http://www.prachatai.com/journal/2009/11/26519
วันก่อนผมเจอรุ่นน้องอดีตนักกิจกรรมที่เป็นพันธมิตรแถวหน้า หน้าจริงๆ เพราะลุยที่ไหนเขาเข้าไปก่อน แต่เป็นคนนิสัยดี เปิดกว้าง ไม่คับแคบเหมือนพวกฮาร์ดคอร์ และยังไม่ทิ้งจุดยืนของนักเคลื่อนไหวฝ่ายก้าวหน้า
วันก่อนผมเจอรุ่นน้องอดีตนักกิจกรรมที่เป็นพันธมิตรแถวหน้า หน้าจริงๆ เพราะลุยที่ไหนเขาเข้าไปก่อน แต่เป็นคนนิสัยดี เปิดกว้าง ไม่คับแคบเหมือนพวกฮาร์ดคอร์ และยังไม่ทิ้งจุดยืนของนักเคลื่อนไหวฝ่ายก้าวหน้า
เขาพูดไปหัวเราะไปถึงปณิธาน วัฒนายากร ที่ออกมาตอบโต้ พล.อ.ชวลิต “รับแผนโจรใต้” ว่า อ่านหัวข่าวตอนแรกนึกว่าเทพไท ที่ไหนได้กลายเป็นปณิธาน ไม่น่าเชื่อว่าบิ๊กจิ๋วทำให้ปณิธานเป็นไปได้เพียงนี้
ผมเศร้าหน่อยๆ เมื่อได้ฟัง ผมเคยสัมภาษณ์ปณิธานหลายครั้ง กล้าพูดได้ว่าเป็นคน Nice เป็น สุภาพบุรุษ ผู้ดีมีสกุลที่ไม่ถือตัว นักวิชาการที่รู้กว้าง รู้จริง และวิเคราะห์ได้แม่นยำ เป็นระบบ ถึงจะเห็นต่าง ก็ยังยกย่องนับถือ
ผมขำปณิธานอยู่ครั้งเดียว คือตอนที่เขาตัดสินใจเข้าสู่การเมือง ให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย เขา ‘เกร็ง’ และระวังตัวแจ จนไม่เป็นกันเองเหมือนเคย นั่งคุยกันที่คณะรัฐศาสตร์ ทุกครั้งเป็นต้องสั่งกาแฟมาเลี้ยง แต่ครั้งนั้นไม่ยอมสั่ง (ไม่เลี้ยงกาแฟใครแม้แต่แก้วเดียว-ฮา)
การเมืองทำให้คนเปลี่ยนไป ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองที่มีผลประโยชน์ แต่ทุกคนที่กระโจนเข้าไปเลือกข้าง ก็ต้อง ‘เล่น การเมือง’ เพื่อเป็นผู้ชนะ ไม่มีใครอยากแพ้ แม้แต่แกนนำพันธมิตรก็ ‘เล่นการเมือง’ เมื่อยามปราศรัยกับพี่น้องเอ๊ยบนเวที แต่ลงมาข้างล่างแล้วพูดกับเพื่อนพ้องน้องพี่อีกอย่าง
เพื่อนพ้องในพันธมิตรมักพูดกับผมว่า ในการต่อสู้คุณจะเรียกร้องให้เราเดินตรงเป๊ะได้ไง มันก็ต้องมีแทคติกมียุทธวิธีบ้าง (เช่นการยืมมือ ‘ศักดินาล้า หลัง’ มาขับไล่ ‘ทุนสามานย์’ อย่างที่อ้างกันบ่อยๆ) ผมก็บอกว่าใช่ มันไม่มีหรอกการต่อสู้ที่แฟร์ๆ แต่อย่างน้อยคุณอย่ากลืนหลักการที่ตัวเองเคยพูดเคยยึดถือ เช่น เคยเชิดชูประชาธิปไตยต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านอภิสิทธิ์ชน (พูดอย่างให้ความเป็นธรรม แกนนำเสื้อแดงก็ ‘เล่นการเมือง’ แต่เขาไม่ได้กลืนหลักการมากเท่า-หรือไม่เคยมีหลักการให้กลืน)
วันนี้เช่นกัน สื่อ นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมทั้งหลาย ที่(เคย)เป็นฝ่ายก้าวหน้า ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าจะทิ้งจุดยืนไปปลุกความคลั่งชาติเป็นอาวุธ แบบฝ่ายขวา แบบเทพไท แบบประชาธิปัตย์ อีกหรือเปล่า
บิ๊กจิ๋วชูนโยบายนครปัตตานี อาจพูดได้ว่านี่คือเกมการเมืองเขย่ารัฐ แต่ถามว่าข้อเสนอเขตปกครองพิเศษ การเคารพและยอมรับอัตลักษณ์ ก็มาจากคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่มีพิภพ ธงไชย เป็นกรรมการ มีอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน มิใช่หรือ
สื่อ นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวฝ่ายก้าวหน้า ต่างสนับสนุนการกระจายอำนาจ และคัดค้านการปลุกชาตินิยมกดกีดกันชนส่วนน้อยมาตลอดมิใช่หรือ
เมื่อครั้งทักษิณปลุกชาตินิยมไปจัดการปัญหาภาคใต้ ‘ชาว เรา’ ก็เคยคัดค้านทักษิณ แต่เมื่อบิ๊กจิ๋วเป็นนอมินีทักษิณไปชูนโยบายกระจายอำนาจ ‘ชาวเรา’ ที่ไปสวมเสื้อเหลืองจะคัดค้านเพียงเพราะเกลียดทักษิณหรือ
ฉะนั้นจะวิพากษ์บิ๊กจิ๋วไม่จริงใจ หรือพูดไม่รู้เรื่อง ก็เชิญว่าไป แต่อย่าร่วมมือกับรัฐปฏิกิริยาฝ่ายขวาปลุกชาตินิยมมาต่อต้านหลักการกระจาย อำนาจ ภราดรภาพ เสมอภาค เคารพอัตลักษณ์และสิทธิชุมชน สิทธิการดูแลตนเองของท้องถิ่นไม่ว่าจะชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มใหญ่
ไม่ร่วมมือไม่พอ ผู้นำชุมชนอย่างบรรจง นะแส สุทธิ อัชฌาสัย หรืออีกหลายๆ คน ยังควรจะต้องออกมาปกป้องหลักการด้วย ถ้าพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี ทหารแก่ทหารเกือกปลุกคลั่งชาติรัฐนิยมจนเลยเถิด
ไม่เช่นนั้นก็จงระวังว่าพวกคลั่งชาติอาจมองว่าทักษิณทำถูกแล้ว ที่จับหมอแวขังยาวข้อหาเจไอ ไม่น่าปล่อยออกมาเล้ย มันรับแผนมาจากโจรใต้ (ฮาไม่ออก)
กระแสคลั่งชาติทางใต้ยังไม่รุนแรงเท่าทางตะวันออก ซึ่งรัฐบาลนิสัยเด็กได้คะแนนนิยมล้นหลาม ไม่แปลกอะไร เพราะคนไทยได้รับการปลูกฝังชาตินิยมโดยไม่ต้องมีเหตุผลมาแต่อ้อนแต่ออก ‘ลูกจีนรักชาติ’ พ่อแม่พูดไทยไม่ชัด ยังคิดเสมือนว่าตัวเองสืบเชื้อสายมาจากยุคพระนเรศวรตัดหัวพระยาละแวก
แน่นอนเรื่องนี้ต้องแยกแยะ ผมคงไม่บอกว่าการกระทำของทักษิณและฮุนเซ็นถูกต้อง แต่การตอบโต้ของรัฐบาล การประโคมโหมกระแส ‘ขายชาติ’ ตามสื่อ ก็ชัดเจนว่าเป็นการปลุกกระแสคลั่งชาติมาช่วงชิงคะแนนนิยม และทำลายล้างทักษิณ
ถามว่าในวิถีการทูต ยังมีวิธีอื่นที่เป็นการประท้วงรัฐบาลกัมพูชาอย่างเหมาะสมกว่าการเรียก ทูตกลับหรือไม่ ยังมีวิธีที่จะประนีประนอมรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวหรือไม่ ผมเชื่อว่ามี แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เลือก เพราะเห็นว่าการตอบโต้แบบนี้จะเรียก ‘ศักดิ์ศรี’ และคะแนนนิยมได้ท่วมท้น (ก็ไม่ต่างจากตอนทักษิณขึงขังส่งเครื่องบินทหารไปปฏิบัติการเอนเทบเบ้ถึงพนมเปญ)
‘ศักดิ์ศรี’ อะไร ศักดิ์ศรีของชาติที่ถือว่าตัวเองเหนือกว่า ผู้นำของชาติเคยตัดหัวผู้นำอีกชาติเอาเลือดล้างเท้า อย่างนั้นหรือ
เช่นกัน ใน 2-3 วันที่ผ่านมา เมื่อเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ หรือไม่ต้องเปิด ก็มีคนส่งเมล์ว่อนข้อเขียนของคอลัมนิสต์ไดโนเสาร์หลายราย ที่พูดถึงการมีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งทักษิณโดยกษัตริย์เขมร พูดถึงประวัติศาสตร์ยุคพระยาละแวก ฯลฯ บ้างก็โทษทักษิณว่าสมคบ ‘ศัตรู’ (จะด่าทักษิณก็ด่าไป ทำไมต้องสถาปนาเพื่อนบ้านเป็นศัตรู)
เรียกได้ว่าคึกคัก ‘งานเข้า’ กันจริงๆ สำหรับพวกที่ถนัดการปลุกอุดมการณ์ราชาชาตินิยม ตั้งแต่เทมาเสก มาจนถึงฮุนเซน นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงเป็น ‘กระแช่’ เมื่อปี 19
คำถามว่า ‘ศักดิ์ศรี’ บนพื้นฐานของความเท่าเทียมอยู่ตรงไหน ค่อนข้างจะหาคำตอบได้ยาก ถ้าดูพฤติกรรมของฮุนเซนแบบตัดตอน ก็สมควรตอบโต้ เพราะการประกาศว่าจะไม่ยอมส่งตัวทักษิณและให้ที่พักพิง มันคือการท้าทายในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะฮุนเซนจะทำอย่างดูไบโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไรก็ได้ แต่พูดทำไม โดยทั่วไปผู้นำประเทศเขาจะไม่ออกมาท้าทายด้วยตัวเองอย่างนี้ (ไม่ใช่เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมไทยวิเศษวิโสอะไร ถึงวิจารณ์ไม่ได้)
แต่อย่าลืมว่าตั้งแต่ทักษิณถูกรัฐประหาร ความสัมพันธ์ระหว่างเขมรกับไทยก็ไม่เคยมีปัญหา ตอนนั้นฮุนเซนมึความชอบธรรมเต็มที่ด้วยซ้ำ หากจะให้ที่พักพิงทักษิณ แต่เขาก็ยังเกรงใจไทย ปัญหามันเกิดตอนไหน ผมว่าทุกคนตอบได้ถ้าย้อนเอาใจเขาใส่ใจเรา ก็การปลุกกระแสคลั่งชาติทวงปราสาทพระวิหาร คัดค้านขึ้นทะเบียนมรดกโลก เล่นเกมการเมืองเอาชนะกันจนกระทบกระเทือนความสัมพันธ์เพื่อนบ้าน หนำซ้ำ คนที่ยืนยันว่าผืนดินใต้ปราสาทเป็นของไทย ได้ขึ้นมาเป็นนายกฯ คนที่ด่าฮุนเซนเฮงซวย ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศหน้าตาเฉย
เอ้อ ถ้าผมเป็นเขมร ผมมีสิทธิจะไม่พอใจไหมครับ
ฮุนเซนไม่ได้ ‘โง่’ อย่างที่คอลัมนิสต์บางคนคิด ฮุนเซน ‘เขี้ยวลาก’ ต่างหาก คุณปลุกชาตินิยม ฮุนเซนก็ปลุกชาตินิยมเหมือนกัน ในประวัติศาสตร์ชาติเขมร ที่เขาเจ็บช้ำกับการเป็นชาติเล็กผู้ถูกรุกรานอยู่เสมอ (ต้องการอิสรภาพก็หาว่าไม่ซื่อ) การที่ผู้นำกล้าตบหน้าท้าทาย ‘พี่ใหญ่’ จึงเป็นความภาคภูมิใจและเรียกคะแนนนิยมท่วมท้น
ผู้นำทั้งสองประเทศจึงเล่นเกมปลุกชาตินิยมเพื่ออำนาจนิยม โดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะรัฐบาล ปชป.ที่ฉวยโอกาสประณามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองว่าขายชาติ ผลักความเห็นต่าง ความอยุติธรรม ความไม่ชอบธรรม และความไม่เป็นประชาธิปไตยให้ถูกกลืนไปในกระแสชาตินิยม
ผมไม่แปลกใจกับการเล่นเกมของนักการเมือง หรือทัศนะสุดโต่งของคอลัมนิสต์จารีตนิยม เขาเป็นของเขาอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ผมสลดใจกับสื่อรุ่นใหม่ นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม พลังที่ ‘เคย’ ก้าวหน้า กลับโดดเข้ามาร่วมปลุกกระแสล้าหลังคลั่งชาติกันหน้าตาเฉย ตั้งแต่กรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปีที่แล้ว หรือปีนี้ (ที่บางปู-เฮ)
บางคนอาจจะบอกว่าไม่ได้ร่วม แค่อยู่เฉยๆ ปล่อยไปตามกระแส ปล่อยให้เทพไท (ความภาคภูมิใจของพรรคนักศึกษา 7 คณะ) ออกมาแจกซีดีเพลงย้อนยุค ‘หนักแผ่นดิน’ ก็ไม่ต่างจากแกนนำพันธมิตรที่ยืนกรานจนวันนี้ว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับรัฐ ประหาร (เพราะไม่ได้ไปช่วยขับรถถัง) หรือหลายคนที่ออกตัวภายหลังว่าไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรปลุกชาตินิยมทวงปราสาท พระวิหาร (แต่ตอนนั้นนิ่งเงียบ)
ผมเคยสะใจมากที่เห็นอดีตกรรมการสิทธิฯ โต้กับผู้การน้องแน็ตหน้าจอทีวีเรื่องประจานผู้ต้องหา แล้วถูกเชือดกระจุย แพ้กระแสสังคม มันพิสูจน์ว่าจากจุดเริ่มต้นที่คุณต่อสู้กับทักษิณว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ผ่านเวลามาหลายปี คุณไม่ได้ยกระดับความเคารพสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยขึ้นเลย นอกจากเปลี่ยนข้างกันเป็นผู้ชนะ แล้วก็ละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกฝ่าย ทักษิณแทรกแซงสื่อ ทักษิณปิดกั้นเสียงข้างน้อย แต่ยุคนี้สมัยนี้หนักหนาสาหัสกว่ายุคทักษิณด้วยซ้ำ
พี่พิภพ ธงไชย เคยคุยกับผมเมื่อปี 50 ว่า สิ่งที่อยากเห็นคือกระบวนการยุติธรรมทำงาน เอาทักษิณขึ้นศาลเป็นแบบอย่างเหมือนเกาหลี ไต้หวัน เพื่อสถาปนาความมีกติกาความเคารพกติกาในสังคมไทย เกือบ 3 ปีที่ผ่านมาเป็นจริงไหม สังคมไทยเคารพกติกามากขึ้นไหม หรือเราเสื่อมความเชื่อถือในกติกา เสือมเสียจนกระทั่งกรรมการฟีฟ๋า ที่อยู่ในข่ายได้ไปตัดสินบอลโลก ยังลอบวางระเบิดสังหารผู้บังคับบัญชา (ฮาไม่ออก)
มันน่าสมเพชว่าการต่อสู้กับทักษิณ ที่ว่าอำนาจนิยม ไม่เป็นประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิ แทรกแซงสื่อ แทรกแซงองค์กรอิสระ คอรัปชั่น ผลประโยชน์ทับซ้อน ฯลฯ กลับนำไปสู่ความเสื่อมเสียยิ่งกว่าของหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน จรรยาบรรณสื่อ ตุลาการภิวัตน์ หรือแม้กระทั่งการคอรัปชั่นของนักการเมือง และผลประโยชน์แฝงเร้นของชนชั้นนำ
ทักษิณพับนกด่าโจรกระจอก คุณก็ด่าเฮงซวยทวงปราสาทพระวิหาร ก็เอาชนะกันไป บนความเสื่อมและล้าหลังลงเรื่อยๆ โดยไม่ได้ให้ความคิดที่ถูกต้องกับสังคม