สมยศ พฤกษาเกษมสุข
ชื่อ “ การุณ โหสกุล “ เป็นที่รู้จักมักคุ้นกับประชาชนทุกเพศทุกวัยในเขตดอนเมืองเป็นอย่างดีในฐานะ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.)หลายสมัย แต่ที่ทำให้เป็นรู้จักกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนกลายเป็นเอกลักษณ์กล่าวขานไปทุกหย่อมหญ้าทั่วผืนแผ่นดินไทยเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2551 ในฐานะที่เขาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชาชน โดยได้ก่อเหตุภายในรัฐสภาด้วยการเหวี่ยงเท้าเข้าไปตรงเป้าหมายสำคัญของนาย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและสส.พรรคประชาธิปัตย์ จนกลายเป็นคดีความฟ้องร้องต่อกันอย่างครึกโครม
เหตุการณ์นี้มีผู้คนมากมายที่แซ่ซ้อง สรรเสริญเขา เพราะในยามนั้นแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ชุมนุมปิดถนน ยึดทำเนียบรัฐบาลเพื่อโค่นล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จนทำให้ประชาชนคนไทยเกิดความรู้สึกเหมือนถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อสนองความ ต้องการที่ไร้เหตุผลของกลุ่มโจรพันธมิตรฯจึงแสดงออกซึ่งความยินดีต่อการ กระทำของนายการุณ โหสกุลในครั้งนั้น แต่สำหรับฝ่ายตรงกันข้าม ย่อมที่จะต้องประณามก่นด่าและกระทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายชื่อเสียง ภาพพจน์ของนายการุณ โหสกุลให้ป่นปี้ย่อยยับเป็นผุยผง
การกระทำของนายการุณ โหสกุล แม้ว่าเป็นที่น่าพอใจของผู้คนจำนวนมาก และไม่ใช่คดีร้ายแรง หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บเลือดตกยางออก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ตามปกติวิสัยอันเกิดจากอารมณ์ขุ่นมัวของผู้คนใน สังคมที่ไม่อาจอดทน อดกลั้นต่อการกระทำเยี่ยงมหาโจรของกลุ่มพันธมิตรฯเพราะก่อเหตุวุ่นวายขึ้นมา อย่างไม่รู้จักจบสิ้นสักที การุณ โหสกุล เป็นหนึ่งในกลุ่มคนในสังคมไทยที่สะสมความรู้สึกขุ่นมัวแบบนี้ จึงต้องแสดงออกมาตอบโต้อย่างเปิดเผย แต่แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าวถือว่าไม่เหมาะสมด้วยฐานะของการเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร แต่ทว่าฝ่ายตรงกันข้าม ได้โหมกระหน่ำ โจมตีนายการุณ โหสกุล แบบสาดเสียเทเสีย จนทำให้จริงกลายเป็นเท็จและเท็จกลายเป็นจริง
สื่อมวลชนจากค่ายผู้จัดการของสนธิ ลิ้มทองกุล โจมตีเขาอย่างรุนแรง ด้วยการใช้ถ้อยคำเรียก การุณ ว่า เป็น สส.ถ่อย บ้าง เป็นนักเลงหัวไม้ บ้าง กระทั่งพยายามขุดคุ้ยหาเรื่องราวของเขาแบบจับแพะชนแกะ นำเสนอเรื่องราวของการุณในลักษณะเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียวที่เต็มไปด้วยอคติ
เขาตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมืองระดับ ชาติ ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2548 แต่ต้องถูกพิษภัยเล่ห์กลสกปรกเล่นงานตัวเขาอย่างหนัก จนคู่ต่อสู้ของเขานางจณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ จากพรรคชาติไทยได้รับการเลือกตั้งไปอย่างง่ายดาย เพราะการุณถูกเตะตัดขาไปเสียก่อน
การุณ ถูกกระหน่ำ ถูกโจมตี อย่างหนักจากฝ่ายตรงข้าม เขาถูกบิดเบือนความจริงและถูกให้ร้ายป้ายสี จนไม่มีโอกาสที่จะพูดความจริงให้สังคมได้รับรู้แม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของ เรื่องจริงทั้งหมด เป็นความเจ็บปวดบาดลึกอยู่ภายในใจของลูกผู้ชายที่ชื่อการุณ โหสกุล แต่เขาสะกดความรู้สึกเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี ไม่ออกมาตอบโต้ เพียงเพื่อที่จะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏ
“ผมยึดมั่นความจริง เพราะความจริง คือความจริง ความดีคือความดีจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งความจริงย่อมปรากฏ ความดีย่อมชนะความชั่ว ผมจะเอาชนะความเท็จด้วยความจริงและด้วยความดีเท่านั้นด้วยการรอคอยให้ถึง เวลานั้นเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงที่ใช้ได้เสมอ” การุณกล่าว
เวลาผ่านพ้นมาแล้ว ได้พิสูจน์ความจริงที่เป็นตัวตนของเขาอย่างถูกต้องชัดเจนแล้วว่าเขาคือ ผู้บริสุทธิ์ และด้วยความเก่ง เขาจึงเฮงได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะด้วยความอดทน อดกลั้น เขาจึงยืนหยัดอยู่ได้อย่างทระนงองอาจบนถนนสายการเมือง วันนี้การุณ โหสกุลคือนักการเมืองหน้าใหม่ที่กำลังก้าวเดินสู่ความสำเร็จใกล้แค่เอื้อม มือถึง
จากรากหญ้าสู่รากไทร
การุณ โหสกุล เกิดวันที่ 4 ธันวาคม 2510 (ปัจจุบันอายุ 42 ปี) บิดาคือ นายสมพรรษา โหสกุล (เสียชีวิตแล้ว) มารดา นางสุบรรณ ถนัดทาง มีพี่ชาย 1 คน คือ นายสุริยา โหสกุล ซึ่งปัจจุบันเป็น ส.ก.เขตดอนเมือง มีพี่สาว 1 คน แต่งงานอยู่กับนางรัชดาวรรณ เกตุสะอาด (โหสกุล) อดีต ส.ก.เขตดอนเมืองแล้ว โดยมีบุตรด้วยกัน 2 คน จบการศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โรงเรียนเทคนิคธุรกิจบัณฑิต
การุณ โหสกุล เติบโตและใช้ชีวิตอย่างโชกโชนในชุมชนเขตดอนเมืองที่ทำให้เขากล้าพูดด้วยความ ภาคภูมิใจว่าเขาคือคนท้องถิ่นพันธ์แท้ในฐานะที่เป็นลูกหลานของคนในชุมชน ดอนเมืองจนสามารถเดิน-เข้าออกตามตรอกตามซอยได้คล่องแคล่ว เขาจึงรู้เรื่องราวความเป็นไปและการเปลี่ยนแปลงของชุมชนดอนเมืองเป็นอย่างดี แม้ว่าในบางช่วงขณะตัวเขาต้องออกห่างไปจากชุมชนแต่ทว่าเขามักจะไป-มาหมุน เวียนใช้ชีวิตอยู่กับชุมชนในเขตดอนเมืองอยู่เสมอ
การุณ ไม่ได้กำเนิดมาจากตระกูลร่ำรวยมากนัก เพราะความยากจนนี่เองทำให้การุณใช้ชีวิตต่อสู้ดิ้นรนทุกรูปแบบ อาชีพแรกเมื่อการุณอายุ 22 ปีที่เขากล้าประกาศให้สังคมรับรู้ก็คือ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง ซึ่งมีรายได้ดำรงชีพน้อยมากจนแทบกระอักเลือด แต่ทว่าการุณนั้นมีความใฝ่ฝันแน่วแน่ เขาทำงานหนัก ไม่ย่อท้อ ตื่นแต่เช้าและทำงานขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างยาวนานชั่วโมง โดยใช้เงินอย่างประหยัด อดออม แต่ทว่า เขาไม่เคยหยุดนิ่งที่จะแสวงหาถึงความก้าวหน้าในชีวิต เขาเป็นเด็กหนุ่มไฟแรง ดังนั้นเขาจึงได้มีโอกาสไป ทำงานเป็นแมสเซนเจอร์ หรือพนักงานส่งเอกสารในบริษัทส่งออก-นำเข้าแห่งหนึ่ง
การได้มีโอกาสมาเป็นพนักงานส่งเอกสารใน บริษัทนำเข้าและส่งออกสินค้าไปต่างประเทศเป็นเวลาถึง 3ปี ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเขาหยุดนิ่งอยู่แค่การเป็นพนักงานส่งเอกสาร แต่เขาได้เรียนรู้การดำเนินธุรกิจส่งออก-นำเข้าอย่างลึกซึ้ง เขาใช้เวลาว่างอ่านเอกสาร พิมพ์ดีด และพูดคุยเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำธุรกิจกับทุกคนในที่ทำงาน จากการเป็นพนักงานส่งเอกสารของเขาทำให้เขาเรียนรู้วงจรธุรกิจและเครือข่าย ธุรกิจส่งออก-นำเข้าจนเชี่ยวชาญ เป็นเสมือนตำราเรียนที่ไม่มีในสถาบันการศึกษา
เขาจึงมีความเชี่ยวชาญและความรู้เป็น พิเศษในแวดวงธุรกิจนำเข้าและส่งออก จนกระทั่งมีผู้คนเข้ามาลงทุนทำธุรกิจนี้มากยิ่งขึ้น เมื่อทีมงานของบริษัทส่งออก-นำเข้าแห่งนี้เกิดสภาพการแตกตัวทางธุรกิจ เขาจึงมีโอกาสสำคัญของชีวิตที่จะก้าวกระโดดพลิกผันชีวิตตนเอง เขากลายเป็นหุ้นส่วนและเรี่ยวแรงสำคัญของทีมงานธุรกิจที่แยกตัวออกมา เพราะเหตุที่การุณ รู้ทุกช่องทางของเครือข่ายธุรกิจนำเข้า-ส่งออกนั่นเอง ที่นี่ทำให้ การุณ กลายเป็นคนร่ำรวยทันตาเห็นในจังหวะก้าวของชีวิต เมื่อช่องทางการส่งออกได้ขยายตัวไปสู่กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกกำลังเฟื่อง ฟู
เขาไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักธุรกิจที่ กำลังกลายเป็นคนร่ำรวย แต่ด้วยความเป็นคนใจกว้างและเอื้ออาทร เคยใช้ชีวิตที่ยากจนมาก่อน เขาจึงใช้เงินของเขาสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเป็นที่รักใคร่ของผู้คนในย่านดอนเมือง และกลายเป็นผู้ที่กว้างขวางและมีอิทธิพลคนหนึ่งในดอนเมือง จนกระทั่งเขาได้มารู้จักกับนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ ได้ชักชวนเขามาเดินบนถนนการเมืองในปี 2540
การุณ ประสพผลสำเร็จจากการได้เป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตดอนเมือง ของพรรคชาติไทยมา ยาวนาน ซึ่งทางพรรคหวังว่าจะให้นายการุณเป็นตัวแทนของพรรคในการลงสมัครเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรค ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งทางพรรคไม่มีตัวแทนมานาน แต่ทว่าในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 นายการุณกลับลาออกไปสมัครเข้าพรรคไทยรักไทยแทน ทำให้ทางพรรคชาติไทยต้องเปลี่ยนตัวผู้สมัครในเขตนี้กระทันหัน เป็น นางสาวจณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ หรือน้องแบมแทน
การตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม ของพรรคไทยรักไทยเป็นจุดเริ่มต้นที่การุณต้องเผชิญกับความสกปรกโสโครกทางการ เมือง เขาจึงถูกพิษภัยเล่กลการเมืองเล่นงานอย่างหนัก ในเรื่องวุฒิการศึกษา ดังนั้นการเลือกตั้งในปี 2548 การุณ จึงต้องหลีกทางให้กับจณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
แต่การุณไม่ได้ท้อถอยหรือยอมศิโรราบกับ ความสกปรกป่าเถื่อนของสนามการเลือกตั้ง เขายังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตคลุกคลีอยู่กับชาวบ้าน พบปะอยู่กับพี่น้องประชาชนที่เป็นเสมือนผนังทองแดงกำแพงเหล็กของการุณ โหสกุล จนกระทั่งการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 การุณจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การุณ โหสกุล เปิดเผยว่า เขาประทับใจในนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามยาเสพติดและการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่ทำให้คนไทยหลุดพ้นไปจากยาเสพติดและประชาชนมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข เขาจึงเป็นคนหนึ่งที่ยืนยันว่า เขาชื่นชอบ มอบความรัก ความศรัทธาต่อพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ และตั้งใจแน่วแน่ที่จะร่วมกับประชาชนต่อสู้ให้ให้พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ กลับมาประเทศไทยให้ได้
การุณ โหสกุล ยึดมั่นในความอดทน มุมานะ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค จะเอาชนะได้ทุกสิ่ง เขายังเชื่อมั่นอีกว่า หากคนเราไม่เห็นแก่ตัวและแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ การรู้จักแบ่งปัน จะทำให้เราเป็นที่ยอมรับจากประชาชนและนี่คือปัจจัยสำคัญนำมาสู่ความสำเร็จใน ชีวิตนักการเมืองของเขา
การเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและการเข้าถึง ประชาชน ทำให้ประชาชนยอมรับการุณ โหสกุลจนไม่มีใครอาจหาญจะเข้ามาเป็นคู่แข่งในสนามการเลือกตั้งทุกสนามไม่ว่า จะเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นหรือการเลือกตั้งในระดับชาติ
เวลาได้พิสูจน์ความจริงให้กับการุณ โหสกุล ข้อกล่าวหาทั้งหลายทั้งปวงที่มีต่อเขาทั้งในเรื่องหย่าร้างหรือทุบตีกับ ภรรยาเขาไม่ใช่ความจริง เรื่องนักเลงหัวไม้หรือเป็นอันธพาลเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียวที่จ้องทำลายทาง การเมือง
เขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีความ โดดเด่นเป็นอย่างมาก ได้ทำหน้าที่รับใช้ประชาชนและประเทศชาติอย่างจริงจัง ด้วยผลงานรูปธรรมปรากฏอยู่ในเขตดอนเมือง บ้านเกิดของเขา ทุกที่ทุกทางชื่อของเขาปรากฏอยู่ให้เห็นเป็นผลงาน และด้วยผลงานประจักษ์ชัดเจนของการทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการตรวจ สอบการทำงานรัฐบาล การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง กระทั่งการทำหน้าที่สำคัญในระดับแนวหน้าของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยใน สังคมไทย