CBOX เสรีชน

25 มกราคม, 2552

16 สหภาพแรงงาน และ 4 กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจ ตั้ง "กลุ่มประสานงานกรรมกร"

ประชาไท

เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา จากมีการพบปะพูดคุยกันระหว่างคนงานได้เกิดความร่วมมือจากคนงานจากที่ต่างๆรวม 20 กลุ่มดังคือ 1. สร.ไอทีเอฟ 2. สร.สหกิจวิศาล 3. สร.ทีไอจี 4. สร.ไทยอคลิลิกไฟเบอร์ 5. สร.ซีเคดี 6. สร.โซนี่ 7. สร.มิตซูบิขิ 8. สร.ฟูจิซึ9. สร.โยโรสึ 10. สร.เซนโกเบน 11. สร.เอสไอจี 12. สร.คาวาสุมิ 13. สร.มิชลิน 14. สร.โทเออิ 15. สร.ซัมมิทแหลมฉบัง 16. สร.ไก่สดเซนทาโก้17. กลุ่มคนงานประจำ 18. กลุ่มคนงานจ้างเหมา 19.กลุ่มคนงานที่ถูกเลิกจ้าง 20. กลุ่มประชาชนทั่วไป

โดยได้ประเมินปัญหาและมีข้อสรุปดังนี้

1. ปัญหาการเลิกจ้างที่เกิดขึ้นทุกวันโดยเฉพาะการกล่าวอ้างเรื่องภาวะเศรษฐกิจ

2. ผู้ถูกเลิกจ้างไม่ได้รับความเป็นธรรม และยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าที่ควร

3. ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายแรงงานและช่องว่างที่ไม่เป็นธรรมของกฎหมายแรงงาน

4. ปัญหาการจ้างงานแบบเหมาช่วง-เหมาค่าแรงของนายทุนที่เป็นการเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน

5. ปัญหาของผู้ใช้แรงงานคือปัญหาของสังคมและของประชาชนทุกคนเพราะประชาชนต่างมีบุตร หลาน ญาติพี่น้อง

ที่ต้องเผชิญกับปัญหาด้านแรงงาน, นักเรียน-นักศึกษาในอนาคตต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน

6. ผู้ใช้แรงงานในปัจจุบัน เมื่อมีบุตร ในในอนาคตต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานยังต้องมีเผชิญกับปัญหาความไม่เป็นธรรมและการเอารัดเอาเปรียบด้านแรงงานต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


จากนั้นจึงได้มีข้อสรุปร่วมกันที่จะจัดตั้ง “กลุ่มประสานงานกรรมกร” หรือ กปก (Workers’ Coordinating Group: WCG) ขึ้นมาทั้งนี้กิจกรรมของกลุ่มประสานงานกรรมกร โดยมีวัตถุประสงค์คือ

วัตถุประสงค์ของการรวมตัว

1. เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาของผู้ใช้แรงงาน ได้แก่

1.1 ปัญหาการเลิกจ้าง

1.2 ปัญหาการไม่เป็นธรรมของกฎหมายแรงงาน

1.3 ปัญหาการจ้างงานเหมาช่วง-เหมาค่าแรง

1.4 ปัญหาผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ

2. โปร่งใส ไม่มีเงื่อนงำแอบแฝง ไม่มีการเมืองหนุนหลัง

3. ไม่มีการแบ่งแยกเพศ อายุ ชนชั้น และต้นสังกัด

4. กลุ่มประสานงานกรรมกร จะสลายการรวมกลุ่มทันทีที่บรรลุหรือเป็นที่พอใจในจุดประสงค์ตามข้อ 1


อนึ่งสมารถติดต่อขอรับข้อมูลได้ที่ ศูนย์ประสานงานกลางติดต่อผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ WCG@windowslive.com ประสานข้อมูล คุณติ๋ว-กุลนิภา พันตน โทรฯ 08-9660-3105, คุณไม๊ค์-วัลลภ จั่นเพ็ชร โทรฯ 08-6157-2540

จากโสเครติสถึงปัญญาชนสยาม กรณีกฎหมายหมิ่นฯ

เอกศักดิ์ ยุกตะนันทน์



จากชื่อบทความเดิม “การรู้จักตนเองในความหมายของโสกราตีส : การแสวงหาปัญญาและการสร้างสังคมเหตุผลนิยม”โดยคัดลอกและตัดตอนมาจาก บทที่ 4 จากหนังสือ “มนุษย์กับการรู้จักตนเอง:การรู้จักตนเองสำหรับคนหนุ่มสาวในสังคมไทย”


.............................................................................................................................


“กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สังคมไทยยึดถือว่า
สิ่งที่เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดจะต้องอยู่เหนืออำนาจ
ในการวิพากษ์วิจารณ์ของใครๆ (1)
การห้ามการวิพากษ์วิจารณ์คือการห้ามการพูดแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นความจริง
หากว่ามันส่งผลในทางลบต่อภาพพจน์ของสิ่งเป็นที่เคารพศรัทธา
ซึ่งเท่ากับการปฏิเสธคุณค่าที่ความเป็นจริง
จะมีต่อปัญญาและต่อชีวิตของผู้คน”




โสกราตีสรักและบูชาระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์ ซึ่งเป็นนครรัฐกรีกแห่งเดียวเท่านั้นที่เป็นประชาธิปไตย แต่บาง ครั้งระบบประชาธิปไตยก็ถูกนักการเมืองทำลาย และยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบเผด็จการ ซึ่งชาวเอเธนส์ก็ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา นอกจากนั้นเอเธนส์ก็ยังต้องทำสงครามต่อสู้กับการรุกรานของสปาร์ตา และศัตรูอื่นภายนอก แต่นอกจากระบอบเผด็จการ และปัญหาอธิปไตยแล้ว อะไรคือศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย? ผู้ เขียนหมายความว่า แม้ว่าเราจะสามารถรักษาระบบประชาธิปไตยไว้จากอำนาจเผด็จการและการรุกรานจาก ภายนอกได้ แต่อะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถสร้างสิ่งที่เป็น อุดมคติของระบบประชาธิปไตย ซึ่งก็คือประโยชน์สุขที่สูงที่สุดของประชาชนและความยุติธรรมในสังคม ถ้าเรามองดูสังคมไทยซึ่งมีระบอบประชาธิปไตยที่ อ่อนแอมาก เพราะเต็มไปด้วยการซื้อสิทธิขายเสียง และการมีแต่พรรคการเมืองของนายทุนเท่านั้นให้ประชาชนเลือก เราคงตอบว่า ศัตรูของประชาธิปไตยก็คือ ความไร้จิตสำนึกของพลเมืองเอง และการมีตัวแทนที่ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง แต่เข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนก็เพื่อที่จะทุจริตโกงกิน ซ่อนผลประโยชน์อันมิชอบของตนไว้เบื้องหลังผลประโยชน์ของประชาชน



เรา ไม่อาจกล่าวว่าประชาชนเอเธนส์มีปัญหาเรื่องความไร้จิตสำนึกทางการเมือง เพราะประชาชนเอเธนส์มีอำนาจที่จะไปนั่งออกเสียงในสภาโดยตรง จึงไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียงเหมือนสังคมไทย แต่ปัญหาเรื่องนักการเมืองที่มีอำนาจในการดูแลกิจการของรัฐ ซ่อนผลประโยชน์ของตนไว้เบื้องหลังผลประโยชน์ของสังคม สามารถเป็นปัญหาของสังคมประชาธิปไตยทุก สังคม ที่ประชาชนรู้ไม่เท่าทันนักการเมือง สามารถถูกชักจูงด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่นักการเมืองนำมาล่อ และถูกวาทศิลป์ของนักการเมืองหว่านล้อมชักจูงให้คิดเห็นคล้อยตามไปกับนโยบาย ต่างๆที่นักการเมืองเสนอ โดยไม่เข้าใจผลดีผลเสียของนโยบายต่างๆ เหล่านั้นอย่างแทรองสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุด้วยผลอย่างถ้วนถี่ ซึ่งสรุปง่ายๆ ก็คือ ความอ่อนแอของพลังทางปัญญาของพลเมืองนั่นเองที่เป็นศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย



ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยคือ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยจะเผชิญหน้ากับการถูกทำให้อ่อนแออยู่เสมอ กล่าวคือ ทันทีที่นักการเมืองได้รับอำนาจจากประชาชนชนให้เป็นผู้ปกครอง เขาจะพยายามสร้างความ�ชนในระบอบประชาธิปไตยจะเผชิญหน้ากับการถูกทำให้อ่อนแออยู่เสมอ กล่าวคือ ทันทีที่นักการเมืองได้รับอำนาจจากประชาชนชนให้เป็นผู้ปกครอง เขาจะพยายามสร้างความอ่อนแอให้ กับประชาชน เพื่อที่เขาจะสามารถคงอำนาจของเขาต่อไป นี่อาจดูเหมือนการตีความอย่างหวาดระแวงและมองโลกในแง่ร้าย แต่ขอให้เรามามองดูตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ในสมัยประชาธิปไตยเต็มใบ หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา



เมื่อ เผด็จการถนอมประภาสหมดอำนาจ ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีนักการเมืองสองคนก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง ตามลำดับ คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าเสรีไทยและอดีตนายกรัฐมนตรีก่อนระบบเผด็จการทหาร และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช น้องชาย คนที่มีบทบาทเด่นต่อการเมืองไทยในยุคนั้นจริงๆ ก็คือ ม.ร.ว.คึก ฤทธิ์ ซึ่งเป็นปัญญาชนสูงสุดในสังคมไทย เป็นผู้ทรงความรู้ในหลาย ๆ ด้าน อย่างยากที่จะมีใครเทียบได้ แต่ถ้าเราค้นกลับไปในแนวคิดของคึกฤทธิ์เราจะพบว่า เขาพยายามนำเสนอว่าประเทศไทยควรใช้ “ลัทธิกษัตริย์นิยม” ซึ่ง หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรเป็นเพียงแค่ประมุขของประเทศในฐานะสัญลักษณ์ทางประวัติ ศาสตร์ แต่สถาบันกษัตริย์ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง “ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของชาติ” สิ่งที่น่าจะอยู่ตรงกันข้ามกับลัทธิกษัตริย์นิยมคือ “ลัทธิประชาชนนิยม” คำถามคือทำไมคึกฤทธิ์จึงเลือกที่จะสนับสนุนนโยบายลัทธิกษัตริย์นิยม แทนที่จะสนับสนุนนโยบายลัทธิประชาชนนิยม? และทำไมรัฐบาลไทยทุกยุคสมัยไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหาร ประชาธิปไตยเต็มใบ ประชาธิปไตยครึ่งใบ จึงสนับสนุนลัทธิกษัตริย์นิยม? ทำไม “ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของชาติ” จึงมีความสำคัญเหนือความเข้มแข็งของประชาชน (2)



ถ้ากล่าวอย่างง่ายๆ ลัทธิกษัตริย์นิยมก็ คือการส่งเสริมให้กษัตริย์มีบทบาทในสังคมที่มากกว่าการเป็นเพียงสัญลักษณ์ หรือเป็นประมุขของรัฐ แต่ให้เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทุกอย่างของรัฐที่กระทำให้แก่ประชาชน จนเป็นศูนย์กลางของความรักและความศรัทธาของประชาชน สร้างให้เกิดความรักความสามัคคีในหมู่ประชาชน ซึ่งสนับสนุนต่อลัทธิชาตินิยมในที่สุด (3) สิ่งตรงข้ามกับลัทธิกษัตริย์นิยมคือการสร้างประชาชนให้เป็นศูนย์กลาง สนับสนุนให้ประชาชนคิดริเริ่มและพยายามลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ตน เองด้วยตนเอง สนับสนุนให้พยายามรวมตัวกัน สร้างความเข้มแข็งให้แก่กันและกัน นำพลังและสติปัญญามารวมกัน เพื่อที่จะสร้างชีวิตที่ดีงามกว่าเดิมร่วมกัน บนพื้นฐานของความสัมพันธ์แบบเสมอภาค ซึ่งเป็นอุดมคติของระบอบประชาธิปไตย ประเด็น ที่สำคัญที่สุด ในความขัดแย้งระหว่างลัทธิกษัตริย์นิยมขัดแย้งกับลัทธิประชาชนนิยม ก็คือการที่ลัทธิกษัตริย์นิยมเน้นการสร้างให้ประชาชนมีศรัทธาต่อสิ่งภายนอก ตน สนับสนุนระบบชนชั้น ระบบอุปถัมภ์ จนเกิดความอ่อนแอทางปัญญา การยอมรับคำสอนต่างๆ อย่างไม่ตั้งคำถามหรือโต้แย้ง ซึ่งในที่สุดก็จะนำมาซึ่งความไร้อำนาจทางปัญญาที่จะคิดและตัดสินด้วยตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือสิ่งที่เที่ยงธรรมอย่างแท้จริง สำหรับตนเองและสำหรับสังคม

..................................................................................................................................



โส เครตีสรู้ตัวดีว่าเขาสร้างความระคายเคืองให้กับผู้คนในสังคม แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของนักปรัชญา นักปรัชญาเป็นเสมือนปลาไหลไฟฟ้า คือทำให้คนที่ถูกกระทบช๊อตจนมึนงงทำอะไรไม่ถูก นักปรัชญามีหน้าที่ทำให้คนที่ตนสนทนาด้วยรู้ว่าตัวเขาเองนั้นไม่รู้ เพื่อจะได้เริ่มต้นหาความรู้ต่อไป เมื่อนั้นเขาจึงมีโอกาสที่จะมีปัญญาจริงๆ เพราะคนมักจะหลงผิดว่าความเชื่อคือความรู้ จึงจะต้องถูกทำให้รู้ตัวเสียก่อนว่าความเชื่อที่เขามีอยู่นั้น ไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง สำหรับสังคมเอเธนส์นั้นโสเครตีสเปรียบให้เป็นม้า ถ้าทุกอย่างปกติมันก็จะเอาแต่นอนกิน แล้วก็อุ้ยอ้ายเชื่องช้ากลายเป็นม้าเลว ตัวเขาเองจึงเป็นเหมือนตัวเหลือบที่จะต้องคอยกัดเพื่อให้ม้าเจ็บ สะดุ้งตื่น ลุกขึ้นสะบัดตัว เตะหน้าเตะลัง กระปรี้กระเปร่า มันจึงจะคงความเป็นม้าดีไว้ได้



มีอะไรบางอย่างที่ควรจะกล่าวเกี่ยวกับอนีตัส ผู้กล่าวโทษโสเครตีส ในบทสนทนาเรื่องเมโน (Meno) ซึ่ง เมโนตั้งคำถามต่อโสเครตีสว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนกันได้หรือไม่ อนีตัสในวัยหนุ่มก็ร่วมอยู่ในการสนทนาด้วย และอนีตัสก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจต่อคำสอนของพวกโซฟิสต์ และกังวลต่อความดีงามในรัฐ ดังนั้นจึงเข้าร่วมการสนทนาดังกล่าว แต่เมื่อโสเครตีสเริ่มให้เหตุผลว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนให้กันไม่ได้ และพูดพาดพิงไปถึงรัฐบุรุษผู้เป็นที่เคารพรักของชาวเอเธนส์ว่า เป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีใครสามารถสอนบุตรให้มีคุณธรรมอย่างที่บิดามีได้เลย อนีตัสก็โกรธและเดินออกไปจากวงสนทนา และกล่าวอาฆาตว่าโสเครตีสกำลังพูดในสิ่งที่จะนำภัยมาใส่ตัว โสเครตีสก็ได้แต่ฝากกับเมโนไว้ว่า อาจจะช่วยหาทางพูดกับอนีตัสให้ใจเย็นและมีเหตุผลมากกว่านี้ จะได้รับฟังเรื่องราวจนจบ (4) สิ่งที่เราเห็นก็คืออนีตัสเองก็มีความรักต่อความดีงามในสังคม แต่เขาก็มีความเชื่อที่ผิดๆ ว่าเพื่อรักษาความดีงาม ความจริงบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะพูดถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงที่อาจกระทบต่อบุคคลที่ผู้คนเคารพศรัทธา แต่สำหรับโสเครตีสแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าความจริงต้องมีขีดขวางกั้น และแม้คุณธรรมจะเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ แต่คุณธรรมก็ไม่อาจแยกออกจากปัญญาได้ ต่อเมื่อคนมีปัญญาเท่านั้น คนจึงจะบรรลุคุณธรรมที่แท้จริงได้



เรา อาจกล่าวได้ว่าโสเครตีสตายเพราะอำนาจของคนที่ใช้ศรัทธาอยู่เหนือปัญญา และใช้อารมณ์โกรธจนไร้สติ พวกเขาปฏิเสธที่จะฟังเรื่องราวต่างๆ จนจบ เพื่อจะได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของโสเครตีส พวกเขามองเห็นว่าการวิจารณ์คือการทำลาย ทั้งที่มันคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างสรรค์ สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ คนดีสามารถทำลายคนที่ดียิ่งกว่าตนได้ด้วยความเข้าใจผิด และด้วยเหตุแห่งการตกเป็นทาสของอารมณ์โกรธ ห้าศตวรรษหลังความตายของโสเครตีส ผู้ปกครองชาวโรมันรู้ด้วยปัญญาและประสบการณ์ของตน ว่าพระเยซูสอนในความดีที่สูงส่งกว่าศาสนาที่มีอยู่ และเขาพยายามจะต่อรองกับชาวยิวใต้ปกครองทุกวิถีทางที่จะไม่ลงโทษพระเยซู แต่ชาวยิวไม่ยอม ดังนั้นเพื่อความสงบสุขของสังคม เขาก็ต้องออกคำสั่งให้ตรึงกางเขนพระเยซูตามความต้องการของชาวยิว และพระเยซูก็ต้องใช้ชีวิตของพระองค์พิสูจน์คำสอนของพระองค์ว่า พระเจ้าปรารถนาให้มนุษย์รักผู้อื่นเสมือนรักตนเอง เพราะ พระเจ้าคือความรักและการให้อภัย ซึ่งชาวยิวยอมรับการตีความพระเจ้าเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาเป็นทาสและถูกรังแกมามากเกินกว่าที่จะรักและให้อภัยต่อศัตรูที่บังคับ ตนลงเป็นทาส เขาจึงเห็นพระเยซูเป็นผู้ทรยศและทำลายความฝันของชาวยิวที่จะเอาชนะและกลับ ขึ้นเป็นนายบ้าง ในขณะที่พระเยซูแสดงออกถึงความรักและการให้อภัยต่อผู้ที่กำลังเฆี่ยนตีทรมาน ตน และกำลังตรึงกางเขนตน อยู่ตลอดเวลา นี่คือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนที่ถูกทำลายโดยมนุษย์ที่ก็มิได้ชั่วร้าย แต่ปล่อยให้อารมณ์โกรธมาบดบังปัญญาและธรรมชาติฝ่ายดีในตน

......................................................................................................................



แต่ ตอนนี้ขอให้เราย้อนกลับมาดูสภาพที่สังคมไทยเป็นอยู่ ซึ่งหากเทียบกับสิ่งที่โสเครตีสพยายามกระทำให้กับกรุงเอเธนส์ ก็เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเห็นว่า ในระดับของจิตสำนึกของผู้คนที่ปรากฏออกมาในวิถีการดำเนินชีวิต คนไทยใช้ศรัทธาอยู่เหนือเหตุผล ซึ่งเท่ากับการใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เห็นได้ไม่ยาก ว่าคนไทยส่วนใหญ่คิดเช่นเดียวกันกับอนีตัสและคนที่ตัดสินเอาผิดต่อโสเครตีส นั่นก็คือ คนไทยเห็นว่าการวิจารณ์คือการทำลาย สำรวจวัฒนธรรมไทยให้ดี แล้วคุณจะพบว่าเราไม่มีวัฒนธรรมของการวิพากษ์วิจารณ์อยู่เลย นี่เป็นจิตสำนึกของสังคมที่แสดงออกอย่างชัดเจนในกฎหมายสูงสุดของประเทศ นั่นก็คือ ในกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สังคมไทยยึดถือว่าสิ่งที่เป็นที่เคารพศรัทธาสูงสุดจะต้องอยู่เหนืออำนาจใน การวิพากษ์วิจารณ์ของใครๆ (5) การ ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์คือการห้ามการพูดแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นความจริง หากว่ามันส่งผลในทางลบต่อภาพพจน์ของสิ่งเป็นที่เคารพศรัทธา ซึ่งเท่ากับการปฏิเสธคุณค่าที่ความเป็นจริงจะมีต่อปัญญาและต่อชีวิตของผู้คน แต่ทว่านี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองอย่างยิ่ง เพราะภาพพจน์แห่งความดีงามของสิ่งๆ หนึ่งจะตัดขาดจากความเป็นจริงทุกประการที่เกี่ยวกับสิ่งๆ นั้นได้อย่างไร และมนุษย์จะมีชีวิตที่ดีงามที่สุดที่เป็นไปได้ ได้อย่างไร หากเขาไม่สามารถรู้ความจริงทุกประการที่อยู่ในอำนาจที่เขาจะรู้ได้



คำ ตอบเดียว ของผู้ที่ต้องการห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ก็คือ เขาจำเป็นต้องห้ามการพูดความจริงทางลบก็เพื่อที่จะหยุดยั้งการพูดความเท็จ ทางลบ หมายความว่า เหตุที่มนุษย์จะต้องรู้ความจริงให้น้อยลงกว่าที่เป็นไปได้ ก็เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกลวงด้วยความเท็จ ดังนั้น ปัจเจกบุคคลจึงไม่มีเสรีภาพในการพูดสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่เห็นว่ามีอันตราย ต่อสังคม ซึ่งหมายถึง ไม่มีเสรีภาพในการพูดอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ต่อสิ่งที่สังคม เคารพบูชา เพื่อคนอื่นจะได้ไม่ได้ยินในสิ่งที่เป็นเท็จ นี่คือหลักการที่ดีที่สุดผู้ที่ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จะสามารถยกขึ้นมากล่าวอ้าง หากเขาจะใจเย็นลงสักนิดหนึ่งและพยายามหาเหตุผลมารับรองสิ่งที่ตนเองกระทำมาก ยิ่งขึ้น



ดูเหมือนโสเครตีสจะไม่เคยมีโอกาสพิจารณาประเด็นเช่นนี้ แต่คนที่พิจารณามันอย่างละเอียดคือ จอห์น สจ็วต มิลล์ (John Stuart Mill) ผู้ซึ่งเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยอังกฤษสมัยใหม่ ในหนังสือ On Liberty เขาเสนอตรรกบทที่ดีที่สุดที่เคยมีคนคิดขึ้นมา เพื่อหักล้างการปิดกั้นเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ คือ เขากล่าวว่า 1) ในความคิดเรื่องสิ่งที่ดีงามสูงสุดนั้น จะต้องหมายรวมถึงความมีเมตตาสูงสุดอยู่ด้วย และสิ่งที่มีเมตตาสูงสุด ย่อมอนุญาตให้ผู้อยู่ใต้อำนาจตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ตนได้ ดังนั้น ถ้าสิ่งๆ หนึ่งอ้างว่าตนดีงามสูงสุด แต่ไม่อนุญาตให้ใครตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งๆ นั้นย่อมยังไม่ดีงามสูงสุดจริง 2) สำหรับสิ่งที่ยังไม่ดีงามอย่างสมบูรณ์นั้น หากอนุญาตให้มีการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งๆ นั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีงามยิ่งๆ ขึ้นไปได้ และดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ความดีงามสูงสุดของสิ่งที่มีอำนาจในสังคม และเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ ต้องอยู่คู่กัน



ใน เรื่องความกลัวต่อความเท็จนั้น มิลล์กล่าวว่า การปิดกั้นความเท็จคือการปิดกั้นปัญญาของมนุษย์ที่จะเรียนรู้และเข้าใจความ จริง เพราะความจริงจะปรากฏเป็นความจริงอย่างชัดเจนที่สุด ก็แต่เพียงเมื่อมีความเท็จมาวางเคียงข้างให้เห็นความแตกต่างเท่านั้น หมายความว่า เราไม่อาจเห็นความจริงอย่างชัดเจนได้เมื่อมันปรากฏอยู่แต่เพียงลำพัง คือเมื่อไม่มีใครได้รับอนุญาตให้พูดถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมันได้ ความกลัวต่อความเท็จจึงเป็นความกลัวของคนขี้ขลาด เป็นความกลัวที่ทำร้ายตนเอง ดังนั้น เราจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับคำพูดทุกชนิดและใช้ปัญญาเข้าตรวจสอบหาความจริงจาก มัน ถ้าเรากลัวความเท็จ หรือขี้เกียจคิด เราก็จะไม่มีวันมีปัญญาที่แท้จริงเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้สติปัญญาเข้าตรวจสอบหาความจริงไปเรื่อยๆ ชีวิตเราจึงจะพบกับสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง ดังคำกล่าวของโสเครตีสว่า “ชีวิตที่ไม่มีการตรวจสอบคือชีวิตที่ไร้ค่า” และดังนั้นเสรีภาพในการพูดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหากไม่มีเสรีภาพในการพูด ความสามารถในการคิดก็จะถูกทำลายลงไปด้วย เพราะหากคิดไปแล้วก็พูดออกมาไม่ได้ ก็ไม่รู้จะคิดไปทำไม และไม่มีใครจะมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อให้ความคิดพัฒนา (6)



........................................................................................................









เชิงอรรถ

(1) ในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ เราต้องถือว่ากฎหมายแสดง “จิตสำนึกของสังคม” ดังนั้น เราไม่ควรเข้าใจว่านี่เป็นการใช้อำนาจของสถาบันกษัตริย์ เพราะโดยหลักการแล้ว พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์แล้วกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่ได้มีอยู่ในรัฐ ธรรมนูญฉบับแรก หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหตุผลที่เราควรถือว่ากฎหมายนี้ไม่ใช่การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์รัชกาล ปัจจุบันยิ่งปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงประกาศว่าไม่ทรงอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่หลังจากพระราชดำรัชนั้นแล้วก็ยังมีการใช้กฎหมายดังกล่าวเล่นงานบุคคล ต่างๆ อยู่เช่นเดิม กฎหมายนี้จึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ฝ่ายต่างๆ ในสังคมจะใช้เล่นงานฝ่ายตรงกันข้ามเสียมากกว่า



(2) สิ่งที่เราควรตระหนักในเบื้องต้นก็คือ คึกฤทธิ์ มาจากชนชั้นสูง เป็นนักการเมืองอาชีพ พร้อมๆ กับการเป็นปัญญาชนระดับสูง แม้ คึกฤทธ์จะมีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทางภูมิปัญญาใน สังคมไทย แต่ก็เป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างวัฒนธรรมอนุรักษ์นิยมของลัทธิชาติ นิยม ผู้ที่มีนโยบายสนับสนุนความเข้มแข็งของประชาชนอย่างแท้จริง ได้แก่ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้นำของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง



(3) การใช้ลัทธิกษัตริย์นิยมในสังคมประชาธิปไตย โดยตัวเองแล้วฟังดูเป็นเรื่องแปลก เพราะในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ระบบประชาธิปไตยเกิดจากการที่ประชาชนแย่งอำนาจมาจากกษัตริย์ ลัทธิกษัตริย์นิยมจึงเป็นเหมือนการที่รัฐบาลหรือประชาชนพยายามจะคืนอำนาจให้ กษัตริย์ ถึงจุดหนึ่งอาจมีการขอรัฐบาลจากกษัตริย์แทนที่จะเลือกตั้งเอาเองก็เป็นได้ ซึ่งเท่ากับเลิกเป็นประชาธิปไตยนั้นเอง อย่างไรก็ตาม ลัทธิกษัตริย์นิยมก็อาจมีผลดีต่อประเทศในระยะที่วัฒนธรรมประชาธิปไตยยัง อ่อนแอจนเกิดวิกฤตภายในอยู่เนืองๆ คือ กษัตริย์อาจสร้างสมบารมีและศรัทธาได้มากจนกลายเป็นศูนย์รวมของจิตใจได้อย่าง แท้จริง และช่วยแก้ไขวิกฤติทางการเมืองภายในเช่นนั้นได้ แต่ถ้ากษัตริย์ได้สถานะเช่นนี้มาด้วยบารมีที่ตนเองสร้างสมขึ้นมาและทำให้ตน เองมีอำนาจที่พิเศษกว่าปกติ เช่น อยู่เหนือการตรวจสอบและการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้นทั้งมวลและมีอิทธิพลเหนือการเมือง โอกาสก็จะมีสูงมากที่ผู้คนที่แวดล้อมกษัตริย์จะนำอำนาจเช่นนั้นไปใช้ในทางมิ ชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์คนต่อไปอาจไม่สามารถสร้างสมบารมีเช่นนั้นได้ แต่อาจต้องการอำนาจอันพิเศษกว่าปกติเช่นนั้น ระบบกษัตริย์ในฐานะของสถาบันทางสังคมก็อาจจะเกิดปัญหา



(4) ที่จริงแล้ว การที่โสเครตีสพูดว่าคุณธรรมเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างไร เพราะปัญญาที่แท้จริงก็เป็นสิ่งที่สอนให้กันไม่ได้เช่นเดียวกัน เราอาจให้ข้อคิดเห็นต่อกันได้ และมันก็มักจะมาจากญาณทัศนะของแต่ละคน แต่ญาณทัศนะจะกลายเป็นปัญญาที่แท้จริงได้ ก็เมื่อคนแต่ละคนเอาเหตุผลเข้าไปตรวจสอบมันในทุกแง่ทุกมุมที่เป็นไปได้ คนมักจะคิดว่าพอเขาได้ยินอะไรที่เข้าได้กับญาณทัศนะของตน นั่นก็คือความรู้ แต่โสเครตีสยืนยันว่า นั่นยังไม่เพียงพอที่จะเรียกว่าความรู้ ความรู้เป็นญาณทัศนะส่วนที่ผ่านการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์แล้วเท่านั้น คุณธรรมก็เป็นญาณทัศนะที่ต้องอาศัยเหตุผลเข้าไปตรวจสอบเช่นเดียวกัน



(5) ในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักสูงสุดในการปกครองประเทศ เราต้องถือว่ากฎหมายแสดง “จิตสำนึกของสังคม” ดังนั้น เราไม่ควรเข้าใจว่านี่เป็นการใช้อำนาจของสถาบันกษัตริย์ เพราะโดยหลักการแล้ว พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์แล้วกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่ได้มีอยู่ในรัฐ ธรรมนูญฉบับแรก หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหตุผลที่ เราควรถือว่ากฎหมายนี้ไม่ใช่การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ยิ่งปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงประกาศว่าไม่ทรงอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่หลังจากพระราชดำรัชนั้นแล้วก็ยังมีการใช้กฎหมายดังกล่าวเล่นงานบุคคล ต่างๆ อยู่เช่นเดิม กฎหมายนี้จึงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ฝ่ายต่างๆ ในสังคมจะใช้เล่นงานฝ่ายตรงกันข้ามเสียมากกว่า



(6) การที่สังคมไทยมีวัฒนธรรมที่ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์นั่น ถ้าพูดตรงแล้วก็คือ มีวัฒนธรรมของความขี้ขลาดทางปัญญานั่นเอง หมายความว่า ถ้าจะคิดอะไรก็ต้องคิดในกรอบที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แม้นี่จะเป็นคำพูดที่รุนแรง แต่ก็ไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว วัฒนธรรมไทยสอนให้คนไทยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล นี่คือสิ่งที่คนไทยไม่อยากยอมรับ แต่ก็จะแสดงออกทันทีที่มีคนไทยที่กล้าวิจารณ์วัฒนธรรมของตนเองในทางลบ เช่น อาจจะประณามคนเช่นนั้นว่าเป็นทาสของตะวันตก ทั้งที่การวิจารณ์ตนเองเป็นสิ่งที่ไม่ว่าคนในวัฒนธรรมไหนก็ควรกระทำ เว้นก็แต่ผู้ที่เชื่อว่าตนเองดีงามอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น

อิหร่านจำคุก 2 แพทย์ด้านเอดส์ รวม 9 ปี ฐานรู้เห็นแผนก่อรัฐประหาร

ประชาไทเว็บบอร์ด

สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันที่ 21 ม.ค.ว่า อราช อลาอี และคามยาร์ อลาอี สองพี่น้องซึ่งเป็นที่รู้จักจากการบุกเบิกงานวิจัยด้านการรักษาและป้องกัน เชื้อเอชไอวีและเอดส์ ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนสำคัญในการวางแผนก่อรัฐประหาร ซึ่งอิหร่านอ้างว่ามีหน่วยสืบราชการลับกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) อยู่เบื้องหลัง

การตัดสินจำคุกครั้งนี้ถูกเปิดเผยหลังการดำเนินคดีอย่างลับๆ และถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มนักสิทธิมนุษยชน

ทนายความของทั้งสองคนกล่าวว่า เขาทั้งสองปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ อราช อลาอี ถูกตัดสินจำคุก 6 ปี ขณะที่คามยาร์ อลาอี ถูกจำคุก 3 ปี ทั้งสองถูกจับกุมในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว (2008) โดยที่เหตุผลในการจับกุมยังไม่ชัดเจน ขณะที่ข้อกล่าวหาเรื่องการรัฐประหารเพิ่งถูกเปิดเผยเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้

สื่อของทางการอิหร่านอ้างคำกล่าวของรัฐมนตรีหน่วยข่าวกรองว่า พวกเขาเป็น 2 ใน 4 คนที่มีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดวิกฤตการณ์สังคม การประท้วงบนท้องถนน และข้อโต้เถียงทางจริยธรรม

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อของผู้ถูกกล่าวหาอีกสองรายที่เหลือ

มาส โสต ชาฟิอี ทนายความ กล่าวว่า เขาจะยื่นอุทธรณ์และเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวสองพี่น้อง เพราะไม่มีหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาดังกล่าว

"ความร่วมมือและความเกี่ยวข้องกับต่างประเทศนั้นเป็นไปในทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมเท่านั้น ไม่ได้ต่อต้านประเทศ" เขากล่าว

สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นายแพทย์ทั้งสองเดินทางไปในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ เพื่อร่วมการประชุมเรื่องเอชไอวี/เอดส์

จอน เลย์น ผู้สื่อข่าวบีบีซีในเทห์ราน กล่าวว่า นี่อาจเป็นเหตุให้พวกเขาเข้าข่ายทำผิดกฎหมายที่ห้ามชาวอิหร่านเกี่ยวข้องกับ สิ่งที่เรียกกันว่า "รัฐปรปักษ์"

"เราไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงตกเป็นเป้า" ซาราห์ โคลลอช จากองค์กรแพทย์เพื่อสิทธิมนุษยชน (PHR) ซึ่งมีฐานอยู่ที่สหรัฐฯ กล่าว

"การ นำเสนอของพวกเขาส่วนใหญ่เกี่ยวกับงานนวัตกรรมในอิหร่านเรื่องการป้องกันเอ ชไอวี ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น อิหร่านควรจะยินดีที่เรื่องในทางบวกเช่นนี้มาจากอิหร่าน"

รัฐบาลอิหร่านเตือนเรื่องความพยายามก่อให้เกิด "ปฎิวัติกำมะหยี่" โดยการสร้างความวุ่นวายในประเทศเพื่อสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐบาล

นอก จากนี้ผู้สื่อข่าวบีบีซียังกล่าวด้วยว่า ยังไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่าอลาชและคามยาร์เข้าร่วมในปฎิบัติการใดๆ นอกจากความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของเอชไอวี/เอดส์

แปลและเรียบเรียงจาก: Iran doctors jailed over 'plot', http://news.bbc.co.uk/2/hi/middle_east/7843207.stm, BBC

เปิดใจจากคุก สุวิชา ท่าค้อ

ประชาไทเว็บบอร์ด

“เขา ไม่ให้ผมประกันตัว เขาบอกกลัวผมหลบหนี ผมจะหนีไปไหน ผมเป็นคนไทยนะ จะให้ผมไปไหน ผมจ่ายภาษีปีละหลายหมื่นบาท แต่วันนี้ผมรู้สึกเหมือนเป็นแค่คนที่มาอาศัยแผ่นดินอยู่ เขาไม่ให้ผมประกันตัว เขาบอกว่าผมจะทำความผิดซ้ำ จะทำลายหลักฐาน ผมจะทำทำไม ในเมื่อถ้าทำแล้วมีแต่น้ำตา และมันไม่ใช่น้ำตาของผมคนเดียว แต่เป็นน้ำตาของคน 5 คน คือครอบครัวผม ลูกเมียผม ชีวิตผมตอนนี้มีแต่น้ำตา” สุวิชา ท่าค้อ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายล่าสุด เอ่ยปากผ่านม่านน้ำตาที่ไหลพร่างพรูต่อหน้าแผ่นกระจกบางๆ ที่กั้นระหว่างเขาและผู้สื่อข่าว

สุ วิชามีการเครียดมาก ร้องไห้เกือบตลอดเวลา และอยากจะบอกให้คนข้างนอกที่ยังมีเสรีภาพได้รู้ว่าเขาได้รับการปฏิบัติเช่น ไรก่อนที่ถูกส่งตัวเข้ามาในเรือนจำคลองเปรมแห่งนี้

“เขา หลอกให้ผมพูด เขาบอกว่าถ้าผมบอกให้หมดว่าในกระบวนการมีใครบ้าง แล้วเขาจะปล่อยผมกลับบ้าน เขาจะกันตัวผมไว้เป็นพยาน ผมอยากกลับบ้าน ผมจึงยอมรับสารภาพ เขาถามอะไรผมก็บอก อะไรที่ผมไม่รู้ ผมก็พยายามแต่งเรื่องให้มันจบๆ ไป ให้มันเป็นเรืองเป็นราว เขาถามว่าผมรู้จักคนนั้นคนนี้ไหม คนนั้นเป็นใคร คนนี้เป็นใคร ผมก็บอกไปว่าผมรู้จัก ผมไม่รู้หรอก แต่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ เพราะผมอยากกลับบ้าน เขาว่าถ้าผมให้ความร่วมมือดี ผมก็จะได้กลับบ้าน แต่เขากลับส่งผมมาอยู่ที่นี่”

สุวิชา ท่าค้อ เป็นผู้ต้องหารายล่าสุดที่ถูกจับกุมคุมขัง และฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นความผิดอาญามาตรา 112 ผนวกกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ที่เพิ่งผ่านสภามาเมื่อต้นปีที่แล้ว

คำ ร้องของพนักงานสอบสวนระบุว่�่อมาวันที่ 14 ม.ค.2552 พนักงานสอบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 92/2552 บริเวณหน้าร้านสุวรรณการช่าง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม

เขา ถูกควบคุมตัวจาก นครพนมมายังกรุงเทพฯ ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ วันที่ 16 มกราคม พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ คุมตัวนายสุวิชา หรือชินภัสร์ ท่าค้อ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผ่านทางเว็บไซต์ มายังศาลอาญา รัชดาภิเษก ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งแรก 12 วัน ไปจนถึงวันที่ 27 มกราคม โดยระบุว่า ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาจนครบกำหนดแล้ว แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอสอบปากคำพยานอีก 15 ปาก รอผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์จำนวน 3 เครื่อง แผ่นซีดี และเอกสารอีกจำนวนหลายรายการ จึงขอฝากขังไว้เป็นเวลา 12 วัน จนถึง 27 ม.ค.

ท้าย คำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญ เกรงว่าผู้ต้องหาจะกระทำผิดซ้ำอีก อีกทั้งผู้ต้องหาทำงานกับบริษัทเอกชนต่างชาติ ต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นประจำ จึงอาจมีพฤติการณ์หลบหนี ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้ว อนุญาตให้ฝากขังได้ กระบวนการทั้งหมดนี้กระทำไปโดยที่ผู้ต้องหาไม่มีทนายให้คำปรึกษา

การจับ กุมตัวเขาเกิดขึ้นที่หน้าร้านสุวรรณการช่าง อ.เมือง จ.นครพนม เป็นการจับกลางตลาดอย่างที่เป็นข่าวตามสื่อทั่วไป แต่ความจริงอีกประการคือ เขาไม่ได้หลบหนีไปกบดานอยู่ที่ จ.นครพนมอย่างที่เป็นข่าว หากแต่เขาพำนักง จ.นครพนม เป็นการจับกลางตลาดอย่างที่เป็นข่าวตามสื่อทั่วไป แต่ความจริงอีกประการคือ เขาไม่ได้หลบหนีไปกบดานอยู่ที่ จ.นครพนมอย่างที่เป็นข่าว หากแต่เขาพำนักอยู่ที่นั่น

สุวิชา ทำงานให้กับบริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว ตำแหน่งสุดท้ายคือ วิศวกรคุมเครื่องจักร ได้รับเงินเดือน 58,000 บาทต่อเดือน และได้เบี้ยเลี้ยงเมื่อเดินทางไปปฏิบัติในพื้นที่ขุดเจาะน้ำมันอีกประมาณ 2,000 บาท ต่อวัน รายได้ทังหมดของเขา เลี้ยงดูครอบครัวซึ่งมีทั้งหมด 5 คน คือตัวเขา ภรรยา ซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่บ้านดูแลลูกๆ ลูกชายซึ่งกำลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และลูกชายลูกสาว อีก 2 คน กำลังศึกษาอยู่ที่ จ.นครพนม

เขามีบ้าน 2 แห่ง ที่หนึ่งคือ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของลูกชาย และตัวเขาที่ลงมาพักกับลูกชายเป็นครั้งคราว สัปดาห์ละ 2-3 วัน อีกที่หนึ่งคือที่ จ.นครพนม

“ตอนแรกเราก็อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ว่า พอเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี สุวิชาเขาคิดว่าคงต้องประหยัด เพราะเรามีลูกตั้ง 3 คน หนูก็ไม่ได้ทำงาน เป็นแม่บ้านดูแลลูก เขาเลยย้ายครอบครัวเรากลับไปที่นครพนม แต่สุวิชาส่งลูกชายคนโตเรียนโรงเรียนมัธยมที่สอนระบบ 3 ภาษา เพราะเขาหวังว่าลูกจะเก่งเรื่องภาษา จะได้หางานได้ง่าย จริงๆ แล้วเขาอยากให้ลูกได้เข้าทำงานที่เดียวกับเขา” ภรรยาของสุวิชา เล่า

แต่ วันนี้ ความหวังนั้นของสุวิชา คงเป็นไปได้ยาก เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง ล่าสุด บริษัทได้ยื่นจดหมายให้ออก โดยไม่จ่ายค่าชดเชย อ้างเหตุที่เขาถูกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง เราถามภรรยาของสุวิชาว่าจะเตรียมการอย่างไรต่อไป แต่ไม่ได้คำตอบ เธอยังอยู่ในอาการช็อก งงงัน และยังพูดจาไม่ปะติดปะต่อ ในวันที่เราไปพบ แต่เธอจำวันที่สามีถูกจับกุมได้แม่นยำ

“หนู กลัวมาก ตอนแรกที่โดนจับ หนูงงมาก ว่ามาจับสามีหนูทำไม แต่หนูจำได้ว่าวันแรกน่ะ หนูไปกับเขา เราไปซื้อของในตลาด แล้วก็พอเรากำลังจะออกรถ ตรงนั้นอยู่หน้าร้านสุวรรณการช่าง ตำรวจเขาก็มาจอดท้ายรถ แล้วก็ลงมาบอก ขอเชิญสามีหนูไปสถานีตำรวจ หนูก็งง นึกว่าเขามาชนท้าย หนูยังลงไปดูบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ท้ายรถหนูมันบุบอยู่แล้ว เขาก็เอาหมายจับมากาง ตอนนั้นหนูงง แต่หนูก็ตามไปทุกที่ หนูนึกอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าเขาเอาสามีหนูไปไหน หนูก็จะไปด้วย”

บริษัท ที่สุวิชาทำงานด้วยนั้นเป็นบริษัทด้านขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยชื่อว่าเป็นบริษัทใด ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวมีการดำเนินกิจการภายนอกประเทศ ทำให้ที่ผ่านมา สุวิชาต้องเดินทางออกไปนอกประเทศเป็นประจำ

“แต่ตอนนี้ เขาไล่ผมออกแล้ว ผมไม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปต่างประเทศแล้ว” สุวิชากล่าว

สิ่งที่สุวิชาต้องการที่สุดตอนนี้ก็คือ.... “ผม ไม่ต้องการอะไร ผมคิดถึงลุกมาก แต่จะให้ลูกมาเจอผมที่นี่ ผมยอมไม่ได้ ผมอยากเจอลูก พบอยากออกไปพบลูก แต่ผมไม่อยากให้ลูกมาเจอผมในนี้ ในสภาพแบบนี้ ผมบอกเมียผมเด็ดขาดว่าอย่าให้ลูกรู้ ให้เขากลับไปดูแลลูก ผมคิดถึงลูกมาก เวลาพักจากงาน ผมนอนกอดลูกเกือบทุกคืน ตำรวจ ที่จับกุมผม เขาบอกผมว่า เขาก็มีครอบครัวเหมือนกัน เขาเข้าใจ ขอแค่ผมตอบคำถามเขาให้หมด ให้ผมให้ความร่วมมือ เขาก็จะให้ผมกลับบ้านไปอยู่กับลูก เขาเอาอกเอาใจผมทุกอย่าง พูดจาดีต่างๆ นานา แต่สุดท้ายก็เอาผมมาฝากขัง”

สุวิชา เป็นที่รู้จักดีในหมู่ผู้เล่นกีฬาร่มบิน หรือพารามอเตอร์ ในนามของ ‘นุ้ย นครพนม’ เขาเป็นนักร่มบินระดับล่ารางวัลคนหนึ่ง และมีบล็อกส่วนตัวเกี่ยวกับกีฬาร่มบิน http://www.geocities.com/tk_airsport/index.html

พี่ สาวของเขากล่าวว่า หากไม่ได้ประกันตัว และคดีของสุวิชาดำเนินไปเช่นเดียวกับกรณีของแฮรี่ นิโคไลดส์ ซึ่งไม่ได้รับการประกันตัวจนกระทั่งให้การรับสารภาพในชั้นศาลและถูกตัดสินจำ คุก 3 ปีไปเมื่อวันที่ 19 ม.ค. ที่ผ่านมา เธอคิดว่า อาจจะต้องขายร่มบินของเขาเป็นทุนสำหรับครอบครัว และใช้ในการต่อสู้คดีต่อไป

“เขา ไม่ให้ผมประกันตัว ผมถามหน่อย ผมฆ่าใครตายหรือ ผมเห็นคนฆ่าคนตายก็ยังได้ประกันตัว คนข่มขืนเด็กไม่กี่ขวบก็ได้ประกันตัว คนที่เจอข้อหาเดียวกับผมแต่เป็นคนที่มีชื่อเสียงก็ได้ประกันตัวหลายคน แต่ผมไม่ได้ประกันตัว มาตรฐานการให้ประกันตัวของคดีนี้คืออะไร”

ก่อน จากกัน เราถามสภาพความเป็นอยู่ภายในเรือนจำ เขาบอกว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อเขาเป็นปกติดี เขาไม่มีปัญหาอะไร แต่สภาพการเป็นอยู่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาคาดว่าห้องที่พักนั้นน่าจะมีขนาดประมาณ 5 X10 เมตร จุผู้ต้องขังไว้ประมาณ 35 คน “เรานอนเท้าชนเท้า มีพื้นที่กันคนละประมาณ 1 -1.5 ตารางเมตร ผู้ต้องขังจำนวนไม่แน่นอน มีเพิ่มเข้า หรือออกไปอยู่ตลอด บางคนก็มีรอยสักเยอะมาก แต่รวมๆ แล้วผมยังไม่พบผู้ต้องขังที่น่ากลัว พวกเขารู้ว่าผมถูกฟ้องคดีอะไร แต่ไม่มีใครที่มีท่าทีไม่เป็นมิตร ผู้คุมก็รู้ แต่ไม่มีปัญหาอะไร บางคนยังบอกว่า อยู่ในนี้น่ะ ปลอดภัยกว่าอยู่ข้างนอก”

คำฝากสุดท้าย ถึงผู้ใช้อินเตอร์เน็ต “ผมอยากบอกว่า อีเมล์ของผมทุกฉบับ เขาเข้าไปอ่านหมดแล้ว เขาตั้งหน่วยไล่ล่า เขามี the most wanted ซึ่งเขาพยายามเชื่อมโยงว่าเป็นเครือข่าย ผมไม่คิดว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างนี้ครับ”



ความคืบหน้าล่าสุด

ทางทนายของผู้ต้องหาได้ยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัวเมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเอกสารบางส่วนไม่ครบถ้วน จึงเตรียมยื่นอุทธรณ์อีกครั้งในวันจันทร์ที่ 26 ม.ค. ที่จะถึงนี้
ด้าน พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. กล่าวเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ถึงการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูงว่า กองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ดำเนินการอยู่ เท่าที่ทราบพบว่ามีมากถึงกว่า 1,500 เว็บไซต์ ส่วนของ บช.น.จะรับผิดชอบคดีหมิ่นฯ ตาม ป.อาญา ม.112 เฉพาะส่วนที่เกิดเหตุในนครบาล แม้จะไปแจ้งความที่ใดก็จะรวบรวมทำคดีทั้งหมด ขณะนี้เร่งพิจารณาที่มีอยู่ประมาณ 17 คดี ประชุมไปครั้งล่าสุดเหลืออยู่ 8 คดี ฟ้องหมดทุกคดี ไม่มีการเว้นว่าจะเป็นฝ่ายใด และจะติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีเหล่านี้ทุกราย รวมทั้งนายสุชาติ นาคบางไทร มีการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ พบว่ายังหลบหนีอยู่นอกประเทศ ถ้าเข้ามาเมื่อใดก็จับทันที

พระเพลิงเผาวอดรับตรุษจีน 3 จุดซ้อน

ประชาทรรศน์
25 ม.ค. 2009

พระเพลิงพิโรธ เผา 3 จุดช้อนรับเทศกาลตรุษจีน ขณะที่ เศรษฐกิจพ่นพิษ ย่านเยาวราช ผู้ประกอบการค้าของเซ่นไหว้ โวย ยอดขายลดลงมากกว่าทุกปี เหตุประชาชนงดการใช้จ่าย ขณะที่ ผู้ว่าฯกทม.เตือนประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการจุดธูปเทียน

วันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ของจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 26 มกราคม 2552 ชาวไทยเชื้อสายจีนทุกบ้านจะประกอบพิธีไหว้เจ้าหรือเรียกว่า "ไป่ปุงเฒ่ากงม่า" และจะเริ่มก่อนวันตรุษจีนหรือชิวอิด ซึ่งชาวจีนเชื้อว่าเป็นวันที่เทพเจ้าแห่งโชคลาภจะออกเดินทางมาท่องโลก เพื่อให้ลาภกับมนุษย์ที่ทำกรรมดี โดยในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 00.01 น.- 06.00 น. ของวันที่ 25 มกราคม 2552 ชาวไทยเชื้อสายจีนจะทำการไหว้เจ้าด้วยของคาว 3 อย่าง ประกอบด้วย ไก่ต้ม เป็ดพะโล้ หมูสามชั้นต้มสุก และไข่ต้มย้อมสีแดง ส่วนผลไม้ 5 อย่างประกอบด้วย ส้มทองหรือไต้กิม มีความหมายว่าความดี แอปเปิ้ลหรือผิงก้วย หมายความว่าการอยู่เย็นเป็นสุข กล้วยหอมหรือเก็งเจีย หมายความว่าโชคลาภมหาศาล สาลี่หรือซั่วตังไล้ หมายถึงเงินทองไหลมาเทมา องุ่นหรือผู่ท้อ หมายความว่าความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ นอกจากนี้คนไทยเชื้อสายจีนยังนิยมไหว้ขนมมงคลที่มีความหมายอีกอย่างคือ ขนมเข่ง

ส่วนตอนสายจะเป็นการไหว้บรรพบุรุษ การไหว้ในวันนี้จะเป็นการไหว้เพื่อขอพรจากบรรพบุรุษให้คุ้มครอง และทำมาค้าขึ้นอยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี ถัดจากวันไหว้คือวันตรุษจีนวันที่ทุกคนจะได้รับแตะเอียหรืออั่งเปา และร้านค้าทุกร้านก็จะเริ่มหยุดทำการค้า ซึ่งจะเปิดทำการค้าอีกครั้งก็เป็นวันจันทร์ซึ่งตรงกับวันที่ 29 มกราคมนี้

เยาวราช ผู้ค้าบ่นอุบยอดขายเครื่องเซ่นไหว้ลดฮวบ!

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศวันจ่ายในเทศกาลตรุษจีน ที่ย่านเยาวราช เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ประชาชนทยอยเดินทางไปซื้อของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แต่ไม่คึกคักนัก ในขณะที่ผู้ประกอบการร้านขายของเซ่นไหว้ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ต้องการลดการใช้จ่ายของฟุ่มเฟือยไม่จำเป็น อีกทั้งจำนวนผู้บริโภคก็น้อยกว่าทุกปีถึงร้อยละ 50 ขณะที่การซื้อขายทองคำย่านเยาวราชพบว่าเงียบเหงา และร้านค้าทองไม่ได้สั่งซื้อทองคำมาเตรียมขายในช่วงเทศกาลตรุษจีนมากนัก แต่คาดว่าเมื่อถึงช่วงตรุษจีน หรือมีการแจกอั่งเปา วันที่ 25-26 มกราคมนี้ น่าจะมีลูกค้าซื้อทองแท่ง ทองรูปพรรณเป็นของขวัญให้ผู้ใหญ่ และเป็นรางวัลแก่ตัวเองเพิ่มขึ้น

เตือนระวังไฟไหม้จากการจุดธูปเทียน

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าสักการะศาลเจ้าเก่าแก่ประจำกรุงเทพมหานคร ภายในศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เนื่องในเทศกาลตรุษจีน และเปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งมีการจัดงานบริเวณไชน่าทาวน์ ย่านเยาวราช ตนคาดว่า จะทำให้มีเงินสะพัดนับ 100 ล้านบาท เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของไทย

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังฝากให้ชาวไทยเชื้อสายจีน ระมัดระวังตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน โดยเฉพาะต้องดับธูป เทียน ก่อนเดินทางออกจากบ้านทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งล่าสุดได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ย่านรองเมือง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน

สั่งคุมเข้มสกัดเพลิงไหม้

ด้าน นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่าได้สั่งการให้สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำรถดับเพลิงไปเตรียมพร้อมไว้ ตามจุดเสี่ยงต่างๆ ทั่วกรุงเทพ เพื่อป้องกันเพลิงไหม้ เช่น ตลาดสดหรือศาลเจ้าสำคัญๆ นอกจากนี้ ยังได้ระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงทุกเขต ให้เตรียมพร้อมในช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วย

ด้านศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา เตือนชาวไทยเชื้อสายจีน ให้เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ในการจุดธูปเทียนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยขอให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ดับธูปเทียนสนิทแล้วก่อนออกจากบ้านเรือน หลังพิธีไหว้ ในวันนี้เสร็จสิ้นลง นอกจากนั้นขอให้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้านเรือนให้เรียบร้อยก่อนหากจะเดิน ทางออกจากบ้านเพื่อเยี่ยมญาติ หรือ ท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทั้งนี้เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากพบว่าในแต่ละปีจะเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีนและพบ ว่าสาเหตุส่วนใหญ่คือการจุดธูปเทียนทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็ตามหลายหน่วยงานได้มีการเตรียมความพร้อมด้วยการจัดเจ้าหน้าที่เข้า เวรยามตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อออกให้ความช่วยเหลือประชาชนกรณีเกิดเพลิงไหม้หรือสาธารณภัยอื่น ๆ

อุตรดิตถ์-นครสวรรค์ตรุษจีนคึกคัก

ส่วนบรรยากาศเทศกาลตรุษจีนที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่เช้าของวันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นไหว้สำหรับคนไทยเชื้อสายจีน บรรดาผู้ประกอบการร้านค้าในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์นอกจากจะออกมาตั้งโต๊ะ ไหว้เจ้าที่หน้าบ้านของตนแล้ว ยังได้ถือโอกาสพาครอบครัวนำหมู เป็ด ไก่ ผลไม้ และขนมมงคลต่างๆ นำถวายและกราบไหว้สิ่งศักดิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์ อันประกอบด้วยหลวงพ่อเพ็ชร วัดท่าถนน และอนุสาวรีย์ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก วีรบุรุษผู้กล้าของเจ้าจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลสำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ของคนไทยเชื้อสายจีน และเป็นการขอบคุณที่ปกป้องคุ้มครองให้ดำเนินชีวิตอยู่ผืนแผ่นดินไทยอย่างมี ความสุข และเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ธุรกิจการงาน

ขณะที่ ชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดนครสวรรค์ออกมาตั้งโต๊ะไหว้เจ้าหน้าบ้านกันแต่ เช้า ในขณะที่ตามศาลเจ้า เมืองปากน้ำโพผู้คนก็ออกมาไหว้เจ้าหนาแน่นเช่นกัน

บรรยากาศในวันไหว้ของชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดนครสวรรค์เป็นไปด้วยความ คึกคัก ผู้คนออกมาไหว้เจ้ากันตั้งแต่เช้ามืดเวลา 05.00 น. ที่ผ่านมา โดยการออกมาตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้บริเวณริมฟุตปาตหน้าบ้านของตัวเอง ทำให้บรรยากาศตามท้องถนนในเมืองนครสวรรค์เต็มไปด้วยโต๊ะเครื่องเซ่นเต็มสอง ข้างทาง ในขณะที่ตามศาลเจ้าต่างๆในจังหวัดนครสวรรค์ทั้งที่เป็นศาลเจ้าประจำและศาล เจ้าชั่วคราวที่จัดขึ้นเพื่อเทศกาลตรุษจีน ก็มีผู้คนนำเครื่องเซ่นไหว้ ทั้งหมูไก่และผลไม้ออกมาไหว้เจ้าอย่างหนาแน่นเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามปีนี้เครื่องเซ่นไหว้ มีปริมาณน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากชาวไทยเชื้อสายจีนต่างพากันประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี

เพลิงไหม้กลางกรุงวันเดียว 3 จุดซ้อน

ขณะที่สถานการณ์เพลิงไหม้ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลา 00.30 น. วันนี้ (25 ม.ค.) ร.ต.ท.จรูญ สังขารา พนักงานสอบสวน(สบ.1) สน.ปทุมวัน รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน เหตุเกิดที่บ้านเลขที่ 849/49 ซ.จุฬา 9 แขวงและเขตปทุมวัน กทม. จึงประสานรถดับเพลิงจากสำนักป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง รองผบก.น.6 พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.อุดม เปี่ยมศักดิ์ รองผกก.สส. เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

โดยที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น ปลูกติดกันกว่า 10 คูหา ชั้นล่างเป็นร้านขายเสื้อผ้ากีฬา โดยต้นเพลิงอยู่บริเวณชั้นที่ 2 กำลังลุกลามขึ้นไปบนชั้น 3 มีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงทำการตัดกระแสไฟฟ้า ก่อนระดมฉีดน้ำดับเพลิง โดยใช้เวลา 20 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบชั้นที่ 2และ 3 ของอาคารพาณิชย์ดังกล่าวถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งหมด ขณะเดียวกันบริเวณทางลงบันไดชั้น 3 พบศพผู้เสียชีวิตถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโกทราบชื่อต่อมาคือ นางสายพิณ ยศศิริ อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารพาณิชย์ที่เกิดเหตุ

เผยวินาทีรอดตาย

จากการสอบสวนนางอำพา กาดิ๊บ อายุ 60 ปี มารดาผู้ตายให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองพร้อมด้วยผู้ตาย นายบุญธรรม ยศศิริ ลูกเขย และหลานชาย-หญิงอีก 2 คน ได้นอนพักผ่อนอยู่ที่บริเวณชั้น 3 ระหว่างนั้นได้กลิ่นเหม็นไหม้ จึงสะดุ้งตื่น และเห็นเปลวไฟ พร้อมทั้งกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมาจากชั้น 2 จึงรีบปลุกลูกหลานให้รีบตื่น โดยตนเองพร้อมด้วยนายบุญธรรมและหลานทั้งสองคน ได้เปิดหน้าต่างเหล็กดัดหนีออกทางระเบียงด้านหน้า จึงรอดมาได้ ส่วนผู้ตายคาดว่าพยายามหนีลงทางบันได จึงถูกไฟคลอกเสียชีวิตดังกล่าว

ด้านนายบุญธรรม กล่าวว่า ตนเป็นเจ้าของร้านสกรีนเสื้อกีฬา ชื่อร้านศิริสปอร์ต 2 อยู่ที่ซ.จุฬา 4 สำหรับอาคารดังกล่าวได้เช่ามาจากสำนักทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกำลังหมดสัญญาในปีนี้ โดยชั้นล่างได้ให้คนอื่นมาเช่าเปิดเป็นร้านขายเสื้อผ้ากีฬา ส่วนชั้น 2 เป็นที่สกรีนเสื้อกีฬา และเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในการสกรีน ส่วนชั้น 3 เป็นที่พักอาศัย ก่อนเกิดเหตุตนพร้อมด้วยภรรยาและลูกอีก 2 คน ได้นอนอยู่บริเวณชั้นที่ 3 หลังเกิดเพลิงไหม้ตนได้อุ้มลูกชายวัย 5 ขวบ ปีนหนีออกทางหน้าต่างเหล็กดัดด้านหน้า และพยายามกลับเข้าไปช่วยภรรยา แต่เนื่องจากเพลิงได้โหมลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับมีกลุ่มควันหน้าแน่นจึงไม่สามารถเข้าไปได้

ตำรวจคาดไฟฟ้าลัดวงจร

ขณะที่ พ.ต.อ.วัลลภ กล่าวว่า เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ ต้องรอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน แต่อาจเป็นไปได้ว่าน่าจะมาจากไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องสภาพสายไฟที่ค่อนข้างเก่า เช่นเดียวกับตัวอาคารที่ปลูกสร้างมานาน สำหรับศพผู้ตายได้มอบให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูนำส่งชันสูตรที่แผนก นิติเวช รพ.จุฬาลงกรณ์เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จุดเกิดเหตุเป็นชุมชนมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ส่วนใหญ่จะประกอบกิจการร้านค้าขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา รวมถึงร้านรับสกรีนเสื้อกีฬา ขณะเกิดเหตุทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกดังกล่าวเกิดความแตกตื่นต่างพากัน วิ่งหนีตายอย่างอลหม่าน เพราะเกรงไฟจะลุกลาม โชคดีที่เจ้าหน้าที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ อย่างรวดเร็ว จึงฉีดน้ำดับเพลิงและสกัดเพลิงอยู่ในวงจำกัด ทั้งนี้เป็นน่าสังเกตว่าหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประชาชนส่วนใหญ่ต่างพากัน จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหตุเพลิงไหม้ในปีนี้เหมือนเป็นอาถรรพณ์ เพราะตั้งแต่เริ่มต้นปีมาก็เกิดเหตุเพลิงไหม้มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย และยังคงมีเหตุการณ์เพลิงไหม้สร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สิน เรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง

พระเพลิงเผาบ้านย่านบางซื่อวอด

ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 08.15 น. ร.ต.ท.หญิงนุชรี ล่องแก้ว ร้อยเวร สน.ประชาชื่น รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่ 26/1 หมู่ 25 ซอยหมู่บ้านสินสุขเพลส ถนนพิบูลสงคราม แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.จึงรุดไปไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยรถดับเพลิงจากสำนักป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.ประชาชื่น

ซึ่งที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้สูง 2 ชั้น เจ้าหน้าที่พบกลุ่มควันพวยพุ่งออกมา จากชั้นที่ 2 ของตัวบ้าน และมีเพลิงจำนวนมากกำลังลุกลามจากชั้นที่ 2 ลงมาชั้นที่ 1 เจ้าหน้าที่ต้องใช้รถน้ำกว่า 10 คัน ทำการสกัดกั้นไม่ให้เพลิงลุกลาม และสามารถควบคุมเพลิงได้ โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งบ้านได้รับความเสียหายทั้งหลัง พื้นที่เพลิงไหม้ประมาณ 104 ตารางเมตร

จากการสอบสวนทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ น.ส.พัศณี พันธุไพโรจน์ อายุ 57 ปี ต้นเพลิงเกิดจากห้องนอนชั้นที่ 2 ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าอาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร

ไฟช็อตเผาวอดบ้านย่านพหลโยธิน

ต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น.ของวันเดียวกัน ร.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดชะพันธ์ ร้อยเวร สน.พหลโยธิน รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเลขที่ 93/1 ซอยพหลโยธิน 24 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.จึงประสานหน่วยบรรเทาสาธารณภัย แล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.พหลโยธิน

โดยที่เกิดเหตุเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ สูง 2 ชั้น ปลูกอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวาเจ้าหน้าที่พบกลุ่มควันและแสงเพลิงเกิดขึ้นบนชั้นที่ 2 ของตัวบ้าน เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้รถน้ำประมาณ 10 คันเพื่อทำการสกัดกั้นไม่ให้เพลิงลุกลาม เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงควบคุมเพลิงไว้ได้ ตัวบ้านได้รับความเสียหายบริเวณชั้นที่ 2

จากการสอบสวนทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ นายพิทักษ์ ณรงค์เดชกุล ซึ่งก่อนเกิดเหตุนั่งไหว้เจ้าอยู่ที่ชั้นล่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังคล้ายไฟฟ้าช็อตกระทั่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว

ไขปรากฎการณ์‘สุริยคราส’โหรส.ว.ชี้ดวงนายกฯวิกฤติ-สูญเสียผู้ใหญ่ในบ้านเมือง



ประชาทรรศน์
25 ม.ค. 2009

โหร ส.ว. ‘บุญเลิศ ไพรินทร์’ ไขปรากฎการณ์สุริยคราส 26 ม.ค.นี้ ระบุให้ระวังภัยธรรมชาติ-จะสูญเสียผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ชี้ดวงนายกฯปีนี้ยังวิกฤติ!! โหรฟันธงพ้นกันยายนนี้ดวง ‘อภิสิทธิ์’ กระเตื้องในทางดี ขณะที่ประชาชนแห่จองพื้นที่แน่นขนัด เฝ้าดู ‘สุริยุปราคา’ แพทย์เตือน!! จ้องนานอาจตาบอดได้

รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (26 ม.ค.) จะเกิดปรากฎการณ์สุริยุปราคาบางส่วน ซึ่งเป็นสุริยุปราคาแบบวงแหวน โดยจะมองเห็นได้ตามเส้นทางที่พาดผ่านมหาสมุทรอินเดียและด้านตะวันตกของ ประเทศอินโอนีเซีย ซึ่งประเทศไทยจะเห็นแบบบางส่วนในทั่วทุกภูมิภาค และจังหวัดเชียงใหม่จะเริ่มเห็นการบังกันของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ตั้งแต่ เวลา 16.05 น. เป็นต้นไป และจะเห็นจัดบังกันมากที่สุดในเวลา 17.02 น. โดยจะสิ้นสุดการบังในเวลา 17.53 น. รวมแล้วจะเกิดการบังทั้งสิ้น 18.8%

ทั้งนี้ การเกิดสุริยุปราคาครั้งนี้ถือเป็นสุริยุปราคาครั้งแรกของปีดาราศาสตร์สากล และคาดว่าจะเกิดสุริยุปราคาครั้งต่อไปในวันที่ 22 ก.ค.อีกครั้ง แต่จะเกิดเป็นสุริยุปราคาเต็มดวง สังเกตเห็นตามแนวคราส พาดผ่านประเทศอินเดีย จีน ญี่ปุ่น และมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ สำหรับจ.เชียงใหม่ จะสังเกตเห็นปรากฏการณ์นี้ได้ในเวลา 07.02 - 09.11 น. และสังเกตเห็นการบังกันทั้งสิ้น 63.4%

‘โหร ส.ว.’ชี้ดวงนายกฯยังวิกฤติ-จะสูญเสียผู้ใหญ่ในบ้านเมือง

นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดฉะเชิงเทรา หรือโหร ส.ว. กล่าวถึงปรากฏการณ์สุริยคราสวงแหวน ที่มองเห็นในประเทศอินโดนิเซีย และบางส่วนในประเทศไทยนั้น ในทางโหราศาสตร์จะเกิดปัญหา เพราะว่าในช่วงที่เกิดสุริยคราสนั้นเกิดดาวจันทร์ดับและดาวพฤหัสบดีดับ ในราศีมังกรขึ้นพร้อมๆกันกับการเกิดสุริยคราสด้านใต้ของโลก และเว้าแหว่งเห็นมากทางทิศใต้ของประเทศไทย

“ให้ระวังภัยธรรมชาติและอาจจะสูญเสียผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หลังเกิดสุริยคราสนี้เป็นต้นไป ในผลของการเกิดสุริยคราส พร้อมจันทร์ดับและดาวพฤหัสบดีดับในเวลาเดียวกัน ในราศีมังกรนี้ ประการต่อมาคือ ราศีมังกรเป็นราศีการงาน หรือกรรมมะของดวงเมืองดวงโลก จะเกิดปัญหาเรื่องการงาน มีปัญหาการงานของโลก จะไม่รุ่งเรืองมีปัญหามาก ธุรกิจทั้งหลายจะปิดตัวลงมากมาย ไม่ว่าด้านอุตสาหกรรม หรือด้านพาณิชยกรรมต่างๆ จะมีปัญหา”

ฉะนั้นจะเกิดการว่างงาน และการเคลื่อนตัว เคลื่อนย้ายแรงงานทั่วประเทศ ทั่วโลกการงานทั้งหลายจะไม่ดี เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วในช่วงนี้ คนจะว่างงานมากและปัญหาที่ตามมาคือ อาชญากรรม และเป็นอาชญากรรมที่ภายใต้สุริคราส ก็คือ ไม่เปิดเผย อาญากรรมที่ซ่อนรูปมองเห็นได้ยาก พวกอาชญากรรมในพวกนี้เป็นการทุจริตคอรัปชั่นของข้าราชการ ของนักการเมือง รวมทั้งอาชญากรรมธุรกิจ ที่เกี่ยวกับเรื่องลับๆ เช่น ยาบ้า ยาเสพติดทั้งหลายจะแพร่กระจายมาก และรวมทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงานผิดกฎหมายระหว่างประเทศจะมีมากขึ้น เป็นประเด็นที่น่าห่วงมาก

โหร ส.ว.กล่าวว่า ในช่วงตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.52 วันที่สุริยคราสเกิดขึ้น จะวุ่นวายไปถึงเดือนสิ้นเดือน ก.ย.52 แต่หลังสิ้นเดือน ก.ย. วิกฤติจะลดน้อยถอยลงจะดีขึ้น เศรษฐกิจช่วงไตรมาสแรกและไตรมาส 2 จะมีปัญหาแน่นอน จะโงหัวดีขึ้นหลัง 30 ก.ย.52 ไปแล้ว

ด้านการเมือง ดวงผู้นำประเทศก็วิกฤติอยู่ สุริยคราสอยู่ในราศีที่ให้โทษอภิสิทธิ์ได้ไม่เต็ม เพราะอยู่ในราศีอริ แต่ว่าดาวมฤตยูกับดาวเสาร์เป็นดาวบาปเคราะห์ ที่ตรึงดวงคุณอภิสิทธิ์อยู่ ถ้าจะให้ดีจะต้องให้พ้น 30 ก.ย.52 เช่นกันดวงคุณอภิสิทธิ์จะดีขึ้น แต่ในช่วงนี้ยังปั่นป่วนอยู่ แต่มันจะคลี่คลายไปดีขึ้น เริ่มวันที่ 2 มี.ค.52 เป็นต้นไป แต่ก็ยังดีไม่เต็มที่ เพราะว่าดาวเสาร์ยังตรึงดวงคุณอภิสิทธิ์อยู่ แต่วันที่ 30 ก.ย. ดาวเสาร์ จะย้ายจากราศีสิงห์ สู่ ราศีกันย์ และมฤตยูย้ายจากราศีกุมภ์ สู่ราศีมีน จะให้โทษดวงคุณอภิสิทธิ์ได้น้อยลง ถ้ารักษาสถานการณ์ให้อยู่ได้ถึง 30 ก.ย. 52 จะบริหารได้สะดวกดีขึ้น

แพทย์ชี้‘สุริยุปราคา’อันตราย!!จ้องนานอาจตาบอด

นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี แนะนำวิธีการชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ว่า ผู้ชมต้องระมัดระวังอันตรายจากแสงของดวงอาทิตย์ที่มีความร้อนสูงและมีรังสี อัลตราไวโอเลต สามารถทำลายเซลล์ในจอประสาทตาบริเวณจุดรับภาพได้

ทั้งนี้ ควรดูเฉพาะช่วงที่แสงจ้าน้อยที่สุด ใช้เวลาดูครั้งละไม่เกิน 10 วินาที และไม่ควรดูขณะเงามืดคลายออก ไม่เช่นนั้นอาจทำให้จอประสาทตาเสื่อม มีอาการตาพร่ามัว เห็นภาพบิดเบี้ยว มองเห็นจุดดำกลางภาพ สู้แสงไม่ได้ ปวดศีรษะบริเวณหว่างคิ้วหรือหลังลูกตา ซึ่งจะมีอาการหลังดู 1 ชั่วโมง และจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน หรืออาจนานถึงครึ่งปี ในระยะยาวจอประสาทตาอาจเสื่อมไวกว่าปกติ หรืออาจถึงขั้นตาบอดได้ ผู้ที่มีโรคสายตา เช่น ต้อกระจก ตาแห้ง เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ห้ามดูเด็ดขาด แม้จะใช้อุปกรณ์มาตรฐาน เพราะจะทำให้โรครุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การชมให้มองผ่านแผ่นฟิล์มพิเศษที่ใช้ในการมองดวงอาทิตย์โดยเฉพาะ การดูผ่านฟิล์มเอกซเรย์ ฟิล์มขาวดำ หรือกระจกรมควัน ควรเพิ่มเป็น 2 ชั้น เพื่อกรองแสงให้มากที่สุด ไม่ควรใช้แว่นกันแดด เพราะเข้มไม่พอ และห้ามใช้กล้องส่องทางไกลเพราะเป็นการรวมแสงเข้าสู่ตาโดยตรง หากมีอาการผิดปกติขอให้รีบพบแพทย์ทันที

นักเที่ยวแห่จองพื้นที่!! รอดูสุริยุปราคา

จากกรณีที่นักดาราศาสตร์ คาดคะเนถึงการเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาไม่เต็มดวง ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 26 มกราคม ที่จะถึงนี้ โดยประชาชนสามารถมองเห็นได้เกือบทั่วประเทศนั้น

นายสุชิน อินสา รองอธิบการบดี ม.ราชภัฏเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ทางสาขาโปรแกรมฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.ราชภัฏเพชรบูรณ์ ได้เตรียมจัดกิจกรรมนำนักศึกษาในสาขาวิชาดังกล่าวไปเฝ้าชม และสังเกตการณ์การเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาดังกล่าว ที่บริเวณศูนย์วิทยาศาสตร์ หนองนารี ในเขตเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์

นอกจากนี้ ยังเปิดให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่สนใจเข้าร่วมสังเกตการณ์พร้อมรับฟังคำบรรยายให้ความรู้ถึงการเกิด ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ในครั้งนี้ด้วย

นายสุชิน ยังกล่าวอีกว่า สำหรับ จ.เพชรบูรณ์ จะเริ่มปรากฏการณ์ ตั้งแต่เวลา 15.59 น. เป็นต้นไป และพระอาทิตย์จะถูกบดบังเต็มที่ เวลาราว 17.01 น. โดยจะไปสิ้นสุดเมื่อเวลา ราว 17.57 น. อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำแนะนำว่าไม่ควรมองด้วยตาเปล่าก็ตาม โดยเฉพาะในช่วงสัมผัสแรกแต่หลังจากพระอาทิตย์ถูกบดบังอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน และลับขอบฟ้าทำให้เป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม และดูแปลกตา ซึ่งเชื่อว่าจะมีบรรดาช่างภาพให้ความสนใจถ่ายบันทึกภาพปรากฏการณ์ดังกล่าว เก็บไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆ อาทิ ที่ภูกระดึง จ.เลย เป็นต้น

'จตุพร-ณัฐวุฒิ'ฮึ่ม!ด่าตร.ถ่อยยิงปืนขู่เสื้อแดง จี้'เทพเทือก'แจงเผือกร้อนเชื่อมีคนสั่งการ



ประชาทรรศน์
25 ม.ค. 2009

'ณัฐวุฒิ-จตุพร' ปรอทแตก!! ด่าสีกากีถ่อยยิงปืนขู่คนเสื้อแดงเชียงใหม่ ปูด!! มีไอ้โม่งสั่งการอยู่เบื้องหลัง จี้ ‘เทพเทือก’ แจงเหตุ อ้างมีสิทธิขับไล่-ไม่ละเมิดกฎหมาย ด้าน ผบก.ภ.5 ยัน จนท.มีเหตุผล ชี้ไร้เจตนาทำร้าย-ข่มขู่ผู้ชุมนุม ขณะที่ ‘มาร์ค’ จี้คุมเข้มม็อบเสื้อแดง หวั่นเหตุบานปลาย

จากกรณีที่ม็อบเสื้อแดงเชียงใหม่ รวมตัวกันไปปิดล้อมประตูทางเข้าหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อขับไล่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะที่เดินทางมาร่วมงาน'ราตรีอ่างแก้ว' เนื่องในวันสถาปนาครบ 45 ปีเมื่อวานนี้ (24 ม.ค.) จนทำให้สถานการณ์เกิดความตึงเครียด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระดมกำลังอารักขา ขณะเดียวกันได้มีรถเก๋งออดี้ดำฝ่าด่านแผงเหล็กกั้น เจ้าหน้าที่จึงยิงยางรถแตก เพื่อสกัดกันวุ่นวายนั้น

วันนี้ (25 ม.ค.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ได้แถลงเรียกร้องให้นายสุเทพ ออกชี้แจงต่อสังคมให้ชัดเจน เนื่องจากเชื่อว่าต้องมีผู้ใหญ่ เป็นผู้สั่งการ ส่วนการขับไล่ รองนายกรัฐมนตรี เทพ ของคนเสื้อแดงนั้น โดยส่วนตัวเห็นว่ามีสิทธิ์ทำได้ เพราะไม่ละเมิดกฎหมาย

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า คนเสื้อแดงได้ประกาศชัดเจนว่าไม่ยอมรับรัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้นกรณีที่นายสุเทพ เดินทางเข้าไปในพื้นที่ภาคเหนือ ก็เป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านจะแสดงความไม่ต้อนรับ

ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ยิงปืนใส่ล้อรถของคนเสื้อแดงนั้น รัฐบาลจะต้องใช้มาตรฐานการสอบสวน��พร่ว่า ตำรวจฆ่าประชาชน ดังนั้นการใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงของกรณีนี้ จึงมีคำถามตามมาว่า คำสั่งที่ศาลปกครองที่มีมาตรการให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบนั้นได้นำมา ใช้จริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องทบทวน ว่าได้รับคำสั่งจากใครหรือไม่

ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ขณะที่เป็นฝ่ายค้านยังมี การต่อสู้เพื่อเหตุการณ์ที่เป็นลักษณะเช่นนี้ เพราะฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องออกมารับผิดชอบในกรณีดังกล่าวด้วย หากไม่ทบทวนก็จะมีกรณีตัวอย่างให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเรื่องนี้คนที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดคือนายสุเทพ ว่าได้สั่งการอะไรไป หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้สั่งการเอง ซึ่งคนดังกล่าวเป็นใคร มีการสอบสวนหรือไม่ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องออกมาชี้แจงกับประชาชน

ผบก.ภ.5 ยันจนท.ไรไป หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้สั่งการเอง ซึ่งคนดังกล่าวเป็นใคร มีการสอบสวนหรือไม่ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องออกมาชี้แจงกับประชาชน

ผบก.ภ.5 ยันจนท.ไร้เจตนาทำร้าย-ข่มขู่ผู้ชุมนุม

ด้านพล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาร 5 ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ยืนยันเจ้าหน้าที่ที่คุมม็อบคนเสื้อแดงเมื่อวานนี้ไม่มีการพกพาอาวุธ แต่รถเก๋งคันดังกล่าวได้ฝ่าด่านตำรวจมา 2 ด่าน เพื่อพุ่งตรงไปยังจุดที่ตำรวจนำแผงเหล็กปิดกั้นถนน จนทำให้ตำรวจตัดสินใจชักอาวุธปืนยิงเข้าที่ล้อหลังด้านซ้ายจนยางแตกและหยุด ซึ่งโดยส่วนตัวนั้นเห็นว่า ตำรวจคงมีเหตุผลเพียงแค่ต้องการหยุดรถคันดังกล่าวเท่านั้น และมั่นใจคงไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายหรือข่มขู่ผู้ชุมนุมแต่อย่างใด และขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการสอบหาสาเหตุแล้วคาดภายใน 3-5 วันจะรู้ผล

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เจ้าหน้าที่เลือกปฎิบัติหรือไม่ เนื่องจากตอนที่กลุ่มพันธมิตรประชาเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เคลื่อนไหวบุกปิดล้อมสถานที่ต่างๆ เจ้าหน้าที่ใช้เพียงแต่โล่ในคุมม็อบเท่านั้น แต่เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมกลับยิงปืนข่มขู่ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาร 5 กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกัน ยืนยันไม่ได้เลือกปฎิบัติ ซึ่งไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงหากชุมนุมตามกฎหมายเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ใช้ ความรุนแรง พร้อมเปิดทางให้ชุมนุม ส่วนกรณีที่ว่ามีการยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อสลายการชุมนุมนั้น พล.ต.ท.สถาพร กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวนั้น ตนยังไม่ได้รับรายงาน

นอกจาก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาร 5 กล่าวอีกด้วยว่า ตนอยากให้ประชาชนและสื่อมวลชน เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากทุกวันนี้ไม่ว่าตำรวจจะปฎิบัติหน้าที่ในทางใด ก็จะมีการถูกตำหนิและโจมตีอยู่ตลอดเวลา

'มาร์ค'ร้องเสื้อแดงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบกม.

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ จ.เชียงใหม่ว่า หากเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตยก็สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลพร้อมเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มได้ใช้สิทธิตามกฎหมาย ในส่วนของเจ้าหน้าที่ได้กำชับให้ดูแลไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรง

อย่างไรก็ตาม ขอเรียกร้องทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ขณะเดียวกันก็ต้องเคารพความเห็นและการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่มีแนวทางไม่ตรง กับตนเองด้วย ซึ่งวิธีการที่รัฐบาลจะใช้แก้ปัญหาคือการพูดคุยกับประชาชนด้วยข้อเท็จจริง และในขณะนี้ถือว่ารัฐบาลได้ดำเนินการคืบหน้ามาตามลำดับ

คาร์บอมบ์!กลางเมืองหลวงโซมาเลียตาย-เจ็บครึ่งร้อย

ประชาทรรศน์
25 ม.ค. 2009

วันนี้ (25 ม.ค.) เกิดระเบิดรถยนต์พลีชีพ หรือ คาร์บอมบ์ ที่หน้ากองกำลังรักษาสันติภาพของสหภาพแอฟริกัน ในเมืองหลวงของโซมาเลีย มีผู้เสียชีวิต 14 คน ในจำนวนนี้เป็นตำรวจ 1 คน ผู้หญิง 3 คน รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 14 คน นอกจากนี้ ยังมีการยิงปะทะกันด้วยปืนตามมาอีกระลอก ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน และบาดเจ็บอีก 18 คน แต่โชคดีไม่มีใครในกองกำลังรักษาสันติภาพได้รับอันตราย ทั้งนี้ ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างการโจมตี

ศึกเลือกตั้งซ่อมเมืองนนท์เด็กปชป.ฉลุย

ประชาทรรศน์
25 ม.ค. 2009

สนามเลือกตั้งซ่อมเขต 2 เมืองนนท์ ผู้สมัครประชาธิปัตย์นำลิ่ว ทิ้งห่างผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยหมื่นกว่าคะแนน แต่มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์บางตา พบเข้าคูหาลงคะแนนแค่ร้อยละ 30

วันนี้ (25 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 2 จังหวัดนนทบุรีว่า หลังการปิดหีบลงคะแนนเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จ.นนทบุรี แทนนายสมบัติ สิทธิกรวงศ์ ที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ขณะนี้ ผลการนับคะแนนเสร็จไปแล้ว 409 หน่วยเลือกตั้ง จากทั้งหมด 583 หน่วยเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับนับคะแนนไปได้ร้อยละ 80 โดยผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางนั้น ผู้ที่มีคะแนนนำ คือผู้สมัครหมายเลข 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ นายณรงค์ จันทนดิษฐ์ ได้ 59,259 คะแนน อันดับ 3 คือผู้สมัครหมายเลข 3 จากพรรคเพื่อไทย นายสุชาติ บรรดาศักดิ์ ได้ 44,350 คะแนน

ทั้งนี้ การนับคะแนนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากมีการเลือกตั้งใน 3 อำเภอ คือ ปากเกร็ด บางกรวย และไทรน้อย กับอีก 2 ตำบลของ อ.เมือง และเนื่องจากมีผู้มาใช้สิทธิ์กันบางตา ซึ่งเดิมตั้งเป้าไว้ร้อยละ 75 แต่คาดว่ามีผู้มาใช้สิทธิ์แค่ร้อยละ 30 เท่านั้น

'ชาวออนไลน์'ชี้ปชช.ยังปลื้ม'ทักษิณ'

ประชาทรรศน์
25 ม.ค. 2009

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (25 ม.ค.) ที่สมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล มีการจัดเสวนา หัวข้อ'การเมืองกับโลกออนไลน์' ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้ที่สนใจในการนำอินเทอร์เน็ตและ สื่อใหม่มาเป็นเครื่องมือในการช่วยผลักดันนโยบายจากภาคประชาชน การตรวจสอบนักการเมืองและพรรคการเมือง ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการมีส่วนร่วมในประชาธิปไตยอิน เทอร์เน็ต อีกทั้งรูปแบบงานเป็นการเสวนากลุ่มย่อยระหว่างผู้สนใจโดยเน้นการมีส่วนร่วม ของผู้เสวนา โดยมีหัวข้อนำเสนอด้วยกัน 4 หัวข้อ ดังนี้

1.เสรีภาพในการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ โดยเครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network) 2.การสำรวจความคิดเห็นด้านการเมืองของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทย โดย Siam Intelligence Unit) 3. เว็บไซต์ฐานข้อมูลนักการเมืองไทย โดย Thailand Political Bast และ Thaiswatch 4.การผลักดันนโยบายและไอเดียจากภาคประชาชนสำหรับกรุงเทพมหานคร โดยทีม IdeaBangkok ทั้งนี้ในส่วนสุดท้ายเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรณรงค์ด้านการเมืองผ่าน อินเทอรืเน็ต จากเยาวชนโดยเสรีภาพในการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ นั้นเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องสื่อ ซึ่งแบ่งออกเป็น 9 เรื่อง อาทิ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทาง Hi5 การตอบ-โพสต์ ในกระทู้ การแสดงความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งผ่านทางเว็บฯ ซึ่งทั้งหมดนี้เราไม่สามารถต่อสู้อะไรได้จากความจริงที่มีอยู่ แต่เราสามารถแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เราไม่เห็นด้วยหรือเห็นด้วยในเรื่อง นั้นๆได้ ทั้งนี้การแสดงความเห็นบนโลกอินเทอร์เน็ตนั้นมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอินเท อรืเน็ตด้วย เช่น รัฐ ผู้ให้บริการ เว็บโฮส เว็บมาสเตอร์ ผู้ดุแลเว็บบอร์ด/บล็อกเกอร์ที่เปิดพื้นที่คอมเม้นท์ ประชาชนคนใช้เน็ต

อย่างไรก็ตามยังมีพลเมืองเน็ตที่ให้คุณค่ากับการเข้าถึงโดยเสรี เสรีภาพในการมีส่วนร่วม ความโปร่งใส พรสวรรค์และการคิดค้นนวัตกรรม ความเท่าเทียมทางสังคม การกระจายศูนย์อำนาจ ทั้งนี้เสรีภาพคือการมีส่วนร่วมในอำนาจ อีกทั้งแนวทางการใช้เน็ตไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย แต่คนที่เข้าไปเป็นสมาชิกเป็นความต้องการของแต่ละบุคคล แต่การโพสต์ข้อความหรืออัพโหลดรูปภาพต้องไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น ซึ่งตรงนี้เราไม่สามารถบังคับบุคคลที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณของผู้ท่องโลกอินเทอร์เน็ตและโพสต์ข้อความ

ด้านการสำรวจความคิดเห็นด้านการเมืองของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนั้น นายกานต์ ยืนยง กล่าวว่า เป็นการทำการสำรวจความคิดเห็น ทัศนคติทางการเมืองของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งการสำรวจทางอินเทอร์เน็ตในการเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พบคนเน็ตยังเลือกพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นอันดับหนึ่ง โดยเลือกจำนวน 1,281 คน จากผลสำรวจทั้งหมด 4,279 คน หรือคิดเป็น 31% สำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรับมนตรีตามมาเป็นลำดับที่ 2 ที่ 636 คน หรือ 15 % ส่วนลำดับที่ 3 เป็นนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรับมนตรีที่ 299 คน หรือ 7%

ทั้งนี้ยังมีการสำรวจในเรื่องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “การเมืองใหม่” ของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีบุคคลที่ไม่เห็นด้วยสูงถึง 56% และเห็นด้วยเพีบง 15% แต่เห็นด้วยกับการเลือกนายกรัฐมนตรีทางตรงถึง 56% ขระที่มีผู้ไม่เห็นด้วยเพียง 23% เท่านั้นซึ่งผลสำรวจนี้กระทำผ่านแบบสอบถามออนไลน์จำนวน 4,279 คน ผ่านเว็บไซต์ขนาดใหญ่ เช่น twitter blognone kapok.com และประชาไท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ทั้งนี้แบบสำรวจ “ทัศนคติการเมืองของผู้ใช้อินเทอรืเน็ต” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ challenge Thailand 2010 ที่มีการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำทางการเมือง นักวิชาการ ที่มีอิทธิพลกับนโยบายสาธารณะ เพื่อคาดการณ์สถานการณ์ประเทศไทยในอนาคตและหาทางออกที่เป็นไปได้กับความขัด แย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านรายการทีวีออนไลน์ชื่อ Practical Utopia โดยติดตามชมได้ที่เว็บไซต์ www.siamintelligence.com

ส่วนเว็บไซต์ฐานข้อมูลนักการเมืองไทย โดย Thailand Political Bast และ Thaiswatch กล่าวว่า คือรูปแบบเป็นการเปิดโอกาสให้เข้ามาแชร์ข้อมูลเรื่องของนักการเมืองแต่ละ พรรคการเมือง รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้ามาค้นหาข้อมูลเพื่อทำรายงานหรือทำงาน วิจัยต่างๆเกี่ยวกับนักการเมือง ซึ่งทางเว็บมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาโพสต์ในเว็บฯ ว่าข้อมูลนักการเมืองแต่ละคนนั้นเป็นใครมาจากไหน
ทั้งนี้หากใครจะทำวิจัยสามารถเข้ามาดูในเว็บ ThaiWatch.com ได้ เพราะจะมีการนำเสนอข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจ เช่น มีร้านอาหารร้านใดบ้างที่นักการเมืองแต่ละคนใช้เป็นการนัดแนะพูดคุยกับ เพื่อนหรือใช้เป็นที่ประชุมหารือของพรรค รวมทั้งมีรายชื่อกลุ่มคนข้ามชาติด้วย โดยเว็บนี้คนสามารถเข้าไปแก้ไขข้อมูลที่ตนอ่านแล้วไม่เข้าใจได้ด้วย เพราะเว็บเป็บแบบวิกิมิเดียแบบเปิด

ขณะที่การผลักดันนโยบายและไอเดียจากภาคประชาชนสำหรับกรุงเทพมหา นคร โดยทีม IdeaBangkok กล่าวว่า เป็นการผลักดันโยบายและไอเดียของภาคประชาชนมาบริหารเพื่อให้กรุงเทพมหานครมี ความเจริญก้าวหน้า และสามารถท่องโลกอินเทอร์เน็ตอย่างมีความสุข เป็นการนำไอเดียจากภาคประชาชนมาปรับปรุงการทำงานของนักการเมืองและเว็บไซต์ ที่มีการโพสต์ข้อความ

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้

ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ"

ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย


เทศกาลจีนมีอยู่มากมาย ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน ในปีนี้ตรงกับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่างหยุดงาน โรงเรียนสถาบันการศึกษาต่างปิดเทอมในช่วงนี้ เป็นปิดเรียนฤดูหนาว ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่ไม่สามารถหยุดงานได้ หน่วยงานห้างร้านต่างก็หยุดงาน 3-4 วัน เมื่อใกล้วันปีใหม่จีน ผู้คนต่างก็มีการตระเตรียมงานปีใหม่ ภายในครอบครัว ทุกบ้านก็จะทำความสะอาดบ้านเรือน ผ่านปีใหม่อย่างสะอาดสะอ้านสดใส ร้านค้าห้างสรรพสินค้าต่างก็เติมไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เด็กๆ ซื้อของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซื้อบัตรอวยพร ในตลาดก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน ต่างเดินไปเดินมากันขวักไขว่ ซื้อปลาบ้าง ซื้อเนื้อสัตว์บ้าง ซื้อเป็ดไก่บ้าง ทุกคนต่างดูแจ่มใสมีความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ เด็กๆ ต่างมีความสุขมาก ต่างสวมเสืิด ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน ตอนกินอาหารมื้อค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่จีน ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะอาหาร ต่างชนแก้วอวยพรปีใหม่กันทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะ�อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว (เจี้ยวจึ) คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ทำน้ำเชื่อม ทำไป ชิมไปทานไป ครึกครื้นอย่างยิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นแต่เช้า ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เยี่ยมเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงอวยพรปีใหม่
ประวัติวันตรุษจีน หรือปีใหม่จีน

ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นั้นเอง

ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆ แล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่ จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น

วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอย จะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆ กัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง

เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัวต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน

อาหารไหว้เจ้า

ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆ ในปี อาหารชนิดต่างๆ ที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆ มีความหมายที่เป็น มงคลในตัวของมัน
เม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย
เกาลัด - มีความหมายถึง เงิน
สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย
เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข
หน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์
อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัวเพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาว
ทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน


ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน

ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่

หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน

การแต่งกายและความสะอาด ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี

วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล

บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี

การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก

ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ ของตน

15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน

วันแรกของปีใหม่ เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์และโลก หลายคนงดทานเนื้อ ในวันนี้ด้วยความเชื่อที่ว่าจะเป็นการต่ออายุและนำมาซึ่งความสุขในชีวิตให้กับตน

วันที่สอง ชาวจีนจะไหว้บรรพชนและเทวดาทั้งหลาย และจะดีเป็นพิเศษกับสุนัข เลี้ยงดูให้ข้าวอาบ น้ำให้แก่มัน ด้วยเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันที่สุนัขเกิด

วันที่สามและสี่ เป็นวันของบุตรเขยที่จะต้องทำความเคารพแก่พ่อตาแม่ยายของตน

วันที่ห้า เรียกว่า พูวู ซึ่งวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือน ของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ในวันนี้จะไม่มีใครไปเยี่ยมใครเพราะจะถือว่าเป็นการนำโชคร้าย มาแก่ทั้งสองฝ่าย

วันที่หก ถึงสิบชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของ ครอบครัว และไปวัดไปวาสวดมนต์เพื่อความร่ำรวยและความสุข

วันที่เจ็ด ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวนานำเอาผลผลิตของตนออกมาชาวนาเหล่านี้จะทำน้ำที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิดเพื่อฉลองวันนี้ วันที่เจ็ดถือเป็นวันเกิด ของมนุษย์ในวันนี้อาหารจะเป็น หมี่ซั่วกินเพื่อชีวิตที่ยาวนานและปลาดิบเพื่อความสำเร็จ

วันที่แปด ชาวฟูเจียน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจาก เทียนกง เทพแห่งสวรรค์

วันที่เก้า จะสวดมนต์ไหว้และถวายอาหารแก่ เง็กเซียนฮ่องเต้

วันที่สิบถึงวันที่สิบสอง เป็นวันของเพื่อนและญาติๆ ซึ่งควรเชื้อเชิญมาทานอาหารเย็น และหลังจากที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยความมัน วันที่สิบสามถือเป็นวันที่เราควรทานข้าวธรรมดากับผักดองกิมกิ ถือเป็นการชำระล้างร่างกาย

วันที่สิบสี่ ความเป็นวันที่เตรียมงานฉลองโคมไฟซึ่งจะมีขึ้น ในคืนของวันที่สิบห้าแห่งการฉลองตรุษจีน

โหรส.ว.ทักดวง'มาร์ค'ถึงคราวซวยหลังเกิดสุริยะคราส

ประชาทรรศน์
24 ม.ค. 2009

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(24 ม.ค.) นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.ฉะเชิงเทรา เจ้าของฉายา 'โหร สว.' กล่าวถึงกรณีจะเกิดปรากฏการณ์สุริยะคราสวงแหวนที่มองเห็นในประเทศอินโดนิ เซีย และบางส่วนในประเทศไทย นั้น โดยระบุว่าในด้านโหราศาสตร์จะเกิดปัญหา เพราะว่าในช่วงที่เกิดสุริยะคราสนั้น เกิดดาวจันทร์ดับและดาวพฤหัสบดีดับในราศีมังกรขึ้นพร้อมกัน กับการเกิดสุริยะคราสด้านใต้ของโลกและเว้าแหว่งเห็นมากทางทิศใต้ของประเทศ ไทย จึงต้องระวังปัญหาที่เกิดจากภัยธรรมชาติ และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองในประเทศ ในโลก จะมีปัญหาที่อาจจะสูญเสียผู้หลักผู้ใหญ่ หลังเกิดสุริยะคราสนี้เป็นต้นไป ในผลของเกิดสุริยะคราสพร้อมจันทร์ดับและดาวพฤหัสบดีดับ

ด้วยเหตุนี้ในช่วงตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.นี้เป็นต้นไป วันที่สุริยะคราสเกิดขึ้นจะวุ่นวายไปถึงเดือนสิ้นเดือน ก.ย.ปีเดียวกัน แต่หลังสิ้นเดือน ก.ย.วิกฤติจะลดน้อยถอยลงจะดีขึ้น เศรษฐกิจช่วงไตรมาสแรกและไตรมาส2จะมีปัญหาแน่นอน และจะเริ่มดีขึ้นหลัง30กริ แต่ว่าดาวมฤตยูกับดาวเสาร์เป็นดาวบาปเคราะห์ที่ตรึงดวงคุณอภิสิทธิ์อยู่ ถ้าจะให้ดี จะต้องให้พ้น 30 ก.ย.ปีนี้เช่นกัน ดวงคุณอภิสิทธิ์จะดีขึ้น แต่ในช่วงนี้ยังปั่นป่วนอยู่

โหรส.ว.กล่าวต่ออีกว่า แม้สถานการณ์ของผู้นำจะคลี่คลาย และดีขึ้นโยในช่วงเริ่มวันที่ 2 มี.ค.52เป็นต้นไป แต่ก็ยังดีไม่เต็มที่ เพราะว่าดาวเสาร์ยังตรึงดวงนายอภิสิทธิ์อยู่ แต่วันที่ 30 ก.ย.ดาวเสารณ์ของผู้นำจะคลี่คลาย และดีขึ้นโยในช่วงเริ่มวันที่ 2 มี.ค.52เป็นต้นไป แต่ก็ยังดีไม่เต็มที่ เพราะว่าดาวเสาร์ยังตรึงดวงนายอภิสิทธิ์อยู่ แต่วันที่ 30 ก.ย.ดาวเสาร์จะย้ายจากราศีสิงห์สู่ราศีกันย์ และมฤตยูย้ายจากราศีกุมสู่ราศีมีนจะให้โทษดวงคุณอภิสิทธิ์ได้น้อยลง ถ้ารักษาสถานการณ์ให้อยู่ได้ถึง 30 ก.ย.จะบริหารได้สะดวกดีขึ้น

"เพื่อไทย"รับสภาพ"ถังแตก"เล็งดึงทุนนอกอุ้มพรรคแทน"ทักษิณ"

ประชาทัศน์
24 ม.ค. 2009

"เพื่อไทย"รับสภาพ "ทักษิณ"ปิดท่อน้ำเลี้ยง เสียงแข็งพรรคไม่กระทบ ลั่นเดินหน้าสร้างองค์กรให้เป็นปึกแผ่น "ณัฐวุฒิ"เล็งดึงทุนนอกอุ้ม"พท.-คนเสื้อแดง" ขณะที่ "นายกฯมาร์ค" แตะเบรกดึงต่างชาติป่วนการเมืองไทยไม่เหมาะสม

วันนี้ (24 ม.ค.) พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อาซาฮีของประเทศญี่ปุ่นว่าสถานภาพทางการเงินของ ตนไม่สามารถให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยได้แล้วว่า ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลอะไร เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้สนับสนุนทางการเงินให้กับพรรคมานานแล้ว สมาชิกพรรคเพื่อไทยจะต้องพยายามทำพรรคให้เป็นองค์กรที่เข้มแข็ง ด้วยการไม่ทอดทิ้งพรรคในยามที่ตกยาก แต่ยอมรับว่า การประกาศของพ.ต.ท.ทักษิณ มีผลกระทบต่อพรรคบ้าง เพราะพรรคเพื่อไทยเกิดจากพรรคไทยรักไทย มาเป็นพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีกระแสของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวสร้างพรรค เพื่อพ.ต.ท.ทักษิณหยุด สมาชิกพรรคก็ต้องสร้างพรรคให้้นมะม่วงที่เวลาโตแล้ว ไม่ต้องใช้น้ำก็โตด้วยตัวของมันเองได้ แม้หากไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงมาก มันก็ยังออกผลได้ หรือยิ่งไม่มีน้ำมันก็ต้องยิ่งออกผลเร็วกว่าเดิม วันนี้ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยยังแข็งแรงอยู่ไม่ต้องห่วง ไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยสิ่งนั้น ที่มาบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีเงินนั้น ความจริงแล้วการเมืองไม่ต้องใช้ตังค์เท่าไหร่

ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตโ�่ต้องห่วง ไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยสิ่งนั้น ที่มาบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีเงินนั้น ความจริงแล้วการเมืองไม่ต้องใช้ตังค์เท่าไหร่

ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าอยู่ในภาวะลำบากทำให้แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงสงสารและเห็นใจ พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้นกับชะตากรรมที่ใครไม่เจอกับตัวจะไม่มีทางรู้ ซึ่งถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับโอกาสจากคนบางกลุ่มในสังคมสักครึ่งหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีได้รับ คงจะสามารถทำงานให้กับประเทศไทยได้อีกมาก แต่น่าเสียดายที่คนบางกลุ่มในสังคมไทยกลับเห็นว่า งานไม่ดีแต่มีเส้นเด่นกว่าพวกงานเด่นแต่เส้นไม่มี

"การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ประสบปัญหาทางการเงิน ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ กับคนเสื้อแดง เพราะไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะมีเงินอีกหรือไม่ แต่ถ้ามีหัวใจประชาธิปไตย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะได้รับการสนับสนุนจากคนเสื้อแดงในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์คนหนึ่งอย่างแน่ นอน และที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเคลื่อนไหว การผลิตเครื่องดื่มความจริงวันนี้อย่างเดียวเพื่อเป็นทุนสนับสนุนการเคลื่อน ไหวคงไม่พอ แกนนำจะส่งตัวแทนไปประสานงานกับองค์กรประชาธิปไตยระดับนานาชาติหลายองค์กร เพื่อขอความสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง เพราะขณะนี้ทั้งโลกรับรู้เป็นอย่างดีว่า อำนาจนอกระบบได้เข้ามาแทรกแซงความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทย แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเอาเงินนอกประเทศ มาล้มล้างประเทศไทย" นายณัฐวุฒิ กล่าว

วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ที่จะระดมทุนจากต่างชาติเพื่อใช้เคลื่อนไหวว่า ถ้าเป็นเงินทุนจากต่างประเทศ คงไม่เหมาะ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของพรรค ที่จะจัดงานระดมทุนตามปกติมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้

เมื่อถามว่า ต้องตรวจสอบเส้นทางเงินหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากเรื่องนี้เป็นเรื่องพรรคการเมืองนั้นมีกฎหมายกำกับอยู่แล้ว แต่หากเป็นเรื่องตัวบุคคลจะไปติดต่อประสานงานกับใครก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นตัวองค์กรก็มีกลไกในการตรวจสอบอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้หนักใจอะไร

เยาวราชคึกคักปชช.ยกโขยงรับแจกเหรียญ'ฮง ลก ซิ่ว'-แห่ขายทองคำ

ประชาทรรศน์
24 ม.ค. 2009

'ตรุษจีน'เยาวราชคึกสุดยอดชาวไทยเชื้อสายจีนแห่ช็อปวัน จ่ายแน่นตลาด ราคาเนื้อ - ผัก - ผลไม้ ปรับลดเอาใจประชาชน ทองเยาวราช สวนทางราคาถีบตัวสูงลิ่ว ชาวบ้านเททองขายล้นทะลัก บรรยากาศตลาดต่างจังหวัดไม่สดใจ ตั้งราคาสินค้าสูงอ้างของหายาก ชาวบ้านบุรีรัมย์งดหัวหมู แห่ซื้อสัตว์ปีกไม่หวั่นไข้หวัดนก

สีสันการจับจ่ายในช่วงเทศกาลตรุษตจีน ยังคงเป็นไปอย่างคึกคักแม้ในช่วงนี้จะอยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 ม.ค.) ที่วัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ ถ.เยาวราช มีประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีน จำนวนมากเดินทางมาไหว้พระขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคล และรอรับเหรียญที่ทางวัดได้เตรียมมอบให้ในเทศกาลนี้ และฉลองครบรอบ 30 ปีการก่อตั้งวัด คือเหรียญ 'ฮก ลก ซิ่ว' ซึ่งเป็นเทพเจ้า 3 องค์ ซึ่งมีเพียงวันนี้เท่านั้น

ส่วนบรรยากาศของผู้มาซื้อเครื่องเซ่นไหว้ในเทศกาลตรุษจีน ประชาชนซื้อข้าวของคึกคักพอสมควร ซึ่งราคาไก่ เป็ด และเครื่องเซ่นไหว้ขยับเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ10 แต่ทั้งนี้ยังคงราคาสินค้า ห฀ห็ดหอมจากกิโลกรัมละ 400 บาทเหลือเพียงกิโลกรัมละ 280 บาท ขณะที่ ผลไม้ส่วนใหญ่ก็มีการปรับลดราคาลงเช่นกัน

ปชช.แห่ขายทองคำล้นเยาวราช

ขณะที่ร้านทองในย่านเยาวราชมีประชาชนแห่มาขายทองมากกว่าเดิม โดยนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึงบรรยากาศการซื้อขายทองคำช่วงตรุษจีน ว่า ราคาทองคำวันนี้สูงขึ้นประมาณ 400 บาทต่อทองคำน้ำหนัก 1 บาท ก็ทำให้มีผู้นำทองคำมาขายเพื่อทำกำไรค่อนข้างมาก โดยราคาทองแท่งอยู่ที่ 14,500-14,600 บาท ส่วนทองรูปพรรณ ราคาเฉลี่ยที่ 14,900-15,000 บาท โดยมีผู้มาขายมากกว่าซื้อ แต่ต้องรอดูวันจันทร์ที่คาดว่า ประชาชนจะมาซื้อทองไปมอบให้ญาติพี่น้องว่าจะคึกคักขึ้นหรือไม่ แต่หากเปรียบเทียบกับปีก่อน ถือว่าบรรยากาศไม่คึกคักมากนัก เพราะประชาชนวิตกปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้การซื้อขายทองคำไม่คึกคักเท่าที่ควร

ตลาดใต้ปรับราคาเนื้อสัตว์-ผัก-ผลไม้

ขณะที่ในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ตลาดทรัพย์สินพลาซ่าสงขลา ถนนนครใน อ.เมือง จ.สงขลา ชาวไทยเชื้อสายจีนออกมาจับจ่ายซื้อของเซ่นไหว้�ปรับราคาเนื้อสัตว์-ผัก-ผลไม้

ขณะที่ในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ตลาดทรัพย์สินพลาซ่าสงขลา ถนนนครใน อ.เมือง จ.สงขลา ชาวไทยเชื้อสายจีนออกมาจับจ่ายซื้อของเซ่นไหว้เพื่อเตรียมไหว้พระและ บรรพบุรุษ โดยในการจับจ่ายซื้อของเซ่นไหว้ในปีนี้ชาวไทยเชื้อสายจีนจะซื้อเฉพาะสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับนำไปเซ่นไหว้เท่านั้น เนื่องจากราคาสิ่งของเซ่นไหว้ ทั้งหมู ไก่ เป็ด ผัก ผลไม้ มีการปรับราคาสูงขึ้น โดยราคาหมูเนื้อแดงขายในราคา กก.ละ 110-120 บาท หัวหมูไหว้เจ้า กก.ละ 65 -70 บาท จากเดิม 60 บาท ส่วนไก่ ซึ่งเป็นตัวหลักในกะพงขาว ขนาด 1 กก.กก.ละ 200 บาท

ด้านผักมีบางชนิดที่มีการปรับราคาสูงขึ้น ได้แก่ ต้นกระเทียมจีน กก.ละ 100 บาท ต้นกึ้นไฉ้และผักชี ราคา กก.ละ 60 -70 บาท ต้นหอม กก.ละ 40 บาท ส่วนผักอื่นยังราคาปรกติ สำหรับผลไม้ที่ปรับราคาสูงขึ้นทุกชนิด เช่น ส้มโชกุน กก.ละ 65 บาท นอกจากนี้ยังมีขนมเข่ง ขนมเทียน ซึ่งเป็นขนมที่ใช้ไหว้เจ้าช่วงตรุษจีนก็อยู่ในราคาปกติ โดยขนมเข่งราคา กก.ละ 70 บาท ขนมเทียนลึ้นทุกชนิด เช่น ส้มโชกุน กก.ละ 65 บาท นอกจากนี้ยังมีขนมเข่ง ขนมเทียน ซึ่งเป็นขนมที่ใช้ไหว้เจ้าช่วงตรุษจีนก็อยู่ในราคาปกติ โดยขนมเข่งราคา กก.ละ 70 บาท ขนมเทียนลูกละ 4 บาท ราคาเท่ากับปีที่ผ่านมา

ปชช.พิจิตรคึกคักไก่สดขายดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองพิจิตร ชาวไทย เชื้อสายจีนพากันออกมาจับจ่ายซื้อเครื่องเซ่นไหว้ เทศกาลตรุษจีนตั้งแต่เช้า โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ชาวไทยเชื้อสายจีนต่างพากันมาซื้อเครื่องเซ่นไหว้ โดยเฉพาะไก่สดอย่างเนืองแน่น ต่างกับหลายปีที่ผ่านมาที่ในช่วงนี้มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับโรคไข้หวัดนก แต่ในปีนี้ไม่มีโรคเกิดขึ้นจึงทำให้ประชาชนพากันซื้อได้อย่างสบายใจ จนทำให้พ่อค้าแม่ค้า ต้องสั่งไก่สดมาเพิ่มตลอดเวลา เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ โดยราคาไก่ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด โดยปีนี้ประชาชนต่างพากันซื้อไก่แบบยกตัว หมูเป็นกิโลกรัม ต่างกับปีที่ผ่านมา ที่หลายคนซื้อไก่เพียงครึ่งตัว หมูเพียง 1 ชิ้นไปเซ่นไหว้ สวนทางกับกระแสเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันร้ายขายเนื้อของชาวอิสลามที่ตั้งแผงขายใกล้เคียงกับแผงขายหมูและ ไก่ ต่างก็พากันเงียบเหงา เทียบความแตกต่างได้อย่างชัดเจน โดยผู้ค้าระบุว่าขายได้น้อยมาก


ตลาดบุรีรัมย์หง๋อย-แม่ค้าหัวหมูคอตก

ด้านบรรย�ขณะที่ ราคาเป็ด ไก่ ได้ปรับราคาสูงขึ้นถึงกิโลกรัมละ 120 บาท จากปกติมีราคาเพียงกิโลกรัมละ 100 บาท โดยกลุ่มแม่ค้า อ้างว่า รับซื้อมาในราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 70-80 บาทเพิ่มจากเดิม 50-60 บาท เนื่องจากสินค้าหายาก

ขณะที่มีรายงานว่าแม่ค้า-พ่อค้าจำหน่ายหมูในตลาดดังกล่าว เปิดเผยว่าในเทศกาลตรุษจีน ปีนี้ยังไม่มีผู้ใด มาสั่งจองหัวหมู เพื่อนำไปเซ่นไหว้แม้แต่รายเดียว ซึ่งต่างจ�ีรายงานว่าแม่ค้า-พ่อค้าจำหน่ายหมูในตลาดดังกล่าว เปิดเผยว่าในเทศกาลตรุษจีน ปีนี้ยังไม่มีผู้ใด มาสั่งจองหัวหมู เพื่อนำไปเซ่นไหว้แม้แต่รายเดียว ซึ่งต่างจากทุกปีที่ผ่านมาจะมาสั่งจองไว้ประมาณ 40-50 หัว ทั้งนี้ยังมีการคาการณ์ว่า ในปีนี้น่าจะมีการหันไปใช้ผลไม้ในการเซ่นไหว้มากกว่าที่จะใช้เป็ด ไก่ ซึ่งมีราคาแพงกว่า ประกอบกับ บางส่วนยังมีความหวาดกลัวกับโรคไข้หวัดนก

เสื้อแดงร้อยเอ็ดบุกยึดเวธีพธม.ขวาง"สมเกียรติ-สมศักดิ์"ปราศรัย


กลุ่มเสื้อแดงจังหวัดร้อยเอ็ดประมาณ 2 พันคน ฝ่าแถวตำรวจบุกยึดเวทีพันธมิตรฯร้อยเอ็ด ขวางการไฮปาร์ค"สมเกียรติ-สมศักดิ์" พร้อมยื่นคำขาดหากไม่ออกจากบึงพลาญชัย ไม่รับประกันความปลอดภัย

วันนี้ (24 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากหน้าสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด หรือบึงพลาญชัย ที่ตั้งเวทีปราศรัยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดร้อยเอ็ดว่า กลุ่มพันธมิตรฯ มีกำหนดการจัดเวทีปราศรัยในเวลา 18 .00 น. โดยมีนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ นายสมศักดิ์ โกสัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายไชยวัฒน์ สินสุวงค์ และนายตวง อันทะไชย ส.ว.ร้อยเอ็ด และตัวแทนพันธมิตรจากหลายจังหวัด จะขึ้นเวทีปราศรัยภายใต้แนวทาง "ก้าวสู่ ร้อยเอ็ดภิวัฒน์ พบปะสังสรรค์ ครอบครัวพันธมิตร พี่น้องผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาธิปไตย"

อย่างไรก็ดี กลุ่มเสื้อแดงรักประชาธิปไตยร้อยเอ็ด และแนวร่วมประชิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร้อยเอ็ด มีนายนิสิต สินธุไพร อดีตกรรมการบั้งแต่วานนี้(23 ม.ค.) โดยส่งตัวแทนยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเรียกร้องไม่ให้อนุญาตตั้งเวทีพันธมิตรฯ

ล่าสุด กลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 2,000 คนได้เคลื่อนขบวนจาก 4 มุมเมืองมุ่งหน้าไปยังบริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ และได้ฮือฝ่าวงล้อมของตำรวจตั้งแผงกั้นตรึงไว้จำนวน 5 กองร้อย และอีก 1 กองร้อยผสมฝ่ายปกครอง อส. อปพร. และทหาร แต่ต้านทานไม่ได้ ส่งผลให้กลุ่มคนเสื้อแดงบุกเข้ายึดพื้นที่และเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ จนกลุ่มพันธมิตรที่ประมาณ 30 คน นำโดย นพ.ธีรวุฒิ เถาว์ทิพย์ แกนนำพันธมิตรฯ ร้อยเอ็ด ซึ่งควบคุมจัดเวทีปราศรัย ต้องรื้อป้าย และเก็บอุปกรณ์เครื่องดนตรี และอื่นๆ ลงจากเวที ก่อนจะทำรื้อถอนเวทีปราศรัยออก เพราะเกรงจะได้รับอันตราย

จากนั้นกลุ่มเสื้อแดงได้เข้าคุมพื้นที่ทั้งหมดไว้ได้ และใช้รถเครื่องขยายเสียงปราศรัยโจมตีพันธมิตรฯ และห้ามจัดเวทีที่จังหวัดร้อยเอ็ดเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อฟังก็จะได้รับบทเรียนอย่างหนัก ล่าสุด มีรายงานระบุว่าแกนนำเสื้อแดง ปรขยายเสียงปราศรัยโจมตีพันธมิตรฯ และห้ามจัดเวทีที่จังหวัดร้อยเอ็ดเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อฟังก็จะได้รับบทเรียนอย่างหนัก ล่าสุด มีรายงานระบุว่าแกนนำเสื้อแดง ประกาศให้เวลา 30 นาทีออกจากสวนสมเด็จฯ ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นจะไม่รับประกันความปลอดภัย

'เจแปนแอร์ไลน์' อ่วมสั่งพนง.หยุดงาน 2เดือนไร้เงินขวัญถุง

พิษ!เศรษฐกิจ 'เจแปนแอร์ไลน์' เสนอพนักงานหยุดงานไม่รับค่าตอบแทน โฆษกสายการบิน รับ จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางกับบริษัทฯลดฮวบ เผย คาเธย์ แปซิฟิก แอร์เวย์ สายการบินใหญ่สุดของฮ่องกง เสนอให้พนักงานลาหยุดโดยไม่รับค่าแรงตั้งแต่ปีที่แล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า จากจำนวนผู้โดยสารลดลงอย่างมากซึ่งเป็นผลกระทบที่มาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ทำให้เจแปน แอร์ไลน์ อินเตอร์เนชั่นแนล สายการบินใหญ่สุดของเอเชีย ซึ่งมีพนักงานประมาณ 16,200 คน ต้องหาทางประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอด ซึ่งล่าสุดได้เชิญชวนให้พนักงาน 16,200 คน ที่อยู่ในสายงาน การบริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ เข้าโครงการหยุดงานแบบไม่รับค่าตอบแทนเป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนก.พ.-มี.ค. ก่อนหน้านี้ทางสายการบินก็ได้ตัดสินใจลดเที่ยวบินไปยังเมืองต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารน้อยลงอย่างมาก

โดยก่อนหน้านี้ สตีเฟน เพิร์ลแมน โฆษกของเจแปน แอร์ไลน์ เปิดเผยว่า จะขอให้พนักงานของเจแปน แอร์ไลน์ ทั้งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน นักบิน และพนักงานภาคพื้นดิน ลาหยุดงาน 1 หรือ 2 เดือน โดยไม่รับ�ป

เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เจแปน แอร์ไลน์ มีจำนวนผู้โดยสารลดลง 17.6% ซึ่งนับว่า มากที่สุดตั้งแต่เหตุการณ์ระบาดของโรคซาร์สและไข้หวัดนกไ ซึ่งสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการเดินทางในปี 2546 ขณะที่ คาเธย์ แปซิฟิก แอร์เวย์ส สายการบินใหญ่สุดของฮ่องกง เสนอให้พนักงานลาหยุดโดยไม่รับค่าแรงตั้งแต่ปีที่แล้ว

นอกจากนี้เจแปน แอร์ไลน์ ยังมีแผนจะลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานลิฟิก แอร์เวย์ส สายการบินใหญ่สุดของฮ่องกง เสนอให้พนักงานลาหยุดโดยไม่รับค่าแรงตั้งแต่ปีที่แล้ว

นอกจากนี้เจแปน แอร์ไลน์ ยังมีแผนจะลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานลงหมื่นล้านเยนในปีงบการเงินปัจจุบัน หลังจากตัดงบส่วนนี้ลงไป 5 หมื่น 2 พันล้านเยนในปีที่แล้ว ด้วยการปลดพนักงานและลดการจ่ายโบนัสและเงินบำเหน็จบำนาญ