใจทำไมต้องปิดลับ
และต้องโฟกัสเป้าหมายที่กลุ่มคนเสื้อแดง จากข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏในเอกสารทำให้ตนเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จับมือนายทหาร ผู้บัญชาการเหล่าทัพบางคนกำจัดฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล โดยอ้างอิงสถาบันเบื้องสูง เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจจริงต้องเปิดเผยและทำกับคนทุกกลุ่มทั่วประเทศ ไม่ใช่มุบมิบทำ
พร้อมกันนี้นายณัฐวุฒิกล่าวเปิดเผยว่า ตนได้สอบถามไปยังพี่น้องเสื้อแดงในส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคอีสาน ทราบว่า กองกำลังของเหล่าทัพ และกองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร( กอ.รมน.)ได้ลงพื้นที่ไปพบปะพูดคุยกับประชาชน ซึ่งตนเข้าใจว่าคือภารกิจนี้ใช่หรือไม่ ตนหวังว่าคำถามทั้งหมดจะได้รับคำตอบจากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น