CBOX เสรีชน

16 มกราคม, 2552

กูเกิลเลิกจ้างพนักงานประจำ 100 คน

ข่าวเก่า กูเกิลเตรียมเลิกจ้างพนักงานชั่วคราว 10,000 ตำแหน่ง ตอนนี้วิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐร้ายแรงเกินคาด ลามมาถึงพนักงานประจำที่ทำงานแบบเต็มเวลาของกูเกิล ซึ่งถือได้ว่าเป็นตำแหน่งงานที่มั่นคงมากเป็นอันดับต้นๆ ของซิลิคอน วัลเลย์

แถมพนักงานชุดแรกที่ปลด 100 คนนี้จะเป็น recruiter หรือฝ่ายที่สรรหาพนักงานใหม่เข้ามาทำงาน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ากูเกิลไม่ต้องการพนักงานใหม่มากเท่าไรนักในช่วง นี้

กูเกิลเตรียมเลิกจ้างพนักงานชั่วคราว 10,000 ตำแหน่ง

ผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐลามไปถึงกูเกิลแล้ว กูเกิลเตรียมจะปรับลดพนักงานแบบสัญญาจ้างชั่วคราว (contractor) จำนวนประมาณ 10,000 ตำแหน่ง พนักงานส่วนนี้บางส่วนอาจถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นพนักงานประจำเต็มเวลา แต่ลดสวัสดิการหลายอย่างลงไป (รวมถึงหุ้น) ซึ่งในภาพรวมจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง

ปัจจุบันกูเกิลมีพนักงานประจำอยู่ประมาณ 20,000 คน แต่มีพนักงานรวมประมาณ 30,000 คน ผู้ก่อตั้ง Sergey Brin ให้ความเห็นว่าพนักงานชั่วคราวจำนวน 10,000 คนนี้มีจำนวนมากเกินไป มีรายงานว่ากูเกิลวางแผนปรับลดพนักงานกลุ่มนี้มาประมาณ 6 เดือนแล้ว

Seagate ปลดพนักงาน 2,950 คน + ตัดเงินเดือนซีอีโอ

ปัญหาเศรษฐกิจยังซัดเข้าใส่อุตสาหกรรมไอทีอย่างต่อเนื่อง Seagate ซึ่งเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ที่สุดของโลกได้ประกาศปลดพนักงาน 6% ของพนักงานทั้งหมดทั่วโลก หรือคิดเป็น 2,950 ตำแหน่ง โดยในจำนวนนี้อยู่ในอเมริกา 800 ตำแหน่ง

นอกจากปลดพนักงานแล้ว Seagate ยังประกาศลดเงินเดือนของพนักงานระดับบริหารด้วย โดยซีอีโอคนใหม่ซิงๆ คือ Stephen Luczo ซึ่งเป็นอดีตซีอีโอกลับมารับตำแหน่งใหม่ (เทร็นด์นี้กำลังฮิต) จะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าเดิม 25%

Seagate คาดว่ามาตรการปลดพนักงานรอบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 130 ล้านดอลลาร์ ส่วนการลดเงินเดือนผู้บริหารจะลดได้ 80 ล้าน

บ.ประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยใกล้เป็นจริงธอส.จ่อชงคลังช่วยคนซื้อบ้านกู้ได้100%

แบงก์ชาติหนุนรัฐบาลจัดตั้งบริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย กระตุ้นสินเชื่อให้ขยายตัวลูกค้าสามารถกู้เงินได้เต็ม 100 % ด้าน ธอส. ของบพันล้านตั้งบริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย เร่งชงเข้าคลังดันเข้าครม. ระบุถือหุ้นแค่ 20% ที่เหลือ 80 % บริษัทประกันถือหุ้น

นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลมีนโยบายตั้ง บริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มอร์เกจ อินชัวรันส์) เพื่อทำหน้าที่ค้ำประกันสินเชื่อและดูแลเรื่องเงินดาวน์ให้กับผู้ซื้อบ้าน ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรดำเนินการกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์กล้าปล่อยกู้มากขึ้น เนื่องจากมีการเข้ามาแบ่งเบาความเสี่ยงที่เกิดขึ้น จากเดิมที่ธนาคารต้องแบกรับเองทั้งหมด และยังช่วยกระตุ้นให้สินเชื่อขยายตัวได้เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันฝ่ายประชาชนหรือลูกค้า ผู้มาขอกู้ โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นคนเงินเดือนน้อย หรือเริ่มต้นทำงานใหม่ หรือผู้ที่มีคุณสมบัติต่ำกว่าเกณฑ์ทั่วไปของธนาคารพาณิชย์ แม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น หากมีระบบการจัดการความเสี่ยงที่ดี

ทั้งนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้เตรียมเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งบริษัทประกันสินเชื่อเพื่อให้ลูกค้าสามารถกู้เงินซื้อบ้านได้เต็ม 100% โดยจะมีธนาคารออมสินและบริษัทประกันเข้าร่วมทุน

ด้านนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยถึงรูปแบบของบริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย ว่า เบื้องต้นใช้เงินลงทุนจัดตั้งประมาณ 1,000 ล้านบาท โดย ธอส.ถือหุ้น 20% และอีก 80% จะเป็นการถือหุ้นโดยบริษัทประกันเพื่อให้รับประกันต่อ โดยขณะนี้กำลังเจรจากับบริษัทประกันขนาดใหญ่หลายแห่ง

ส่วนรูปแบบการประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้นจะเข้าไปรับประกันเงินดาวน์ให้ กับสินเชื่อบ้าน 20% สินเชื่อสำหรับซื้อห้องชุดหรือคอนโดมิเนียม 30% ครอบคลุมทั้งสินเชื่อสำหรับบ้านหลังแรกและบ้านมือสองด้วย

ทั้งนี้ ทางบริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะเข้าไปรับประกันเงินดาวน์ให้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารทุกแห่งที่สนใจเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกของบริษัท ซึ่ง ธอส.จะเร่งดำเนินการเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ภายใน 1 เดือนนับจากนี้ไป

"บริษัทประกันจะมีการวางหลักเกณฑ์เรื่องการปล่อยกู้กับธนาคารสมาชิกอย่าง เข้มงวด โดยให้คำนึงถึงความมั่นคงของรายได้ ความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดต่อเดือน เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ "

ส่วนการที่ ธอส.ต้องเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในการจัดการจัดตั้งบริษัทประกันสินเชื่อที่ อยู่อาศัยขอยืนยันไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะบริษัทลักษณะนี้ในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ประสบความสำเร็จหากมีการบริหารจัดการที่ดี

ทั้งนี้ธอส.เตรียมเสนอให้นายกรณ์ จาติวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผลักดันพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) จัดตั้งบริษัท ประกันสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเข้าสู่ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งก่อน หน้านี้คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นชอบกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว

องค์กรสื่อ ต้านรัฐบาลทำสงครามกับสื่ออินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชน !


 วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ.2552 เวลา 09.00 น. เครือข่ายพลเมืองเน็ต
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ
เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย นำโดยนายกานต์ ยืนยง
นายไกลก้อง ไวทยากร น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล  นายสุเทพ
วิไลเลิศ นายสุนิตย์ เชรษฐา  น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ นายอาทิตย์
สุริยะวงศ์กุล  เข้ายื่นหนังสือต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีซึ่งได้มารับหนังสือและเจรจาเป็นเวลา 5
นาทีโดยรับเรื่องและข้อเสนอคัดค้านการจัดตั้งวอร์รูม
หรือการประกาศสงครามกับสื่ออินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชน หลังจากที่ได้เข้าพบ
พบว่ารัฐบาลไม่ได้มีแนวทางการดำเนินการดังกล่าว
ซึ่งอาจจะต้องตั้งคณะทำงานร่วมต่อไป ในหนังสือยื่นต่อนายกฯ
มีรายละเอียดดังนี้



เรียน นายกรัฐมนตรี



     สำเนาถึง รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่งคง
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้านสื่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ
คณะอนุกรรมาธิการกำกับติดตามการป้องกันและปราบปรามเว็บไซต์และการกระทำหมิ่น
พระบรมเดชานุภาพ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร

เรื่อง ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายการกำกับดูแลสื่ออินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชน 

       

    
สืบเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่จะให้มีการปิดกั้นปราบปรามสื่ออินเตอร์เน็ต
และวิทยุชุมชน ด้วยข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงของชาติจนมีการแสดงท่าทีที่จะนำ
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
มาใช้ในการควบคุมและปราบปรามวิทยุชุมชนนั้น องค์กรที่มีรายชื่อดังนี้คือ
เครือข่ายพลเมืองเน็ต คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.)
และเครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)
มีความเห็นว่าวิธีการและนโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสิทธิพลเมือง
สิทธิทางการเมือง
ทั้งยังไม่ได้ช่วยรักษาความมั่นคงของชาติและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้
อย่างมีประสิทธิภาพแต่อย่างใด

            

     การกำกับดูแลสื่อใหม่เช่นอินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชนมีความละเอียดอ่อน
ต้องมีมาตรการที่ชัดเจน
สอดคล้องกับความเป็นจริงและสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลโดยแท้จริง
ในขณะที่ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของพลเมือง โดยพลเมือง
และเพื่อพลเมืองเป็นสำคัญ
ซึ่งหลักการสิทธิเสรีภาพเป็นหลักพื้นฐานและมีกติกาอันเป็นที่ยอมรับโดยสากล
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐไทยจักต้องธำรงมาตรฐานอันสอดคล้องกับกติกาสากล
เพื่อธำรงความเป็นประชาธิปไตย และ ความเสมอภาคเท่าเทียมกันในสังคม 

    

     องค์กรข้างต้นมีจุดยืนร่วมกันว่า
แนวทางที่รัฐบาลประกาศจะจัดตั้งวอร์รูม (War room)
หรือการประกาศสงครามกับสื่ออินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชนนั้น
จะไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาความมั่นคงของชาติหรือช่วยปกป้องสถาบันพระมหา
กษัตริย์แต่อย่างใด ในทางกลับกันจะยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น
และละเมิดพันธะที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ในนโยบายว่าด้วยสื่อและการรับรู้ข้อมูล
ข่าวสารในข้อ 8 ซึ่งมีหลักการสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้ 

    

     8.3.1 ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้
และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะจากทางราชการ
และสื่อสาธารณะอื่นได้อย่างกว้างขวาง เป็นธรรม และรวดเร็ว
รวมทั้งให้กลไกภาครัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกมิติตามบทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย



     8.3.4
จัดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพสื่อเพื่อให้สื่อมีเสรี
ปราศจากการแทรกแซง และมีความรับผิดชอบต่อสังคม
รวมทั้งยกเลิกและปรับปรุงกฎหมายที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
และสื่อมวลชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

    

     ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายพลเมืองเน็ต
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) และ
เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)
จึงขอเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้

     1.ขอให้รัฐบาลหยุดการจัดตั้งวอร์รูมดังกล่าว
และเข้าร่วมกับภาคประชาสังคมเพื่อวางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนร่วมกัน
โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงและกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เพื่อสนับสนุนการกำกับดูแลกันเองของทั้งวิทยุชุมชนและกลุ่มประชาชนผู้ใช้
อินเตอร์เน็ต

    
2.ขอให้รัฐบาลทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวกับ
สื่อ ได้ดำเนินการโดยโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลการดำเนินการ
การใช้งบประมาณต่างๆ
เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูล
การดำเนินการเพื่อปิดกั้นเนื้อหาในเว็บไซต์ต่างๆ
ทั้งที่มีและไม่มีคำสั่งศาล
ให้มีการเปิดเผยข้อมูลรวมทั้งชี้แจงกระบวนการในการดำเนินงานให้ประชาชน
ผู้ให้บริการเว็บไซต์
และผู้ประกอบการอินเตอร์เน็ตได้รับรู้และเข้าใจในหลักปฏิบัติดังกล่าว
เพื่อที่จะปฏิบัติตามโดยมั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มครองจากการปฏิบัติงานตาม
กระบวนการยุติธรรมโดยเคร่งครัด

     3.การปรับแก้กฎหมายที่กระทบกับสื่อ
ต้องเปิดให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
เป็นระยะเวลาที่เพียงพอ ทั้งการแก้ไข
พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2543
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
และกฎหรือระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
กฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและการหมิ่นพระบรมเดชานุ
ภาพ เพื่อให้รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ

     4.ขอให้รัฐส่งเสริม ปกป้อง สิทธิพลเมือง ทั้งในและนอกอินเตอร์เน็ต
และ เสรีภาพของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งสื่อออนไลน์และวิทยุชุมชน
อีกทั้งปรับปรุงกติกาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่ง
สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามมาตรา 45, 46, 47
รวมทั้งปฏิญญาสากลระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ
(Universal Declaration of Human Rights) และ
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International
Covenant on Civil and Political Rights) ในมาตรา 19 (Article 19)
ที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีโดยการภาคยานุวัตติ (Accession)
ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540

      

       จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

       ขอแสดงความนับถือ

       เครือข่ายพลเมืองเน็ต

       คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.)

        เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)



ภัยเทคโนโลยีคุกคามเด็ก (จบ)


4. เด็กติดเกม

ประเทศไทยเป็นแชมป์อันดับ 2 ของเอเชียในการเสพเกมออนไลน์ เหตุการณ์ที่เป็นที่ฮือฮาที่สุดคือ เด็ก ม.6 ฆ่าแท็กซี่โดยอ้างว่าเลียนแบบเกม GTA ถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงโดยผู้ก่อเหตุนั้นเป็นเด็กชายวัย 18 ปี ทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีการพยายามแก้ไขปัญหาของหน่วยงานต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นสะท้อนเรื่องเกม GTA ของเด็กชายวัย 8 ขวบให้ความเห็นว่าอยากทำให้ได้เหมือนในเกมเพราะอยากได้อะไรก็จะได้ตามนั้น ส่วนข่าวอื่นๆ ที่มีมาเป็นระยะก็คือการลักทรัพย์เพื่อนำเงินมาเล่นเกมออนไลน์ โดยเหตุการณ์ที่มีผู้ก่อเหตุอายุน้อยที่สุด คือ เด็ก ป.6 โดนจับคดีลักทรัพย์เพื่อนำเงินที่ได้มาเล่นเกม

ข้อมูลจากโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการพัฒนา สังคมไทยพบว่าร้านเกมคาเฟ่ที่จดทะเบียนในไทยมี 23,000 ร้าน หากประมาณว่าในแต่ละร้านมี 15 เครื่อง นั่นหมายความว่าในแต่ละชั่วโมงมีโอกาสที่เด็กใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่าง น้อย 345,000 เครื่อง เท่ากับว่าโอกาสที่เด็กๆ จะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ชั่วโมงละ 345,000 คน แต่ในความเป็นจริงพบว่า เวลาที่เด็กเข้าไปใช้บริการในร้านเกมคาเฟ่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เข้าไปเพื่อเล่นเกม และในบรรดาเกมคอมพิวเตอร์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ใน 10 อันดับแรก ส่วนใหญ่เป็นเกมที่เน้นการใช้ความรุนแรง เช่น การยิง การต่อสู้ น้อยมากที่จะพบเกมที่ฝึกทักษะในการวางแผนหรือฝึกด้านทักษะชีวิต รวมไปถึงเกมที่ฝึกความชำนาญในอาชีพต่างๆ

10 อันดับแรกที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเกมออนไลน์ คือ
1. Audition
2. Special Force
3. DOT-A
4. Luna Online
5. Pucca Racing
6. Freestyle Casual
7. Cabal Online
8. Ragnarok Online
9. Perfect World
10. Hip Street

5 อันดับแรกที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเกมแบบออฟไลน์ คือ
1. Pro Evolution Soccer
2. Need for Speed
3. Prostreet
4. Grand theft auto 2
5. Red alert


(ข้อมูลจาก โครงการวิจัยและพัฒนาระบบการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อ)
สถิติคนหายเนื่องจากติดเกมจากศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา พบว่าในปีที่ผ่านมามีเด็กหายไปจำนวน 9 ราย สามารถติดตามกลับมาได้ 5 ราย และกำลังดำเนินการอยู่ 4 ราย
แนวโน้มของสถานการณ์ภัยเทคโนโลยีในปี 2552

เรื่องที่น่าจับตามองก็คือ คลิปหลุดและคลิปแอบถ่าย Hi5 แชต แชตไลน์ เนื่องจากมีสถิติการใช้งานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงหลังพบว่ามีการเปิดให้บริการทางโทรศัพท์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งอาจจะเป็นการนำไปสู่การล่อลวงได้เช่นเดียวกับกรณีแชตไลน์ 1900 อีกด้วย

และศูนย์เฝ้าระวังภัยเทคโนโลยี (IT WATCH) มีสิ่งที่อยากจะย้ำเตือนเด็กๆ ในปี 2552 คือ การรู้จักระวังภัยเทคโนโลยีที่จะเข้าถึงตัว แต่ก่อนนั้นภัยอาจจะเข้าถึงตัวเราได้เพราะการเจตนาปองร้ายจากผู้อื่น แต่ปัจจุบันการใช้อินเตอร์เน็ตบางครั้งก็ต้องระบุข้อมูลส่วนตัวลงไปด้วยอีก ทั้งยังมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้คนอีกมากมาย ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ภัยเข้าถึงตัวเราได้ง่ายขึ้น ดังนั้นควรรู้จักระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวและอย่าไว้วางใจใครง่ายๆ สำหรับผู้ใหญ่หรือองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน อย่าให้เป็นเพียงการแก้ไขสถานการณ์เมื่อเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กตกเป็นเหยื่ออีก ควรร่วมกันหาแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาและเฝ้าระวังภัยทางเทคโนโลยีตั้งแต่ เนิ่นๆ และอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากผู้ใหญ่และหน่วยงานแล้ว เว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการให้บริการเกี่ยวกับคลิปหลุดและคลิปแอบถ่ายควรระงับพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีเด็กตกเป็นเหยื่ออยู่รายหลาย

ภัยเทคโนโลยีคุกคามเด็ก (1)

ศูนย์เฝ้าระวังภัยเทคโนโลยี (IT WATCH) มูลนิธิกระจกเงา โดยการสนับสนุนของ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีบทบาทเป็นศูนย์กลางที่เฝ้าระวังปัญหาภัยเทคโนโลยีอย่างเกาะติด และใช้กิจกรรมของศูนย์ฯ เป็นตัวขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับนโยบาย และการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพเด็กซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย ได้ประมวลสถานการณ์ภัยเทคโนโลยีปี 2551 และแนวโน้มสถานการณ์ภัยเทคโนโลยีปี 2552 ดังนี้
1. คลิปหลุดและคลิปแอบถ่าย

เริ่มต้นปี 2551 ด้วยข่าวนักเรียน ม.1 ถูกเรียงคิวข่มขืนยับจนสลบแถมถ่ายวิดีโอคลิปแบล็กเมล์ คลิปหลุดของนักเรียนอมนกเขาบนรถเมล์ ตามมาด้วยการมอมเหล้าเด็กหญิงอายุ 14 ปีแล้วถ่ายคลิปวิดีโอส่งต่อกันในกลุ่มวัยรุ่นโดยผู้ก่อเหตุดังกล่าวเป็นชาย วัย 16 ปีเท่านั้น ข่าวเด็กหญิงวัย 14 ปี ถูกชายวัยรุ่นกว่า 10 คน รุมโทรมและถ่ายคลิปไว้พร้อมทั้งขู่ห้ามแจ้งตำรวจ จากนั้นมีข่าวว่ามีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อลวงเด็กหญิงนักเรียน 3 คนขืนใจแล้วถ่ายคลิปวิดีโอไว้แบล็กเมล์ ในช่วงปลายปียิ่งมีข่าวที่เด็กตกเป็นเหยื่ออีกมากมาย เช่น เด็กหนุ่ม 6 คนรุมทึ้งเสื้อผ้าเด็กหญิง ม.2 แล้วถ่ายคลิปวิดีโอ เด็กหญิงวัยเพียง 11 ปีถูกข่มขืนแล้วถ่ายคลิปวิดีโอ ข่มขืนเด็ก ม.6 ถ่ายคลิปแบล็กเมล์ ม.5 ถ่ายรูปโป๊เลียนแบบดารา เป็นต้น

แอบถ่าย เป็นคำที่ใช้ค้นหากว่า 4 ล้านครั้งต่อเดือนในปี 2550 จากการเปิดเผยข้อมูลของทรูฮิต และมีแนวโน้มการค้นคำนี้เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อรวมกับข้อมูลการสำรวจ "พฤติกรรมและผลกระทบของการใช้อินเตอร์เน็ตจากกลุ่มเยาวชน" ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพล โดยพบว่าเด็กและเยาวชนกว่า 53.2% เคยดูสื่อลามกทางอินเตอร์เน็ต จากการเป็นผู้ชมสู่การเป็นนักแสดง ผู้ก่ออาชญากรรม และเหยื่อในที่สุด โดยเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดคือ 11 ปี ซึ่งอาจจะเป็นการกระทำที่เกิดจากความคึกคะนอง การรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือการเลียนแบบพฤติกรรม

ปัจจุบันยังมีคลิปหลุดและคลิปแอบถ่ายอีกจำนวนมากที่ถูกเผยแพร่ทางเว็บไซ ต์ต่างๆ กระทู้ในเว็บไซต์กว่า 3,000 กระทู้ ที่โพสไว้ให้ดาวน์โหลด ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์กว่าแสนรายในแต่ละเดือน ผู้เสียหายบางส่วนที่ปรากฏอยู่ในคลิปวิดีโอยังเป็นเด็ก บางกระทู้หากนำไฟล์ไปฝากไว้ที่เว็บไซต์ที่ให้รายได้ด้วยจำนวนการดาวน์โหลด เช่น ziddu.com มันจะแฝงไปด้วยเพศพาณิชย์เนื่องจากคลิปวิดีโอที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดคือ คลิปวิดีโอลามกโดยคลิปหลุดและคลิปแอบถ่ายก็จัดอยู่ในประเภทนั้นด้วยทำให้ผู้ ฝากไฟล์มีรายได้จากการนี้อยู่พอสมควรตามจำนวนการดาวน์โหลด อีกทั้งการนำมาซึ่งข้อมูลที่ได้จากการกู้คืนข้อมูลและการแอบถ่ายเป็นการ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างชัดเจนยิ่งมีการนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตก็ยิ่ง เป็นการสร้างผลกระทบต่อเหยื่อที่ร้ายแรงและไม่มีวันสิ้นสุด คลิปหลุดและคลิปแอบถ่ายจึงเป็น สื่ออาชญากรรม ไม่ใช่ สื่อบันเทิง แล้วคลิปวิดีโอที่ปรากฏเหยื่อไฮเทคเหล่านี้จะต้องถูกส่งต่อไปอีกกี่ล้าน ครั้ง ??
2. แชต - แชตไลน์
ตามที่ปรากฏข่าวตามสื่อต่างๆ อาทิ เด็กหญิงอายุ 14 ปีถูกแชทล่อลวงมาเพื่อกระทำทางเพศโดยใช้อุบายการซื้อของแพงๆ ให้เหยื่อ หนุ่มอายุ 19 ปีแชตล่อลวงเด็กหญิงวัย 14 ปี ไปมีเพศสัมพันธ์ แชตลวงขืนใจเด็กหญิงอายุ 13 ปี เพียงเพราะได้มีการพูดคุยกันสักระยะหนึ่งจนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ อาชญากรก็จะมีการนัดพบตามที่ต่างๆ หรือออกอุบายชักชวนให้ไปเที่ยวต่างจังหวัดโดยที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เพื่อการกระทำทางเพศและการชิงทรัพย์สิน

ข้อมูลสถิติคนหายเนื่องมาจากสาเหตุการแชตทางอินเตอร์เน็ตและทางแชตโทรศัพท์ (แชตไลน์) จากศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ในปีที่ผ่านมามีเด็กหายไปกว่า 12 ราย เป็นเพศหญิงทั้งหมด โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 25% และมีอายุน้อยที่สุดเพียง 12 ปีเท่านั้น แม้จะสามารถติดตามกลับมาได้กว่า 8 ราย แต่ก็กำลังดำเนินการอีก 4 ราย บางรายยังไร้วี่แวว
3. Hi5

ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ให้ความนิยมเล่น Hi5 เป็นอันดับ 2 ของโลก ข้อมูลเมื่อเดือนมีนาคม 2551 สมาชิกในเมืองไทยมีมากกว่า 1 ล้านคน ในจำนวนผู้เล่นอินเตอร์เน็ตทั้งหมด 13.6 ล้านคน หรือเกือบ 10% มียอดลงทะเบียนสมาชิกราวๆ 8 - 9 พันคนต่อวัน และก็มีทีท่าว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังติด 1 ใน Top 5 ของเว็บไซต์ยอดนิยมของเด็กวัยรุ่น (สำรวจโดยเอแบคโพล) โดยช่วงอายุที่มีการเล่นมากที่สุดอยู่ระหว่าง 18-24 ปี คิดเป็นสัดส่วนถึง 42.19% และจำนวนของผู้หญิงที่เล่น Hi5 จะมากกว่าผู้ชายอยู่เล็กน้อย

เบรต ฟิงเคลสไตล์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายของ Hi5.com ยังได้ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยมีจำนวนสมาชิกมากเป็นอันดับ 12 ของโลก แต่มีอัตราการเติบโตสูงสุดติดอันดับ Top 3 เลยทีเดียว

แต่ Hi5 ก็มีภัยแฝงมาด้วยเพราะถูกบางบุคคลนำไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ นำไปใช้ในการล่อลวงเพื่อกระทำทางเพศ ลักษณะนี้จะคล้ายกรณีแชตไลน์ที่มีการนัดพบกันแล้วก็ทำการข่มขืนกระทำชำเรา การใส่ข้อมูลเท็จลงใน Hi5 เช่น การแอบอ้างว่าเป็นนักเรียน ม.3 ขายบริการทางเพศจนนำภัยมาถึงตัวเหยื่อเมื่อผู้ซื้อบริการมาดักพบที่หน้า โรงเรียนแต่สามารถหนีได้ทันและมีผู้เห็นเหตุการณ์มาช่วยไว้

แม้ตัวเลขของภัยที่มาจาก Hi5 อาจจะยังไม่มากนักแต่แนวโน้มของผู้ใช้บริการและภัยที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นก็ยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

แอร์บัสยูเอสแอร์เวย์ตก!ลูกเรือ155ชีวิตรอดปาฎิหาริย์


แอร์บัส เอ-320 สายการบินยูเอสแอร์เวย์ พร้อมผู้โดยสาร155 คน ตกลงในแม่น้ำฮัดสัน นิวยอร์ก สันนิษฐานฝูงนกเป็นเหตุพุ่งชนเครื่องบิน ผู้โดยสารรอดปาฎิหาริย์

สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินโดยสาร ตกลงไปในแม่น้ำฮัดสัน ในนครนิวยอร์ก ของสหรัฐ เบื้องต้นยังไม่ทราบจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เครื่องบินโดยสารแอร์บัส เอ-320 เที่ยวบิน 1549 ของสายการบินยูเอสแอร์เวย์ พร้อมผู้โดยสารประมาณ 155 คน ออกเดินทางจากสนามบินลา กัวเดีย ในนครนิวยอร์ก มุ่งหน้าไปยังเมืองชาร์ลอตต์รัฐนอร์ทแคโรไลนา แต่เครื่องบินเกิดปัญหาหลังขึ้นบินได้ไม่นาน ทำให้เครื่องบินพุ่งตกลงไปในแม่น้ำฮัดสัน หลังเกิดเหตุเรือข้ามฟากและเรือของหน่วยกู้ภัยเร่งเดินทางไปยังเครื่องบิน ที่จมอยู่ในน้ำครึ่งลำ เพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารจำนวนมากที่อยู่ในน้ำที่เย็นจัด เบื้องต้น สามารถช่วยผู้โดยสารออกมาได้จำนวนมาก แต่ยังไม่ทราบจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต สำหรับสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากฝูงนกพุ่งชนเครื่องบิน

ล่าสุด ซีเอ็นเอ็น รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของ นางลอร่า บราวน์ โฆษกสถาบันการบินพลเรือนสหรัฐ ที่ระบุว่า ผู้โดยสารและลูกเรือ 155 คน บนเครื่องบินแอร์บัส แอร์ เอ 320 ของสายการบิน ยูเอส แอร์เวย์เที่ยวบินที่ 1549 ที่ประสบเหตุตกลงในแม่น้ำฮัตสัน ใกล้กับถนนสายที่ 48 ในนครแมนฮัตตัน ของนครนิวยอร์ก สหรัฐ ในช่วงบ่ายตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทั้งหมด หลังเครื่องยนต์ของเครื่องบินไม่ทำงานเพราะกลุ่มนกกลุ่มใหญ่บินเข้าไปทำลาย ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ นางบราวน์ ระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าวบินขึ้นจากสนามบินลากูด้า ปลายทางเมืองชาล็อตต์ รัฐนอร์ธ แคโรไลนา ในเวลา 15.26 น. แต่ไม่กี่นาทีต่อมาก็ประสบเหตุดังกล่าว ด้าน ยูเอส แอร์เวย์ ระบุว่า มีการยืนยันรายชื่อลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดที่มากับเที่ยวบินลำนี้แล้ว และจะแจ้งให้สาธารณชนทราบโดยเร็วที่สุด

บุช เตือน โอบาม่า ระวังภัยคุกคามจากลุ่มอัลกออิดะห์

สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ปกป้องการกระทำตัวเองในการหลีกเลี่ยงของการล่มสลายของระบบเศรษฐฏิจสหรัฐ โดยอ้างว่าได้ปกป้องอเมริกาจากการโจมตีอีกครั้ง ในการกล่าวสุนทรพจน์อำลาตำแหน่งทางโทรทัศน์ เมื่อคืนวันพฤหัสบดี ที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา 5 วันก่อนจะส่งมอบตำแหน่งอำนาจให้แก่ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ปกป้องการบริหารงานของตลอด 2 วาระที่ผ่านมา โดยระบุว่า ประชาชนอาจไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของตน ในบางอย่างที่ทำลงไป แต่ประชาชนคงเห็นแล้วว่าตนเต็มใจตัดสินใจในเรื่องหนักๆ

ทั้งนี้นายจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ยังอ้างความสำเร็จในนโยบายต่างประเทศในอิรักและอัฟกานิสถาน แม้ว่าเขาจะก้าวลงตำแหน่งก่อนที่สงครามจะสิ้นสุด มีความขัดแย้งอันขมขื่นในฉนวนกาซา และภาวะเศรษฐกิจถดถอยและภาพลักษณ์อันเลวร้ายในต่างประเทศของสหรัฐฯ สำหรับภาวะเศรษฐกิจ บุชอ้างว่า ได้ใช้มาตรการอันเด็ดขาดจัดการกับเศรษฐกิจแล้ว "เมื่อเผชิญกับภาพความล่มสลายทางการเงิน เราได้ใช้มาตรการอันเด็ดขาดแล้วเพื่อปกป้องระบบเศรษฐกิจ" บุชระบุ โดยอ้างถึงการแทรกแทรงของรัฐบาลที่เขาสั่งการไปเพื่อจัดการกับรากฐานตลาด เสรีของเขา

พร้อมกันนี้ บุชยังเตือนถึงความท้าทายอย่างยิ่งที่ประธานาธิบดีคนใหม่ต้องเผชิญ คือภัยคุกคามในการที่จะเกิดการก่อการร้ายอย่างการโจมตีของกลุ่มอัลกออิดะห์ เมื่อ 11 กันยายน 2001 ขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้บุชมีกำหนดการเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของบารัค โอบามาใน วันที่ 20 มกราคมที่จะถึงนี้

'สุเทพ'เมินจับตา"ดีทีวี"ออนแอร์

หลังจากมีการแถลงเปิดตัวสถานีโทรทัศน์ดีทีวี เมื่อวานนี้ โดยจะเริ่มออกอากาศในวันที่ 19 มกราคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การที่อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารสถานีนั้น ไม่ใช่เป็นการส่งสัญญาณของการสร้างแนวร่วมคนเสื้อแดง และรัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องจับตาการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ดีทีวี เพราะถือว่าเป็นการนำเสนอความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นหากไม่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและประเทศก็ไม่ต้องกังวล โดยการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำชับให้มีการจับตาการออกอากาศ ก็เป็นการทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ

ส่วนกรณีที่ประเทศแคนาดาปล่อยตัว นายราเกรซ สักเสนา ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพณิชยการ หรือ BBC นั้น รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า การนำตัวนายราเกรซกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เป็นเรื่องยาก แต่จะดูตามช่องทางกฎหมายที่เอื้ออำนวยที่ต้องติดตามกันต่อไป โดยประสานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

วิปฝ่ายค้านเล็งประชุมส.ส.เลือกผู้นำสิ้นเดือนนี้

นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย และประธานผู้ประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมจัดประชุมสัมมนาภายในสิ้นเดือนนี้เพื่อพิจารณาถึงการปรับ โครงสร้างและนโยบาย รวมถึงการพิจารณาบุคคลที่เหมาะสม มาดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อย่างเป็นทางการ ซึ่งเรื่องนี้ทางพรรคได้จัดเตรียมบุคคลไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ไม่รู้สึกเป็นกังวล

นอกจากนี้ ปธ.วิปฝ่ายค้าน ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าเรื่องนี้ทางพรรคฯเตรียมเดินหน้าที่จะดำเนินการอยู่แล้ว เนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหา อาทิ มาตรา 190 แล 265 ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจะเห็นพ้องกับฝ่ายค้านด้วย โดยจะมีการหารือกับวิปรัฐบาลอย่างเป็นทางการ หลังมีการเปิดประชุมสภาแล้ว ซึ่งเบื้องต้นจะไม่ใช้ร่างของ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.)อย่างแน่นอน

ผบช.น.เผยพบเว็บฯจวบจ้วงสถาบันแล้วกว่าพัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ม.ค.) พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวถึง การปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูงว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีเว็บไซต์ลักษณะดังกล่าว ประมาณ 1,000 - 1,500 เว็บ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ดำเนินการจับกุม แต่ในส่วนบช.น.จะรับผิดชอบคดี เกี่ยวกับคดีหมิ่นเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ว่าคดีจะเกิดขึ้นที่ใด ก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานเข้ามารวมกัน และจากการประชุมในขณะนี้ คดีที่ยังไม่มีการฟ้องร้องมีอยู่ประมาณ 8 คดี จากทั้งหมด 17 คดี นอกจากนี้ ผบช.น.ยังปฏิเสธไม่ได้จัดสัมมนาล่ารายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อถอดถอนป.ป.ช.ทั้ง 9 คน

'เทพเทือก' แค้นใจ'ราเกช'หลุดคดี!เตรียมถกรมว.ยธ.แก้เผ็ดต่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่ศาลแคนาดามีคำสั่งปล่อยตัวนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้ต้องหาหาคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด ( มหาชน) หรือบีบีซี โดยระบุว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ความหวังในการนำตัวนายราเกซกลับมา ดำเนินคดีในประเทศไทยก็คงยากขึ้น ซึ่งเราก็เพียงแค่ดูช่องทางกฎหมายที่จะสามารถเอื้ออำนวยได้ แต่น่าเจ็บใจว่านายราเกซปล้นคนไทย ปล้นประเทศไทยไปแล้วและหนีรอดไปได้ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องติดตามกันต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุสำคัญคือหลักฐานจากประเทศไทย ซึ่งศาลแคนาดาเกิดความไม่พอใจเรื่องนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า เราก็อาจจะรำคาญเต็มทีเหมือนกันที่คนที่ไปทำหน้าที่แล้วกลับทำไม่เรียบร้อย ก็ต้องดูกันต่อไป ทั้งนี้ คดีนี้จะขาดอายุความในปี 2553 ซึ่งเราก็ต้องคุยกับ รมว.ยุติธรรมดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง

อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายเศรษฐกิจและทรัพยากร ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้กล่าวเปิดเผยว่า ศาลแคนาดามีคำสั่งปล่อยตัวนายราเกซ สักเสนา หลังจากควบคุมตัวที่ถูกกักบริเวณมานาน 12 ปี ส่วนความคืบหน้าการขอตัวนายราเกซมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น อัยการไทยเคยประสานศาลแคนาดาหลายครั้ง และเน้นย้ำว่าคดีนี้จะขาดอายุความในปี 2553 อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีอยู่ในอำนาจศาลแคนาดาเราไปก้าวก่ายไม่ได้ ต้องยอมรับว่ากระบวนการของศาลแคนาดาล่าช้า เพราะใช้เวลาถึง 12 ปีแล้ว ยังไม่สามารถส่งตัวนายราเกซกลับมาดำเนินคดีได้ ซึ่งหากได้ตัวนายราเกซกลับมาอัยการพร้อมจะยื่นฟ้องทันที

เสื้อแดงนัดชุมนุมคู่ขนานถกอาเซียนบี้รัฐบาลเด้ง‘กษิต’

“คนเสื้อแดง” ประกาศนัดชุมนุมที่สุวรรณภูมิรอรับผู้นำอาเซียน ตามด้วยการเปิดเวทีคู่ขนาน พร้อมทำหนังสือถึง 10 ชาติอาเซียนยื่นผ่านสถานทูต ฟ้องว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยและมีการนำเอาแกนนำยึดสนามบินมาเป็น รัฐมนตรี ยืนยันไม่คิดขวางการประชุมสำคัญและไม่ทำผิดกฎหมายเพราะไม่มีเส้น แต่คัดค้านการที่รัฐบาลตั้ง “กษิต” เข้าไปร่วมเจรจาในฐานะตัวแทนคนไทย ด้าน “ดีทีวี” เปิดตัวพร้อมแจงผังรายการ ก่อนเริ่มออกอากาศจริง 19 มกราคมนี้

เมื่อช่วงสายวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา บริษัท ดีสเตชั่น จำกัด ได้แถลงข่าวเปิดตัวสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ดี สเตชั่น พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดรายการของสถานี โดยมีอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยและแกนนำพรรคพลังประชาชนไปให้กำลังใจคับคั่ง

นายอดิศร เพียงเกษ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในฐานะประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดีสเตชั่น จำกัด กล่าวว่า ได้รวบรวมทุนจากพรรคพวกพี่น้องมาได้เบื้องต้นล้านกว่าบาท เพื่อตั้งบริษัทขึ้นมาทำสถานีโทรทัศน์เพื่อประชาธิปไตย โดยไม่มีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องและต่อไปจะมีการขายหุ้นให้กับประชาชน ให้เป็นผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานีโทรทัศน์นี้เลย เพราะขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังลอยคออยู่ในมหาสมุทร แผ่นดินก็ไม่มีอยู่จนแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว พวกเราเลยไม่กล้าที่จะไปรบกวน

แต่เราตั้งใจที่จะสร้างสถานีนี้เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย ประชาชนที่มีจานดาวเทียมเรียกว่าจานดำสามารถรับชมได้ฟรีเพื่อรับความจริงอีก รูปแบบหนึ่ง โดยในการออกอากาศ ตนจะเป็นผู้ดำเนินรายการ "คุยกับอดิศร" นอกจากนั้นจะมีรายการ “สถานีประชาธิปไตย” โดย น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ

รายการ "ห้องเรียนประชาธิปไตย" มีนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ นปช. และ ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต ผู้เขียนหนังสือทักษิณ แว อาร์ ยู ร่วมกันเป็นผู้ดำเนินรายการ ด้านรายการ“ทนายชาวบ้าน" ดำเนินรายการโดยนายธนา เบญจาธิกุล อดีตทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ

นอกจากนี้ ยังมี นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ “สายตาโลก” ส่วนรายการ “ความจริงวันนี้" มี นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำผู้จัดรายการความจริงวันนี้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เป็นร่วมกันดำเนินรายการ

ส่วนรายการ "บ้านเลขที่ 111" ดำเนินรายการโดยนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย รวมทั้ง นายนพดล ปัทมะ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะเข้ามาช่วยจัดรายการกฎหมายระหว่างประเทศและภาษาต่างประเทศด้วย

นอกจากนี้ยังอาจจะได้พบกับ พระราชธรรมนิเทศ หรือพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้วที่จะมาสอนธรรมะยามเช้าทุกวัน

“ขอโอกาสทุกท่านให้เราได้ออกอากาศ เพราะเราไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร และเราก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นศัตรูกับรัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น ซึ่งแต่เดิมนั้นเราได้เตรียมการที่จะออกอากาศในวันที่ 1 มีนาคม แต่สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป ทำให้เราต้องเร่งออกอากาศตั้งแต่ช่วงนี้ แม้หลายๆอย่างจะยังไม่พร้อม แต่เราเชื่อว่าการดำเนินการไประยะหนึ่งจะทำให้ทุกอย่างพร้อมได้เร็วที่สุด”

นอกจากนี้ นายอดิศร ยังได้กล่าวอีกด้วยว่ากลุ่มผู้จัดจะไม่ปิดกั้นความเห็น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนสีใดก็ตาม สามารถติชมรายการได้

ทางด้านนายจตุพร กล่าวว่า ถือว่าได้มีการเปิดตัวผู้บริหารสถานีอย่างเป็นทางการ จากนั้นจะทดลองออกอากาศในวันที่ 19 มกราคม ส่วนพวกตนมาร่วมงานในนามของผู้จัดรายการความจริงวันนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผังรายการของสถานีเท่านั้น นอกจากจะมีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยหลายคนรวมงานแถลงเปิดตัวดีทีวี ด้วย

ขณะที่นายจักรภพ กล่าวถึงการเปิดสถานีโทรทัศน์ประชาธิปไตย ว่าไม่สนใจว่าจะเป็นสื่อแท้หรือ สื่อเทียม เนื่องจากอยู่ที่ประชาชนจะสนับสนุน หากประชาชนสนับสนุนจากสื่อเทียม ก็จะเป็นสื่อแท้ได้

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวว่า เรื่องเปิด DTV เข้าใจว่าเป็นการนำสถานีเดิมที่มีอยู่มาเปิด ซึ่งสามารถดำเนินการต่อไปได้ หากสามารถเปิดได้อย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องเนื้อหาที่นำเสนอก็ต้องดูอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่รัฐบาลอยากจะเรียกร้องให้สื่อทุกฝ่ายดูแลเรื่องความสงบของบ้าน เมือง เนื่องจากสื่อเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและ ความคิดของคน ฉะนั้นควรนำเสนอข่าวด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และไม่ซ้ำเติมวิกฤติความขัดแย้งในขณะนี้

อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบเนื้อหาที่นำเสนอได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกกล่าวหาว่าเป็นการแทรกแซง แต่ต้องเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ดำเนินรายการ หากเกินเลยขอบเขตของกฎหมายก็ถูกดำเนินการได้ ทั้งนี้หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีการโฟนอินเข้ามาก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ไม่มีปัญหาอะไร

ส่วนนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีการเปิดตัวสถานีโทรทัศน์ DTV ว่า เป็นสิทธิเสรีภาพที่จะกระทำได้ ส่วนเนื้อหาของรายการจะเป็นอย่างไรต้องตั้งคระกรรมการกขึ้นมาตรวจสอบอย่าง ใกล้ชิด หากพบว่ามีเนื้อหาเกินขอบเขตก็จะเข้าตรวจสอบทันที เพื่อให้ดำเนินการอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย

ขณะที่เย็นวันเดียวกัน ที่สถานีวิทยุชมรมคนรักอุดร นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ได้นัดพบปะพูดคุยกับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงทั่วประเทศประมาณ 30 จังหวัด เพื่อหาแนวทางต่อสู้ปกป้องระบอบประชาธิปไตย และจะกดดันให้นายกษิต ภิรมย์ พ้นจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ

พร้อมกันนี้ได้ออกแถลงการณ์ยื นยันว่าสนับสนุนและเห็นความสำคัญของการประชุมอาเซียนซัมมิต และได้ยื่นข้อเรียกร้องรวม 5 ข้อ
1.รัฐบาลต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการนำรัฐธรรมนูญ 2540 คืนมา พร้อมทั้งทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
2.รัฐบาลต้องดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรฯโดยเร็ว
3.รัฐบาลต้องปลด นายกษิต ภิรมย์ รมต.ต่างประเทศ ที่พูดสนับสนุนการยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนับสนุนการกระทำที่รุนแรงและเป็น การฝ่าฝืนกฎหมายของบ้านเมือง
4. หยุดการกระทำให้เป็นภัยต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศชาติ ที่รัฐบาลจะนำเอาเงินคงคลังมาใช้ ถึง 7.44 ล้านล้านบาท แบบเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคพวกถึง 5.22 ล้านล้านบาท และจะเหลือเงินคงคลังเพียง 2.2 ล้านล้านบาท ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจประเทศชาติพังพินาศย่อยยับกว่าเดิม และ เสียดุลเศรษฐกิจของประเทศชาติ ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลใดกระทำการเช่นนี้มาก่อน
5. รัฐบาลปัจจุบันนี้บริหารประเทศชาติสภาวะเศรษฐกิจ ไตรมาสแรกงบเสียดุลการค้าไป 5.2 หมื่นล้านบาท กระทรวงการคลังได้แถลงการณ์ต่อสาธารณชนแต่ไม่มีการเสนอข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาณอันตรายกับการบริหารประเทศชาติที่ปิดบังประชาชน

พร้อมกันนี้ได้เตรียมมาตรการเคลื่อนไหวโดยจะ ชุมนุมยื่นหนังสือถึงรัฐบาลอาเซียน 10 ประเทศ ผ่านสถานทูตไทยเปิดโปงรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เคยสนับสนุนการยึดสนามบิน จัดการชุมนุมโดยสงบ สันติที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่รัฐบาลอาเซียนเดินทางมาประชุม จัดการชุมนุมใหญ่คู่ขนาน ระหว่างวันเวลาของการประชุมสุดยอดอาเซียน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.กล่าวถึงการเตรียมชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม ที่หัวหิน ว่า ไม่ใช่เป็นการคัดค้านการประชุม แต่คัดค้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ คนของพันธมิตรฯ มาเป็นรมว.ต่างประเทศ ทั้งๆ ที่มีคนอื่นที่เหมาะสมกว่า

นายจตุพร กล่าวว่า ใน 1-2 วันนี้ จะออกเดินสายยื่นหนังสือต่อทูตประเทศสมาชิกอาเซียนให้รับทราบข้อเท็จจริงที่ เกิดขึ้นกับประเทศไทยว่า ไทยยังไม่เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และมีการตั้งคนของพันธมิตรฯ ซึ่งมาจากระบอบเผด็จการเข้ามาทำงานให้กับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวจะอยู่ในกรอบของกระบวนการยุติธรรม เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีเส้นสาย

‘สาทิตย์’ใบ้กินสางASTVกลืนน้ำลาย!ไม่คิดปิดสื่อ

แผนเช็กบิล"วิทยุชุมชน-ทีวีดาวเทียม-เว็บไซต์"พ่นพิษ "สาทิตย์" ถึงกับใบ้กินปัดตอบจัดการ "เอเอสทีวี" กลับลำยังไม่คิดตั้งแท่นเชือดหรือใช้กฎหมายมั่นคงเป็นเครื่องมือ ด้านนักวิชาการสับแหลกแนวคิดปฏิรูป NBT จี้ตอบให้ได้ก่อนว่าจะทำเพื่ออะไร ชี้แค่ปรับปรุงการนำเสนอให้รวดเร็วฉับไวก็เพียงพอแล้ว สอนมวยเป็นรัฐบาลต้องมองในภาพใหญ่ ไม่ใช่มาคิดเรื่องเล็กน้อยไร้สาระอย่างการเปลี่ยนโลโก้ ด้านก.ยุติธรรม คาดโทษ 3 ระดับจัดการมือโพสต์เว็บหมิ่นสถาบัน

จากกรณีที่กลุ่มนักวิชาการออกมาคัดค้านแนวคิดรัฐบาลในการเอากฎหมายความมั่น คงมาสั่งปิดวิทยุชุมชนและเว็บที่มีการหมิ่นสถาบัน รวมทั้งมีการตั้งคำถามย้อนถึงการพิจารณาการออกอากาศที่ไม่เหมาะสมของสถานี โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ด้วยหรือไม่นั้น

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวโดยเลี่ยงตอบคำถาม ระบุแต่เพียงหลักการดำเนินการว่า ขอยืนยันยังไม่มีการสั่งปิดอะไรเลย เนื่องจากรัฐบาลเคยบอกว่าอำนาจเรื่องการดูแลเรื่องสื่อสารมวลชนมีกฎหมายดูแล อยู่แล้ว เนื่องจากมีกฎหมายดูแลอยู่ 2 เรื่อง อย่างเรื่องเปิด – ปิดสถานีต้องใช้กฎหมายเฉพาะ ส่วนเรื่องของเนื้อหา ใช้กฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องดูแล

ฉะนั้นหากมีการเสนอเนื้อหาข่าวอยู่ในกรอบไม่ต้องกังวล รัฐบาลต้องสนับสนุนในเรื่องของเสรีภาพของสื่ออยู่แล้ว แต่ต้องเป็นเสรีภาพที่มีความรับผิดชอบ ทั้งนี้หากเนื้อหาพาดพิงเกี่ยวเนื่องในเรื่องใดที่ผิดกฎหมายหรือมีการละเมิด สิทธิส่วนบุคคลก็ต้องมีการใช้สิทธิตามกฎหมายได้ ทั้งนี้ตนขอยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่เอากฎหมายความมั่นคงไปเลือกปฏิบัติหรือ กลั่นแกล้งใคร

ขณะที่นายสุริยงค์ หุณฑสาร ผู้อำนวยการ NBT เปิดเผยภายหลังเข้าพบนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ว่าส่วนใหญ่เป็นการหารือถึงรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ซึ่งจะออกอากาศครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 18 มกราคมนี้
ส่วนนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่จะปฏิรูปสื่อของรัฐ ให้อิสระจากการเมืองนั้น รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาพัฒนาเอ็นบีทีให้สามารถบริการสาธารณะ และตอบสนองประชาชนได้อย่างแท้จริง 2 แนวทาง คือ 1.ทำให้เป็นองค์การมหาชน หรือ 2.ทำในรูปแบบของไทยพีบีเอส ซึ่งเป็นทีวีสาธารณะและมีการออกกฎหมายเฉพาะ อย่างไรก็ตาม รูปแบบหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (เอสดียู) ซึ่งเป็นแนวทางมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลชุดผ่านๆ มา และมีมติคณะรัฐมนตรีออกมารองรับแล้ว ยังไม่มีการนำมาพูดถึง

ต่อกรณีดังกล่าว รศ.อรุณีประภา หอมเศรษฐี อดีตคณบดีนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเปลี่ยนรูปแบบของสถานีโทรทัศน์ NBT เนื่องจากต้นกำเนิดของสถานีนี้คือสถานีของภาครัฐ ถ้าปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรมหาชน หรือทีวีสาธารณะแล้ว รัฐจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือ เพราะรายการทุกวันนี้ของสถานีดังกล่าว ภาครัฐเองก็มีอำนาจจะให้ทำหรือไม่ให้ทำรายการใดก็ได้ ดังนั้น รัฐจำเป็นจะต้องมีเครื่องมือในการเสนอข่าวสารข้อมูลของรัฐ
การบริหารงานของสถานีโทรทัศน์ NBT หรือช่อง 11 เดิม มีจุดประสงค์ก็เพื่อเผยแพร่งานของภาครัฐ ทำไมรัฐบาลชุดนี้ถึงไม่ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ให้ระบบหรือเนื้อหาของรายการดึงคนดูจากเอกชนได้ พิจารณาโดยกำเนิดของสถานีก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปที่รัฐบาลจะให้มีขึ้นนั้นผลที่เกิดขึ้นดีอย่างไร เปลี่ยนไปแล้วมีอะไรดีขึ้น รัฐบาลต้องตอบให้ได้เสียก่อน

หากจะปรับให้เป็นภาคมหาชน ต้องคำนึงว่าคนจะมีสิทธิมากขึ้น ต้องมีคนถือหุ้นมากขึ้น แล้วรายการที่เกิดขึ้นจะคุ้มกับภาพลักษณ์ของรัฐได้อย่างไร เพราะเดิมที่สถานีนี้ไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ต้องทำแข่งขันกับใคร

หากจะเปลี่ยนมาเป็นทีวีสาธารณะ ก็ต้องถามกลับไปยังคนคิดของรัฐบาลว่าคำว่าทีวีสาธารณะคืออะไร เวลาที่เขาพูดกันก็ดูดี แต่กรมประชาสัมพันธ์ก็เป็นสาธารณะอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ส่วนตัวเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ทำให้เป็นทีวีสาธารณะไม่ได้

อย่างสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (TPBS) ถามว่าเป็นสาธารณะแล้วหรือ แต่แรกก็ตั้งมั่นทำท่าจะอยู่รอดปลอดภัย ก็ไปเปลี่ยนเนื้อหาของสถานี ตอนนี้เลยต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหาจุดยืนให้กับตัวเอง

“ถามหน่อยว่าจะไปทำให้ใครดู ปัจจุบันมันไม่เป็นสาธารณะหรืออย่างไร คำว่าทีวีสาธารณะเวลาพูดมันก็ดูโก้ แต่ถ้าสนใจทำขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องบอกได้ชัดเจนว่ารูปแบบต่อไปนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่มาบอกคำๆหนึ่งว่าทีวีสาธารณะ มันต้องมีนิยาม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอะไร ทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีใครจะบอกได้ ชี้ไปเลยว่าจะมีเนื้อหาสาระกี่เปอร์เซ็นต์ ไม่มีบันเทิงหรืออะไรยังไง แต่นี่มันไม่มีคำชัดเจน ฟังแล้วดูเก๋ ดูเป็นของส่วนรวม แต่ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้หรอก”

รศ.อรุณีประภา กล่าวต่อไปว่ายกตัวอย่างสถานีโทรทัศน์ BBC เองก็ยังไม่ค่อยจะเป็นทีวีสาธารณะเลย ยังใช้ทุนสนับสนุนของรัฐเพื่อมาทำรายการเสนอข่าวการทำงานให้รัฐบาลอยู่ หากรัฐบาลไทยจัดทำทีวีสาธารณะได้แล้วก็ขอให้บอกว่าความหมายที่ให้เป็นอย่าง ไร จะได้วิจารณ์ถูกว่าดีหรือไม่ดี

หน้าที่ของรัฐบาลควรพัฒนาให้สถานีโทรทัศน์ NBT ดีขึ้น ดูแลว่าข่าวสารดีขึ้นหรือไม่ เสนอข่าวรวดเร็วทันใจขึ้นหรือยัง จริงๆ ช่องนี้น่าจะได้เปรียบด้านการเสนอข่าวสารและข้อมูลมากกว่าช่องอื่น ไม่ว่าจะเรื่องความรวดเร็วและความถูกต้อง แต่ทุกวันนี้กลับทำได้ช้ากว่าที่อื่น ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งที่เป็นของกรมประชาสัมพันธ์

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรพัฒนาระบบให้ทันสมัย เนื่องจากเป็นสื่อโทรทัศน์ต้องมีความรวดเร็ว ข่าวสารต้องแม่นยำ ดังนั้นไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นอะไร ดูแลเรื่องระบบจะดีกว่า รัฐบาลต้องมองโครงการใหญ่ๆ ไม่ใช่มานั่งดูอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องของโลโก้ของสถานีโทรทัศน์ NBT

ในวันเดียวกันนี้ ทางด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นสถาบันว่า ได้แบ่งความผิดไว้ 3 ระดับ คือ ระดับแรก รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หลงผิด เข้าใจผิดในข้อมูล ก็จะเป็นการว่ากล่าวตักเตือน ระดับ 2 คือ จงใจทำผิดโดยมีการถูกจ้างหรือเจตนาไม่ดีอย่างจริงจัง และระดับ 3 เป็นการตั้งใจทำอย่างเป็นกระบวนการ โดยมีวัตถุประสงค์ไม่ชอบ

"เรื่องนี้ไม่เหมือนในหลายประเทศ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นยิ่งกว่าสัญลักษณ์ เนื่องจากเป็นสถาบันที่ทำให้ชาติไทยเป็นชาติไทยได้ทุกวันนี้ ดังนั้นจึงได้จัดความผิดไว้ในหมวดความมั่นคงแห่งรัฐ ขณะที่ประเทศอื่นๆ จัดไว้ในหมวดหมิ่นประมาท เพราะสำหรับประเทศไทยเป็นการกระทำที่กระทบความมั่นคงอย่างรุนแรง"

นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกด้วยว่า ช่วงที่ผ่านมาได้สั่งปิดเว็บไซต์ไปกว่า 2,000 เว็บ แต่การจับกุมคนทำเว็บไซต์ สามารถทำได้ยาก เนื่องจากกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ได้ระบุความผิดไว้โดยเฉพาะ และมีหลายจุดไม่ชัดเจน ซึ่งต่อไปจึงต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าอีกสักระยะหนึ่ง เว็บหมิ่นเบื้องสูงจะลดน้อยหรือไม่มีเลย

5 ปีไฟใต้ ...โศกนาฏกรรมครูไม่ได้เป็นแค่ผู้ถูกล่า

ตลอด 5 ปีที่เมฆหมอกแห่งความไม่สงบปกคลุมจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ครูในฐานะ "สัญลักษณ์ของรัฐ แต่ไม่มีอาวุธ" ต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านอื่นๆ อีกมากมาย นอกเหนือจากการตกเป็นเป้าประทุษร้ายรายวัน

ยังมีครูอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ไม่หวังดี บังคับพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ให้ส่งบุตรหลานไปโรงเรียนของรัฐบาล ทำให้ "ครู" ไม่อาจทำหน้าที่ "ครู" ได้ดังที่ตั้งใจ

ดังเช่นที่ โรงเรียนบ้านปะกาลือสง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งในช่วงกลางปี 2550-2551 ครูที่นั่นไม่ได้สอนหนังสือเพราะไม่มีนักเรียนมาเรียนเป็นเวลากว่า 1 ปี...

เหตุการณ์ที่ทำให้โรงเรียนบ้านปะกาลือสงเผชิญกับเรื่องร้ายๆ เช่นนั้น เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 มีชาวบ้านปะกาลือสงประมาณ 300 คนรวมตัวกันประท้วงขับไล่กองร้อยทหารพรานที่ 4305 ซึ่งมี ร.อ.นิรันดร์ ไชยสาลี เป็นผู้บังคับกองร้อย ให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ไป โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้จับ จ.ส.อ.ปรีชา ปานสิทธิ์ เป็นตัวประกัน และเกิดการแย่งชิงตัวประกันขึ้น กระทั่งกลุ่มชาวบ้านได้ยอมสลายการชุมนุม

จากนั้นวันที่ 18 พฤษภาคม 2550 มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีแต่งกายคล้ายทหารออกข่มขู่และทำร้ายเด็กนักเรียนด้วยการ เขกศีรษะและหยิก ข่มขู่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนโดยวิธีตระเวนเคาะประตูบ้านเพื่อห้ามไม่ให้ ส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน เพื่อเป็นการสร้างเงื่อนไขต่อรองให้หน่วยทหารออกจากพื้นที่

ช่วงนั้น "ครู" ยังคงทำหน้าที่เดินทางมาสอนหนังสือตามปกติ แต่ที่โรงเรียนกลับเหลือนักเรียนไม่ถึง 10% จนในที่สุดก็ไม่สามารถทำการเรียนการสอนต่อไปได้

เมื่อโรงเรียนบ้านปะกาลือสงไม่มีนักเรียนมาเรียน ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีจึงสั่งการไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ปัตตานีเขต 1 ให้ปิดโรงเรียน และให้นักเรียนที่ไม่มีที่เรียนเข้าเรียนยังโรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียงแทน เช่น ใน ต.ตุยง อ.หนองจิก พร้อมๆ กับกระจายครูไปช่วยราชการยังโรงเรียนต่างๆ

ต่อมาเมื่อ นายฮาเล็ง แวสุหลง อดีตครูโรงเรียนตาดีกา มัสยิดบ้านตากอง บ้านย่อยของบ้านปะกาลือสง และอดีตอุสตาซโรงเรียนศาสน์สามัคคี ซึ่งเป็นแกนนำและผู้ปฏิบัติการคนสำคัญที่เคลื่อนไหวในพื้นที่บ้านปะกาลือสง ได้ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปัตตานี และถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิต รวมทั้งแกนนำคนอื่นๆ ถูกจับกุมและพากันหลบหนีออกจากพื้นที่ ทำให้หลายหน่วยงานจับเข่าคุยกันเพื่อคิดและหาทางแก้ไขปัญหา

เริ่มจากการจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปพัฒนาความสัมพันธ์และร่วมกิจกรรมกับผู้นำ ท้องถิ่น ผู้นำศาสนา ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ปกครองนักเรียน เด็กนักเรียน กลุ่มสตรี และประชาชนในหมู่บ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจ สร้างศรัทธา การยอมรับ จนนำไปสู่การร่วมกันพัฒนาแบบมีส่วนร่วม จนได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านมากขึ้นในทุกๆ ด้าน มีการพัฒนาหมู่บ้าน ปรับปรุงโรงเรียน ห้องเรียน สนามเด็กเล่น และจัดตั้งกลุ่มสตรี

พล.ต.ธวัชชัย สมุทรสาคร ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานีในขณะนั้น ได้หารือกับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัตตานีเขต 1 เพื่อเปิดโรงเรียนบ้านปะกาลือสงอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 โดยหน่วยเฉพาะกิจปัตตานีได้ให้การสนับสนุนกิจกรรมและการพัฒนาในหมู่บ้าน เช่น การจัดชุดหมอเดินเท้าเข้าไปพบปะเพื่อให้การรักษาเบื้องต้นแก่พี่น้องประชาชน การจัดชุดช่างซ่อมแซม และเข้าร่วมงานประเพณีต่างๆ ของหมู่บ้าน

เมื่อได้โรงเรียนกลับคืนมาและพร้อมเปิดห้องหับแห่งวิชาความรู้อีกครั้ง พ่อแม่ผู้ปกครองจึงพากันย้ายลูกหลานกลับมา และ "ครู" ก็หวนคืนมาทำหน้าที่อย่างเต็มใจดังเดิม

อรอนงค์ ไชยนรินทร์ หรือ ครูแอ๋ว ที่กว่าครึ่งชีวิตเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนบ้านปะกาลือสง เล่าให้ฟังถึงห้วงเวลาแห่งวิกฤติว่า จริงๆ แล้วครูทุกคนของโรงเรียนยังทำหน้าที่อย่างเต็มใจ ครูไปโรงเรียนทุกวันเพื่อรอคอยเด็กมาเรียน เมื่อหมอกควันร้ายมลายหายไป โรงเรียนเปิดอีกที ครูก็กลับมาที่โรงเรียนเพื่อสอนเด็กอีกครั้ง

“ตอนนี้เด็กกลับเข้ามาเรียนกว่า 60 คนแล้ว จากทั้งหมด 200 กว่าคน ผู้ปกครองก็เข้าใจ เริ่มย้ายลูกหลานกลับมา เพราะที่นี่เป็นโรงเรียนในชุมชน ไม่ต้องลำบากไปรับส่งโรงเรียนอื่นซึ่งไกลบ้านมากกว่า ที่ผ่านมาพ่อแม่ผู้ปกครองบอกเราว่า เขาถูกบังคับจากผู้ไม่ประสงค์ดีไม่ให้ส่งลูกหลานมาโรงเรียน และต้องย้ายไปเรียนที่อื่น ทำให้ลำบากหลายเรื่อง เพราะพี่น้องที่นี่ส่วนใหญ่ยากจนและมีอาชีพรับจ้าง แต่ถ้าเขาไม่ทำตามกลุ่มผู้ไม่หวังดี ชีวิตของพวกเขาอาจไม่ปลอดภัย"
ครูแอ๋ว บอกว่า ที่ผ่านมาในปะกาลือสงยังมีเหตุการณ์ร้ายอยู่ตลอด แต่ก็คิดเพียงว่าเราก็ทำหน้าที่ของเรา และทำให้ดีที่สุด

“ชาวบ้านมาบอกว่าครูอย่าไปยุ่ง ช่วงนี้ก็มีชาวบ้านมาเตือนเหมือนกันว่าเขาจะทำร้ายครูพุทธ แต่ฉันคิดว่าถ้าเขาจะทำคงทำไปนานแล้ว”

ครูแอ๋วเป็นคนหนองจิกโดยกำเนิด พี่น้องและครอบครัวอยู่ที่นี่ เธอจึงไม่คิดย้ายหนีไปไหน 23 ปีของการทำหน้าที่ "เรือจ้าง" ไม่ได้ทำให้ครูแอ๋วท้อแท้แม้จะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นบ้าง เธอบอกว่าหากอะไรจะเกิด ใครก็คงไปห้ามไม่ได้

“สอนมานานจนรู้จักพื้นที่ รู้จักคน แม้จะไม่ค่อยรู้ใจ ครอบครัวก็อยู่ที่นี่ ถึงย้ายไปสอนที่อื่นเราก็เป็นครูพุทธเหมือนเดิม จะไปเปลี่ยนคงไม่ได้ ถามว่ากลัวไหม ความรู้สึกคือมันข้ามพ้นความกลัวไปแล้ว ที่ผ่านมาครูของโรงเรียนยังไม่มีใครถูกทำร้าย อาจมีครูที่อื่นรอบนอกโดนบ้าง อยู่ที่ดวงใครจะโดนมากกว่า ซึ่งครูที่ถูกทำร้ายมีครูมุสลิมไม่น้อยเหมือนกันที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ จึงไม่รู้ว่าคนที่ก่อเหตุมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
ครูแอ๋วบอกว่าตัวเธอเองก็เคยผ่านประสบการณ์ "เฉียดตาย" มาแล้วเหมือนกัน

“ตอนนั้นขี่รถกับน้องคือครูอ้อย สอนโรงเรียนเดียวกัน กำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน สักพักก็มีชายสองคนขี่รถตีคู่มา ฉันเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ พอรถแล่นผ่านหน้าบ้านชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งเขายืนอยู่หน้าบ้านพอดี ชาวบ้านคนนั้นตะโกนถามชายสองคนที่ขี่รถตามมาว่าจะทำอะไร เมื่อหันไปมองคนบนรถจึงจำได้ว่าเป็นลูกศิษย์ ฉันจึงทักทาย แต่เขากลับเลี้ยวรถหลบไป วันนั้นถ้าชาวบ้านไม่ตะโกนเพราะเห็นผิดสังเกต ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฉันกับน้องสาวจะมีชีวิตรอดหรือไม่”

“ทุกวันนี้ก็ได้แต่ระวังตัวตามปกติ แต่เจ้าหน้าที่ทหารก็เข้ามาดูแลอย่างดี มีป้อมยามหน้าโรงเรียนและในโรงเรียน มีสนามเด็กเล่นให้เด็กได้สนุกสนาน มีโครงการเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงปลาดุก ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เพาะเห็ด มีกิจกรรมร่วมกันทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และเจ้าหน้าที่ เมื่อทหารมาออกหน่วยแพทย์หรือมีกิจกรรมที่มัสยิด ก็จะพานักเรียนไปร่วมกิจกรรม วันเด็กที่จะถึงนี้ก็มีโครงการพาเด็กไปเที่ยวด้วย”
ครูแอ๋ว แย้มถึงคติประจำใจของเธอ เพื่อทำภารกิจให้บรรลุตามเป้าหมายแม้จะต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรง

“หน้าที่ของเราคือสอนหนังสือ ถ้าไปเครียดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราก็อยู่ไม่ได้ โรคเครียดจะถามหาเสียก่อน แน่นอนว่าคงดีกว่าถ้าไม่มีเรื่องร้ายๆ อะไรเกิดขึ้นเลย แต่ในเมื่อมันไม่เป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องไปเครียดตาม”
ครูแอ๋ว เผยความตั้งใจด้วยว่า จะเป็นครูไปตลอดชีวิต จนกว่าจะครบเกษียณ

“ฉันคงเป็นครูไปจนกว่าจะเกษียณ เพราะครอบครัวญาติพี่น้องอยู่ที่นี่ ตอนนี้สอนชั้นอนุบาล มีความสุขกับเด็กๆ เด็กเล็กสอนง่ายกว่าเด็กโต เขาไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ อยู่ที่ใครจะใส่เรื่องอะไรให้เขาได้จดจำ ฉันคงไม่ไปไหนแล้ว ไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่นอีกแล้ว”

เป็นอีกหนึ่งความในใจของครูกับการทำหน้าที่ "เรือจ้าง" กลางคลื่นความรุนแรง

ประชาธิปัตย์ตบหน้าคนไทย

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจวันนี้ พูดได้เต็มปากว่า ถ้าธุรกิจเล็กๆ อยู่ไม่ได้ ที่ใหญ่ๆ ก็อย่าหวังเลยครับ เพราะทุกอย่างต้องโยงใยประสานกัน เหมือนฟันเฟืองที่ต้องช่วยกันขับเคลื่อน ตราบใดที่คนในระดับรากหญ้า ยังไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ อุตสาหกรรมใหญ่ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์กระโดดไปไหนได้เหมือนกัน

ถ้าจะปล่อยโอกาสไป ด้วยการเปลี่ยน “วิกฤติ” ให้เป็น “โอกาส” ต้องหลุดมือไปก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะโอกาสที่ประเทศของเราจะฟื้นตัว มีสูงกว่าหลายๆ ประเทศนัก

การท่องเที่ยว การส่งออก ยังเป็นความหวังที่อยู่ไม่ไกลนัก ถ้าเราสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้กระเตื้องขึ้นมาได้ เพราะเรามีปัจจัยที่สำคัญ จะมาเอื้ออำนวยผลักดัน ช่วยให้สามารถฟันฝ่าพลิกผันสถานการณ์ที่ย่ำแย่นี้ไปได้

หากเป็นไปตามที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่าครึ่งปีแรกของปีนี้ ประเทศไทยจะดำดิ่งสู่ความเจ็บปวดอย่างหนักหนาสาหัส จะมีคนงานที่เคยมีเงินเดือนไว้กินใช้ต้องตกงาน ไร้เงินเดือนมากถึง 1.63 ล้านคน

ถ้าคิดแบบคร่าวๆ ว่าคนที่ตกงาน 1.63 ล้านคน เคยได้เงินเฉลี่ย 10,000 บาทต่อเดือน เม็ดเงินที่เคยหมุนเวียนสร้างอัตราการขยายตัวจะหายไปจากระบบเศรษฐกิจไทย จากการตกงานของคนเหล่านี้ 16,300 ล้านบาท และถ้าคิดว่าเงินจำนวนนี้ที่เคยรับมาจ่ายไปหมุนยังส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจได้สัก 3 รอบ เม็ดเงินที่หายไปจะทวีคูณเป็น 50,000 ล้านบาท

นี่ยังไม่นับเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจไทยในปี 2552 นี้ ที่จะหายไปจากยอดขายสินค้าส่งออกที่คาดว่าจะลดลงประมาณ 200,000 ล้านบาท และรายรับจากการท่องเที่ยวซึ่งคาดกันว่าจะลดลง 140,000 ล้านบาท

ดังนั้น ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลนี้ระบุว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมในสิ้นเดือน มกราคมนี้ ในความคาดหวังของนักวิชาการและภาคเอกชน คือนอกจากจะต้องมีเงินพร้อมที่จะกดปุ่มจ่ายทันที
ไม่ใช่มาแค่ทำพิธีเปิดแพรคลุมป้ายเท่านั้น

จะต้องมีความชัดเจนของโครงการ มีกำหนดเวลาของการขับเคลื่อน รวมทั้งการติดตามงานอย่างชัดเจน แม้จะเป็นมาตรการประคับประคอง เพื่อการเยียวยา ลดความเจ็บปวดและเสียหายให้ลดเหลือน้อยที่สุดเท่านั้นก็ตาม

ขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งสร้างงานเพิ่มเสริมรายได้ให้กับประชาชน ในลักษณะโครงการที่อนุมัติได้เร็ว เริ่มก่อสร้างและทำงานได้เร็วและกระจายเม็ดเงินไปอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจาะกลุ่มผู้เดือดร้อน

ซึ่งหากมองย้อนกลับไป โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบตรงๆ ชัดๆ ลงไปยังชนบทและภาคที่ได้รับความเดือดร้อน ประเทศไทยของเราก็ทำมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ในหลายรัฐบาล

ต้องมาดูว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยทำกันมา อาจจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป แค่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ บรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า

ครั้งแรกสมัยนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จัดสรรงบกว่า 2,500 ล้านบาท ทำโครงการที่โด่งดังที่สุดโครงการหนึ่ง "เงินผัน" ว่าจ้างแรงงานในท้องถิ่น
ครั้งที่ 2 ยุค พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ โครงการสร้างงานในชนบท
ครั้งที่ 3 ยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการสร้างงานภาคฤดูร้อน
ครั้งที่ 4 โครงการมิยาซาว่ายุค นายชวน หลีกภัย
ล่าสุดรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กองทุนหมู่บ้านและเอสเอ็มแอล

เชื่อว่า รัฐบาลนี้คงจะศึกษาข้อดี ข้อด้อย และจุดรั่วไหลของโครงการเหล่านี้เป็นอย่างดีแล้ว รวมทั้งได้ ขอคำแนะนำจากผู้รู้เรื่องดีที่ทั้งคนที่เคยทำและคนที่เคยติดตามตรวจสอบแล้ว นำมาปรับปรุงต่อยอดให้สามารถสร้างงาน วางรากฐานประเทศ และลดผลกระทบจากวิกฤติไปพร้อมๆ กัน
ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี

จึงไม่แปลกที่คนในภาคอุตสาหกรรม อย่าง นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ต้องการให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใช้นโยบาย “ยาแรง” ในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการนำเงินกระตุ้นระดับ “รากหญ้า” ให้ถึงชาวบ้านโดยเร็ว
เพื่อให้เกิดการจ้างงานในระดับท้องถิ่น

สำหรับเม็ดเงินที่ลงสู่รากหญ้านั้น รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขกฎระเบียบให้ง่ายต่อการเบิกจ่าย และต้องให้ท้องถิ่นนำเงินมาใช้ในการจ้างงานคล้ายกับงบมิยาซาว่าเดิม แต่รัฐต้องปรับปรุงประสิทธิ ภาพให้มากขึ้น แบ่งเป็นนำมาเป็นค่าจ้างชั่วคราวแก่นักศึกษาจบใหม่หรือผู้ที่ว่างงานให้กับ องค์กรระดับท้องถิ่น เช่น พนักงานการพัฒนาท้องถิ่น บัญชี การวิจัย การอบรมวิชาชีพแก่ชาวบ้าน เป็นต้น โดยอาจเป็นการจ้างงานระยะสั้น 6 เดือน-1 ปี เพราะเชื่อว่าในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโลกและบริษัทหลายแห่งสามารถวางแผนขยาย กิจการต่อไปได้
ขณะที่ส่วนหนึ่งก็ส่งเสริมท้องถิ่นให้ก่อสร้างโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน เช่น
สร้างถนน พัฒนาพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการและแรงงานระดับล่าง หรือ โครง การจ้างงานบัณฑิตใหม่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้มาแล้ว

ส่วนภาคธุรกิจนั้น รัฐบาลต้องหามาตรการช่วยเหลือให้ได้ในช่วงของครึ่งปีแรกไม่ให้ บริษัทปิดกิจการหรือลดคนงานมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องขาดสภาพคล่องและยอดคำสั่งซื้อที่ลดลง
แต่หากประคองกิจการได้อีก 6 เดือน เชื่อว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น

เช่นเดียวกับ นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ที่กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยรอการกระตุ้นจากงบกลาง 1 แสนล้านบาท หากเม็ดเงินลงสู่ระบบได้ในเดือนเมษายน 2552 จะส่งผลให้เกิดการบริโภคและผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่และเอสเอ็มอีสามารถ จำหน่ายสินค้าได้ รวมทั้งทำให้เกิดการลงทุนและการจ้างงานตามมา
การจะฟันฝ่าสถานการณ์ที่ย่ำแย่ในวันนี้ไปได้ คนไทยทุกคนต้องช่วยกันครับ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

กลางปีนี้ ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางพระพุทธศาสนา จะมีงานใหญ่เฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา วันสากลสำคัญของโลก จะมี 70 ประเทศมาร่วม ระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2552 จะพิสูจน์ถึงความสมานฉันท์ ถ้าคนไทยยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ บ้านเมืองมีสันติสุข ก็จะเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาประเทศได้เป็นอย่างดี เป็นการช่วยชาติบ้านเมืองอีกทางหนึ่ง

แต่ที่ยังป็นห่วงกันมาก นอกจากผลกระทบจากต่างประเทศแล้ว ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 คือ “การเมือง” จากการแตกแยก แบ่งสี แบ่งขั้ว ทั้งๆ ที่ทุกคนร้อง “เพลงชาติ” เพลงเดียวกัน ที่มีเนื้อร้องระบุไว้ชัดว่า “รักสามัคคี”

ถ้าความขัดแย้งยังมีอยู่ ย่อมส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารทำอะไรได้อย่างเต็มที่ ไม่สามารถทำได้อย่างที่คิดไว้ โอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวมีสิทธิ์ติดลบก็มีมากขึ้นเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ยังน่าเป็นห่วงครับ

ที่น่าห่วงพอๆ กัน คือ “ม็อบพันธมาร” ตัวการทำลายเศรษฐกิจ จนวันนี้ยังโงหัวไม่ขึ้นทำลายความน่าเชื่อถือและเกียรติภูมิของประเทศเสีย หายย่อยยับ กับรัฐบาล “ประชาธิปัตย์” ที่เข้ามาฟื้นฟูกอบกู้ ดูแล้วมันแยกกันไม่ออกครับ

การที่พรรคประชาธิปัตย์ ดึงเอา ส.ส. สอบตก ที่เป็นหัวหอกสำคัญของ “ม็อบพันธมาร” มานั่งเป็นที่ปรึกษา มามีตำแหน่งแห่งที่ในรัฐบาล ถือเป็นการตบหน้าคนไทยทั้งชาติฉาดใหญ่ เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

งบแสนล้านเดิมพันครม.มาร์ค

คณะรัฐมนตรี ได้มีการพิจารณากรอบการใช้งบประมาณ 115,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นงบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีทั้งหมด 17 โครงการ เป็นสิ่งที่หลายคนต้องตีโจทย์ให้แตก เพราะการอนุมัติงบประมาณก้อนมหึมานี้มีนัยสำคัญต่อความอยู่รอดของประเทศไทย ประชาชนคนไทย และที่สำคัญคือ รัฐบาล

โครงการต่างๆ ประกอบด้วย

1.โครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี งบประมาณ 19,000 ล้านบาท
2.การช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 18,828.50 ล้านบาท
3.โครงการเศรษฐกิจพอเพียงยกระดับชุมชน 15,200 ล้านบาท
4.โครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน รวมโครงการประปาท้องถิ่น 24,445 ล้านบาท ใช้งบประมาณทั้งหมด 13,854 ล้านบาท
5.จัดเบี้ยยังชีพคนชรา 9,000 ล้านบาท
6.โครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน 6,900 ล้านบาท
7.จัดค่าตอบแทนพิเศษให้ อสม. 3,000 ล้านบาท
8.โครงการจัดทำและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกร (ชลประทาน) 2,000 ล้านบาท
9.โครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก (กรมทรัพยากรน้ำ) 760 ล้านบาท
10.โครงการถนนไร้ฝุ่นลาดยางในหมู่บ้าน 1,500 ล้านบาท
11.โครงการด้านพาณิชย์เพื่อช่วยเหลือประชาชน 1,000 ล้านบาท
12.สนับสนุนด้านการท่องเที่ยว 999.20 ล้านบาท
13.โครงการเงินกู้ผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวและบริหาร 500 ล้านบาท
14.โครงการสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร 500 ล้านบาท
15.โครงการฟื้นฟูความเชื่อมั่น เสริมสร้าง ภาพลักษณ์ โดยกระทรวงการต่างประเทศเป็นแม่งาน วงเงิน 570 ล้านบาท
16.โครงการปรับปรุงสถานีอนามัย 2,609 แห่ง วงเงิน 1,095.80 ล้านบาท
17.โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจชั้นประทวน 532 หน่วย วงเงิน 1,808.80 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้ง 17 โครงการใช้งบประมาณทั้งสิ้น 96,516.50 ล้านบาท

ส่วนใหญ่จะมองเรื่องของโครงการ “ประชานิยม” ที่นำมาปรับปรุงเป็นโครงการ “ประชานิยมกว่า” ที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่ม “ออพชั่น” คล้ายๆ กับการซื้อบ้านแถมหม้อหุงข้าว !!!

แต่นัยสำคัญกว่านั้น ไม่ยิ่งหย่อนคือการเดิมพันประเทศไทย ประชาชนคนไทย และที่สำคัญคือรัฐบาลไทย เพราะการทุ่มงบประมาณ ซึ่งก็คือเงินภาษีอากรของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จำนวนมหาศาลเช่นนี้ ย่อมต้องเล็งเป้าหมายให้เห็นผล

เป้าหมายที่ว่าคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลก และ เศรษฐกิจชาติ ที่เข้าใกล้ความหายนะ อันเรื่องจากอันธพาลการเมือง กุ๊ยข้างถนน ที่ปิดล้อมสนามบินนานาชาติ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของชาติ เศรษฐกิจหดตัว คนว่างงาน รายได้ภาครัฐหดหาย

การกระตุ้นเศรษฐกิจ แสนกว่าล้านบาทนี้ จะทำได้เป็นผลคุ้มค่าจริงหรือไม่? เป็นเดิมพันสูงของ ครม.มาร์ค 1 ที่จะต้องดูต่อไป หากทำไม่สำเร็จ เหมือนช่วงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ ที่ต้องพึ่งพากองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ สุดท้ายคนไทยจะเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แน่นอน...รัฐบาลย่อมอยู่ในอำนาจรัฐ ด้วยความยากลำบาก งานนี้ไม่ใช่ “วัดตัวเงิน” แต่ “วัดกึ๋น”

3หัวโจกม็อบมารตีปี๊บ!!รบ.ให้โบนัสเลขา-ที่ปรึกษารมต.

'เทพเทือก' ดื้อตาใส! โดดป้อง 3 กบฏพันธมาร 'สำราญ-พิเชษฐ-ประพันธ์' ยันไม่ใช่โควต้า 'ม็อบโกเต็กซ์' แม้ใส่เสื้อสูท ปชป. ลือหึ่ง!! 'ผลประโยชน์ต่างตอบแทน' แจกเก้าอี้การเมืองปูนบำเหน็จ 'พันธมาร' เหตุก่อพฤติกรรม 'ดิบ-ถ่อย-เถื่อน' โค่นรัฐบาล พปช. 'สาทิตย์' สีข้างถลอก รับดันม็อบมีเส้น ชี้สังคมต้องเข้าใจ 'มาร์ค' ปัดเนียน!! ไม่เห็นชื่อ 'ยะใส' ในลิสต์เลขาฯรมต.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ม.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การแต่งตั้งที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรีในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ให้โควต้ากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตามที่เป็นข่าวแต่ อย่างใด ส่วนที่มีรายชื่อแกนนำและแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ ได้แก่ นายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ นายสำราญ รอดเพชร นายประพันธ์ คูณมี นั้นเนื่องจากเป็นอดีตผู้สมัครของพรรคที่เมื่อไม่ได้รับเลือกตั้ง ก็ออกไปเคลื่อนไหวตามแนวความคิดของตนเอง แต่ก็ไม่ได้เป็นแกนนำคนสำคัญของการเคลื่อนไหวภาคประชาชน บุคคลเหล่านี้จึงเป็นบุคคลของพรรคไม่ใช่โควต้าพันธมิตรฯ ซึ่งตนเชื่อว่าทุกคนมีความรู้ความสามารถและตนไม่ได้แบ่งแยกว่าใครเป็น พันธมิตรฯ

มาร์คปัดไม่มีชื่อ'ยะใส'

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นเดียวกันว่าการตั้งทีมที่ปรึกษารัฐมนตรี ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ มีหลักการพิจารณา 2 ด้านคือ คุณสมบัติเหมาะสมต่อตำแหน่งหรือไม่ และเป็นบุคคลที่เคยช่วยงานพรรคประชาธิปตย์ ขณะเดียวกันก็ฟังเสียงของประชาชนด้วย หากมีการวิพากษ์วิจารณ์ ก็ต้องสามารถชี้แจงได้ โดยเฉพาะหากมีการแต่งตั้งแกนนำพันธมิตรประชาชนฯ และหากเป็นพันธมิตรฯอย่างเดียว ก็จะชี้แจงให้สังคมเข้าใจยากขึ้น ทั้งนี้ถ้ารัฐบาลจะตั้งใครก็ต้องอธิบายสังคมได้ด้วย

ทั้งนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวให้สัมภาษณ์สั้นๆ ก่อนเข้าประชุมครม.ถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนไม่ยังเห็นรายชื่อของนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ปัดที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับรายชื่อของนายสำราญ นายพิเชษฐ และนายประพันธ์ โดยทั้งนี้คาดว่าภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมครม.แล้ว นายกฯอาจจะมีการชี้แจงประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง

‘มาร์ค’ ลั่น ตั้ง ลิ่วล้อพันธมิตรเป็นเลขาฯที่ปรึกษารัฐมนตรี ไม่ใช่โบนัส

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จสิ้นการประชมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการแต่งตั้งที่ ปรึกษารัฐมนตรีและเลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะมีการแต่งตั้งบุคคลที่ขึ้นเวทีปราศรัยกับกลุ่มพันธมิตร ว่า วันนี้ที่ประชุมมีการพิจารณาซึ่งมีการอนุมัติการแต่งตั้งหลายกระทรวง ทั้งนี้ตนขอย้ำว่าคนที่ขึ้นเวทีจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม หากไม่ได้ทำผิดกฎหมายก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่หากทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินการ อีกทั้งตนได้กำชับไปแล้วว่าให้มีการดำเนินกับกลุ่มที่กระทำความผิดทุกกลุ่ม ซึ่งได้มีการสอบถามไปยัง พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร)ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่ากำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่

เมื่อถามว่านายประพันธ์ คูณมี ก็เป็นหนึ่งในแกนนำพันธมิตรเช่นกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายประพันธ์ความจริงแล้วในส่วนของพรรคได้ทำงานการเมืองกับพรรคและเป็นคณะทำ งานของพรรคอยู่ ซึ่งทุกคนที่เข้ารับตำแหน่งตรงนี้ได้มีการซักซ้อมถึงแนวทางการทำงานชัดเจน อีกทั้งได้พูดถึงนโยบายที่กำลังเดินหน้าในการที่จะให้การเมืองกลับเข้าสู่ ภาวะปกติ ฉะนั้นหากออกนอกลู่แนวทางนี้ก็ต้องเปลี่ยน ซึ่งนายประพันธ์ก็เป็นบุคคลที่มีความรู้อยู่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้บุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีและเลขานุการรัฐมนตรี มีหน้าที่ช่วยรัฐมนตรีท่านนั้นทำงานในด้านนั้น คงไม่มีหน้าที่ในการที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองอะไรทั้งสิ้น ทั้งนี้การดำเนินการทุกอย่างอยู่ที่เรื่องของความเป็นธรรม ทางฝ่ายการเมืองของฝ่ายค้านก็เคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งก็สามารถทำได้ อย่างที่ตนได้เรียนไปแล้วว่าหากเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญก็ทำได้ หากทำผิดกฎหมายก็ปฏิบัติเสมอกันไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน เพราะนี่คือหัวใจการทำงานของรัฐบาล

ต่อข้อถามว่าประชาชนอาจจะมองว่าเป็นการให้โบนัสกับกลุ่มสนับ สนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีการให้หรือตอบแทนอะไรทั้งสิ้น ทุกคนเต็มใจเข้ามาทำงาน

'เหลิม'ตอก"นายกฯ - สุเทพ"ใจถึงตั้ง พธม.เป็นเลขา-ที่ปรึกษารมต.

ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทยในฐานะประธาน ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรกล่าวถึงกรณีที่ นายกรัฐมนตรีตั้งแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลายคนเป็นเลขานุการ รัฐมนตรีและที่ปรึกษารัฐมนตรีว่า เป็นดุลยพินิจของนายกรัฐมนตรี ที่จะตัดสินใจ แต่เห็นว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรียิ่งเป็นเรื่องที่ตอกย้ำว่า ปชป.เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อนประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ข้อกล่าว หาของพรรคเพื่อไทย แต่เรื่องนี้คงไม่นำมาเป็นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะน้ำหนักน้อย แต่ถือว่า นายกรัฐมนตรีกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ใจถึงมากที่ตัดสินใจในเรื่องนี้

นปช.รับไม่ได้เตรียมชุมนุมใหญ่

ด้านนายจตุพร พรหทพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งบุคคลที่เคยเป็นแกนนำพันธมิตรเข้ารับตำแหน่ง เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษารัฐมนตรีนั้นเป็นการท้าทายความรู้สึกของ คนไทยทั้งประเทศ พยายามตอกย้ำว่าการตั้งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นการยอมรับว่าประชาธิปัตย์เป็นกระบวนการเดียวกันกับกระบวนการที่ยึด สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และทำเนียบรัฐบาล

และวันนี้นายอภิสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกแล้ว ควรจะตั้งนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต จำลอง ศรีเมือง นายสมศักด์ โกศัยสุข และบรรดาแกนนำคนอื่นที่มีบทบาทในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ตั้งมาเป็นที่ปรึกษานายกฯเลย ส่วนที่นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าแกนนำพันธมิตรที่รัฐบาลตั้งนั้นเคยทำงานที่พรรค ประชาธิปปัตยมาก่อน แต่หากมีผลทางคดีว่าผิดจริงก็ต้องออกจากหน้าที่ดังกล่าว นายจตุพรกล่าวว่าในเมื่อบุคคลที่นายกรัฐมนตรีการันตีแต่งตั้งมาจะมีใครกล้า ดำเนินคดี เพราะนายอภิสิทธิ์ เองไม่กล้าดำเนินคดีแต่ยังมีการปูนบำเหน็จให้กับบรรดาแกนนำพันธมิตร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่าเป็นการเหยียบหน้าประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นการที่นายอภิสิทธิ์แต่งตังบุคคลดังกล่าวก็แสดงว่าเป็นการยอมรับว่า พันธมิตรกับประชาธิปปัตย์เป็นพวกเดียวกัน

นอกจากนี้นายจตุพรยังแสดงภาพที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่มี นายอภิสิทธิ์นั่งเสมอกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะเข้าเฝ้า ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำตามธรรมเนียม ปฏิบัติในฐานะนายกรัฐมนตรี เพราะตามปกติแล้วนายกฯจะต้องนั่งกับพื้นไม่เคยมีนายกฯคนไหนที่จะนั่งเช่น เดียวกับที่นายอภิสิทธิ์กระทำ

นายจตุพร ย้ำด้วยว่า การชุมนุมของกลุ่มจะไม่กระทำการใดๆ เหมือนที่พันธมิตรฯ กระทำอย่างแน่นอน

ครม.มีมติตั้ง 'ประพันธ์' นั่งที่ปรึกษารมว.กระทรวงวิทย์

นายศุภลักษณ์ ควรหา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้ ว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครม.อนุมัติแต่งตั้งนายประพันธ์ คูณมี เป็นที่ปรึกษารมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา เป็นเลขานุการ รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อนุมัติแต่งตั้งนายชาญยุทธ โฆศิรินนท์ เป็นที่ปรึกษารมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายเอกชัย ทรงอำนาจเจริญ เป็นเลขานุการ รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่วนกระทรวงการคลังอนุมัติแต่งตั้งนายศิโรตม์ เสตะพันธุ เป็นเลขานุการรมว.กระทรวงการคลัง

กระทรวงพาณิชย์ ครม.อนุมัติแต่งตั้งนายสัญญา สถิรบุตร เป็นที่ปรึกษารมช.กระทรวงพาณิชย์ นายอัครพล ลีลาจินดามัย เป็นผู้ช่วยเลขานุการรมว.กระทรวงพาณิชย์ นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารมว.กระทรวงพาณิชย์ และนายประพล มิลินทจินดา เลขานุการรมว.กระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ ครม.แต่งตั้งนายวีระชัย ถาวรพนต์ เป็นที่ปรึกษารมว.กระทรวงแรงงาน และนายขภัช นิมมานเหมินท์ เป็นเลขานุการรมว.กระทรวงแรงงาน

กระทรวงมหาดไทย ครม.อนุมัติแต่งตั้งนายเกรียงยศ สุดลาภา เป็นที่ปรึกษารมช.มหาดไทย(นายถาวร เสนเนียม) และนายกิจ ก้องธรนินทร์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการรมว.มหาดไทย(นายถาวร เสนเนียม) ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข แต่งตั้งนางประนอม จันทรภักดี เป็นที่ปรึกษารมช.กระทรวงสาธารณสุข ส่วนนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู เป็นเลขานุการรมว.กระทรวงสาธารณสุข และนายประศาสตร์ ทองปากน้ำ เป็นผู้ช่วยเลขานุการรมว.กระทรวงสาธารณสุข

กระทรวงศึกษาธิการ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เป็นที่ปรึกษารมว.กระทรวงศึกษาธิการ นายสุธรรม นทีทอง เป็นเลขานุการรมว.กระทรวงศึกษาธิการ นายศุรพงศ์ พงศ์เดชขจร เป็นผู้ช่วยเลขานุการรมว.กระทรวงศึกษาธิการ (นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) นายวิชัย ศิริประเสริฐโชค ผู้ช่วยเลขานุการรมว.กระทรวงศึกษาธิการ (น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ)

ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครม.อนุมัติแต่งตั้งนายธนพล เจิมประไพ เป็นที่ปรึกษารมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายชายชาติ พุคยาภรณ์) กระทรวงยุติธรรม นายพิชัย บุณยเกียรติ เป็นที่ปรึกษารมว.กระทรวงยุติธรรม และนางภัทรมน เพ็งส้ม เลขานุการรมว.กระทรวงยุติธรรม ส่วนกระทรวงคมนาคม นางกรรณิการ์ เขมาวุฒานนท์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ

กระทรวงวัฒนธรรม ครม.อนุมัติแต่งตั้ง นางสาวมัลลิการ์ บุญมีตระกูล เลขานุการรมว.กระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ ครม.แต่งตั้ง น.ส.ชมพูนุช นาคทรรพ เป็นที่ปรึกษารมว.กระทรวงการต่างประเทศ และนายชวนนท์ อินทรโกมารย์สุต เป็นเลขานุการรมว.กระทรวงการต่างประเทศ

สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายพิลาศ พันธโกศล เป็นที่ปรึกษารองนายกฯ (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์) นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นายสุธรรม ลิ้มสุวรรณเกษม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นายอิสรา สุนทรวัฒน์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นางอัญชลี วานิชเทพบุตร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) พล.อ.สุภาษิต วรศาสตร์ ที่ปรึกษารองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) นายสรวงสรรค์ จามจันทร์ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) นายวิทเยนทร์ มุตตามระ เลขานุการรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) นายก้องศักดิ์ ยอดมณี เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล)

รบ.เอาใจปชช.สั่งระงับการขึ้นราคาก๊าซLPG-NGV

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(16 ม.ค.) นายวรรณนัตน์ ชาญนุกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยมีนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยกล่าวเปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการชะลอขึ้นราคาก๊าซ LPG และ NGV ไว้ก่อนอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจมีการชะลอตัว เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน จนถึงการงดเว้นการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันออกไปอีก 6 เดือน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันมากจนเกินไป

พร้อมกันนี้ในส่วนแผนการพัฒนากำลังไฟฟ้าของประเทศนั้นในที่ ประชุมเห็นชอบให้ปรับแผนเพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ เนื่องจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลง และการปรับค่าทรัพยากรไฟฟ้าให้เหมาะสม โดยปรับตามอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อปริมาณทดลองไฟฟ้าให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ทุกปั๊มขึ้นเบนซิน-แก๊สโซฮอล์80สต./ลิตรพรุ่งนี้

วันนี้ (16 ม.ค.) ผู้ค้าน้ำมันทุกราย มีมติปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์อีก 80 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (17 ม.ค.) ยกเว้นเชลล์ที่มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้วานนี้ (15 ม.ค.) สำหรับราคาน้ำมันดีเซลยังอยู่ที่ระดับเดิม

เพื่อนเนวินปัดทุ่ม3ล้านตกเขียวเด็กพท.

"บุญจง"ปัดข่าวจ่าย 3 ล้านตกเขียวเด็กเพื่อไทย แจง ส.ส.อีสานแห่ร่วมงาน"ภูมิใจไทย"แค่ร่วมแสดงความยินดี "คนสนิทเนวิน"ชี้พวกไม่หวังดีปูดข่าวดิสเครดิต "เพื่อแผ่นดิน"ระบุ"สุชาติ"โผล่แจมเปิดตัว ภท.เหตุมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ"เนวิน ด้านว่าที่หัวหน้าพรรคยัน เรตติ้งดีไม่มีตก ย้ำทุกกระแสเป็นเพียงข่าวลือ

วันนี้ (16 ม.ค.) นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าพรรคภูมิใจไทยจ่ายเงิน 3 ล้านบาท เพื่อดูด ส.ส.เพื่อไทยว่า ไม่เป็นความจริงและไม่รู้ว่าเจตนาคนปล่อยข่าว อย่างไรก็ตาม ข่าวลือก็คือข่าวลือ และขณะนี้ การย้ายพรรคก็ไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ พรรคคงไม่มีเงินมากพอที่จะดูด ส.ส. ส่วนการที่ ส.ส.กลุ่มอีสาน พรรคเพื่อไทย เดินทางมาวันแถลงข่าวเปิดตัวกลุ่มเพื่อนเนวินของพรรคภูมิใจไทยนั้น เพียงแค่ต้องการมาแสดงความยินดี

ด้าน นายทรงศักดิ์ ทองศรี คนสนิทนายเนวิน ชิดชอบ กล่าวว่า คนที่ปล่อยข่าวดังกล่าวต้องการดิสเครคิตพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นพรรคใหญ่ แต่ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสคุยกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจริง ก่อนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อได้ตั้งรัฐบาลแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องจ่ายเงินเพื่อดูด ส.ส. พรรคเพื่อไทยอีก

วันเดียวกัน นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ถึงการณีที่นายสุชาติ ตันเจริญ แกนนำกลุ่มบ้านริมน้ำ ไปร่วมแสดงความยินดีในงานแถลงข่าวเปิดตัวกลุ่มเพื่อนเนวินของพรรคภูมิใจไทย ว่า ยังไม่ได้คุยกันถึงเรื่องอนาคตทางการเมือง เพราะคิดว่ารัฐบาลชุดนี้น่าจะอยู่ได้ยาว

ด้านนายอิสสระ สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อนาคตพรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคขนาดใหญ่อันดับสาม แต่ไม่เชื่อว่าภูมิใจไทยจะกล้าตีจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการสร้างบารมีในพื้นที่ว่าส.ส.พรรคเหล่านั้นไม่ได้ ทรยศพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และไม่เชื่อว่าจะเติบโตเป็นพรรคที่มีส.ส.เกินร้อยคน ทั้งนี้ ในอนาคตหากมีการเลือกตั้งภูมิใจไทยก็คงต้องแข่งขันกับประชาธิปัตย์ แต่ไม่เชื่อว่าภายใน 3 ปีนี้ ภูมิใจไทยจะโตขึ้นมาจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ได้ พร้อมยอมรับว่า การหาเสียงในภาคอีสานของพรรคมีปัญหา อนาคตก็ยังเป็นการต่อสู้กับระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิไทย แต่เชื่อว่าเมื่อนโยบายลงพื้นที่แล้ว คะแนนเสียงของพรรคในภาคจะดีขึ้น

ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีระกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และว่าที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวปฏิเสธ กระแสข่าวการซื้อตัวส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้เข้ามาสังกัดพรรคของตน โดยระบุว่า กระแสข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทุกอย่างเป็นเพียงข่าวลือทั้งสิ้น เพราะพรรคภูมิใจไทย มีเรตติ้งที่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำการซื้อตัวส.ส.เพื่อให้เข้ามาสังกัดพรรคตามที่มีการนำเสนอ ข่าวออกไป

เวิร์ลแบงก์ยาหอมรัฐกระตุ้นศก.ระยะสั้นชี้ 2 พันแจกมนุษย์เงินเดือนไม่สูญเปล่า

ธนาคารโลกฟันธงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นรัฐบาล ฉลุย มั่นใจช่วยลดปัจจัยด้านลบ คอนเฟิร์มแจก 2 พันให้มนุษย์เงินเดือนไม่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ มั่นใจจีดีพีขยายตัวอย่างน้อย 2% แนะทุกภาคส่วนปรับตัวรับการแข่งขัน หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นใน 2-3 ปีข้างหน้า

วันนี้ (16 ม.ค.) ที่ ร.ร.สยามซิตี้ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ให้สัมภาษณ์การเข้าร่วมงานสัมมนารายงานการพัฒนาโลกปี 2552 ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับธนาคาร โลกถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ได้ประกาศออกมาแล้วนั้น เชื่อว่าช่วยบรรเทาผลกระทบทางลบทางเศรษฐกิจที่ไทยเผชิญอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลกระทบมาจากภายนอก ซึ่งมาตรการที่ออกมามีทั้งระยะสั้นและระยะปานกลางด้วย

"ถ้าจะให้สรุปก็สรุปได้ว่ามาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลประกาศออกมา เหมาะสมและออกมาได้ทันเวลา แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดต้องมองผลในระยะสั้นก่อนว่าจะบรรเทาได้อย่างไร มาตรการที่ออกมาหลายอย่างพยายามบรรเทาในระยะสั้น แต่อย่าลืมว่าระยะปานกลางอีก 2-3 ปี เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ไทยต้องพร้อมที่จะเข้าไปแข่งขันบนเวทีโลกอีกที จึงต้องมีมาตรการระยะกลางเข้ามาช่วย อย่างเช่น การลงทุนของภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภค ที่จะส่งผลในระยะปานกลาง ขณะเดียวกัน ก็จะส่งผลในระยะสั้นด้วย เป็นการสร้างความมั่นใจ ช่วยกระจายเม็ดเงินให้ภาคเอกชนมีการลงทุน เข้ามาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น" ดร.กิริฎา กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลเชื่อมั่นว่ามาตรการที่ออกมา จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ถึง 2% ดร.กิริฎา กล่าวว่า เป็นเรื่องยากมากว่าอัตราการโตจะเป็นเท่าใดแน่ เพราะขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เข้ามา ต้องดูผลกระทบจากภายนอกที่เข้ามาก่อน ยังไม่แน่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน ถ้าแรงกว่าที่คิดก็คงต้องทบทวนประมาณการณ์กันใหม่ แต่ถ้าดูจากผลกระทบตรงๆ ที่เป็นอยู่ขณะนี้มาตรการรัฐคงช่วยผลักดันเศรษฐกิจขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 2% และไม่ติดลบอย่างที่หลายฝ่ายเกรงกัน

ผู้สื่อข่าวถามถึงมาตรการช่วยค่าครองชีพของรัฐบาล ดร.กิริฎา กล่าวว่า มองว่าเงิน 2 พันบาทที่ให้คนมีรายได้น้อยกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อเดือนที่อยู่ในระบบประกันสังคม สำหรับคนมีรายได้น้อยจริงๆ เงิน 2 พัน ในระยะสั้นถือว่ามีค่าและจำเป็นแก่การนำไปใช้ แต่ถ้าคนเงินเดือนใกล้ 1.5 หมื่นบาทอาจไม่ได้ใช้ทันที จึงอยากให้แยกว่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยในระดับบุคคลเงิน 2 พันบาทช่วยได้จริง แต่ในระดับประเทศ คงเป็นการสร้างกำลังใจ หรือสร้างบรรยากาศในการจับจ่ายใช่สอยให้ดีขึ้น มีผลกระทบทางจิตวิทยาที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน เงินที่ลงไปคงจะไปหมุนเวียนในระบบ สร้างการผลิตที่ต่อเนื่องขึ้นมา คิดว่าที่ลงไปคงไม่ละลายหรือสูญเปล่า เพราะคนได้ประโยชน์ก็มีจริง คนมีเงินเดือนไม่กี่พันบาทเงิน 2 พันบาทถือว่ามีค่า

"ตอนนี้ยอมรับว่ายังไม่ได้ประเมินเป็นรายไตรมาสอย่างละเอียด แต่มองไตรมาสที่ 1 การใช้จ่ายภาครัฐอาจยังไม่ลงเร็วไม่ทันการส่งออกคงไม่ดี เนื่องจากไตรมาส 1 ปีก่อน ส่งออกไทยขยายตัวดี ดังนั้น ทั้งหมดคงทำให้เศรษฐกิจไตรมาส 1 ปีนี้ขยายได้ไม่มาก ถ้าเศรษฐกิจโลกยังทรงๆ อยู่ แต่ไม่แน่ใจไตรมาส 2 กับ 3 เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐถ้าแย่ลงไปมากๆ อาจไม่แน่ว่าไตรมาสที่ 1 จะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดหรือเปล่า"

นอกจากนี้ ดร.กิริฎา ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจว่า ในช่วงเศรษฐกิจขาลงการลดดอกเบี้ยไม่ใช่มาตรการที่ดีที่สุดในการกระตุ้นสิน เชื่อ เพราะมีหลายปัจจัย อาทิ คนกลัวไม่กล้าลงทุน ทางธนาคารพาณิชย์อาจกลัวไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เพราะไม่รู้ว่าเป็นเอ็นพีแอลหรือเปล่า การลดดอกเบี้ยจึงอาจไม่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ แต่มาตรการการคลังอาจเป็นช่วยเสริมสภาพคล่องต่อสายปาน

"เศรษฐกิจโลกซบเซานาน 2-3 ปี พอเศรษฐกิจโลกฟื้นขึ้นมา แม้จะไม่มีใครรู้ว่าจะตกต่ำสุดเมื่อไหร่ แต่คนพูดกันว่าประมาณ 2-3 ปีข้างหน้าที่แหละ แต่เราต้องซ้อมที่จะแข่งขันให้พร้อมบนเวทีโลก ถ้าเป็นบริษัทฐานะการเงินเราดีถ้าเราเก็บไว้ไม่นำมาพัฒนาปรับตัว ขณะที่ประเทศอื่นเขาทำกัน อีก 2-3 ปีหน้า พอเศรษฐกิจโลกฟื้น เราจะไปสู้เขาสู้ได้ไหมคุณภาพสินค้าเราจะดีไหม เอกชนควรใช้เวลาช่วงนี้ปรับตัวปรับคุณภาพสินค้า ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทมีการเงินดีแค่ไหนที่จะทำ" ดร.กิริฎา กล่าวทิ้งท้าย

นิพิฏฐ์ อัด DTV ตั้งป้อมถล่มรัฐบาล สร้างความแตกแยก

ลูกหาบ 'ชวน' ประกาศลั่นขอค้าน'ดีทีวี' เต็มขั้น เชื่อจัดรายการเป็นศัตรู'นายกมาร์ค' ชี้จะเกิดแต่ความแตกแยกบานตะไท เผยไม่คิดมาก ย้ำรบ.ใจกว้างพอให้คนฝ่ายค้านระบายอารมณ์คุยกับประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ม.ค.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดตัวสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ดีทีวี พร้อมประกาศก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศัตรูกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ส่วนตัวแล้วตนไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่แรก หากใครจะเปิดสถานีข่าวทางการเมือง 24 ชั่วโมง 100 เปอร์เซนต์ เพราะจะทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือเกิดความขัดแย้งในสังคม มากกว่าความสมานฉันท์ ส่วนการประกาศตัวเป็นศัตรูกับนายกรัฐมนตรีนั้น ตนคิดว่าจะเป็นการสร้างความขัดแย้งมากขึ้น แต่หากต้องการจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้ตามกฎหมาย แต่ไม่ใช่ประกาศตัวเป็นศัตรูแบบนี้

นอกจากนี้นายนิพิฏฐ์กล่าวเสริมว่า ในส่วนที่ผู้ดำเนินรายการให้เหตุผลของการจัดรายการโทรทัศน์ครั้งนี้ว่า ต้องการนำเสนอข้อมูลเพื่อที่ประชาชนจะได้รับรู้ทั้งสองด้าน ตนมองว่าตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านเราก็เรียกร้องมาตลอดว่ารัฐบาล ควรเปิดโอกาสให้ใช้พื้นที่สื่อ แก่ฝ่ายค้านด้วยดังนั้นเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเราจึงเปิดโอกาสให้ ผู้นำฝ่ายค้าน ใช้สื่อของรัฐได้เพื่อพูดคุยกับประชาชน แต่การที่พรรคเพื่อไทยยังไม่มีผู้นำฝ่ายค้านนั้น ก็เป็นเรื่องภายในที่ต้องไปจัดการให้ได้ก่อน แต่รัฐบาลใจกว้างอยู่แล้ว

ผบช.น.แทงกั๊กล่าชื่อตร.ถอด9อรหันต์ปปช.!!

'สุชา ติ' ปัดจัดงานสัมมนาล่าชื่อตร.ยื่นถอดถอน 9 ป.ป.ช. หลังศาลได้มีคำสั่งไม่รับฟ้อง เหตุปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีปราบม็อบบุกสภา 7 ต.ค.ไม่ชอบ ยอมรับมีการเตรียมการถอดจริง ยืนยันไม่มีเอี่ยว!!

จากกรณีที่พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. มอบอำนาจให้นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช ), นายกล้านรงค์ จันทิก, นายใจเด็ด พรไชยา, นายประสาท พงษ์ศิวาภัย, นายภักดี โพธิศิริ, นายเมธี ครองแก้ว, นายวิชา มหาคุณ, นายวิชัย วิวิตเสวีและน.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ซึ่งเป็น ป.ป.ช. เป็นจำเลย ที่ 1-9 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีที่ ป.ป.ช.แต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีสั่งให้ตำรวจสลายการชุมนุมหน้าบริเวณรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ไม่ชอบ ไม่ยุติการไต่สวน ทั้งที่ศาลอาญาได้รับฟ้อง คดีที่นายสิทธิพร โพธิโสดา ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น), พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร., พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สุชาติ ผบช.น. และพล.ต.ต.อำนวย เป็นจำเลยที่ 1-5 ต่อศาลอาญาคดีหมายเลขดำที่ อ.4142 /2551 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้วซึ่งประเด็นเดียวกับข้อกล่าว หาที่ ป.ป.ช.ไต่สวน ซึ่งตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา86 บัญญัติ ห้ามไม่ให้ ป.ป.ช.รับคำกล่าวหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่ศาลรับฟ้องในประเด็นเดียวกัน และ เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้มีคำสั่งไม่รับฟ้อง เนื่องจากคดีไม่ครบองค์ประกอบความผิด

วันนี้ (16 ม.ค.) พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ปฏิเสธไม่ได้จัดสัมมนาล่ารายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อถอดถอน ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน เนื่องจากมีความเห็นว่าทั้ง 9 เป็นผู้ที่มีความเป็นธรรมและเป็นที่เคารพของบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว

"ไม่ทำแน่นอน ตนคงไม่ทำอย่างนั้น เพราะจริงๆ แล้วทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง แต่ถามว่าจะจัดกระบวนการถอดถอนด้วยเรื่องอะไร ใครเป็นคนทำนั้น ตนไม่ได้ปฏิเสธแต่ไม่รู้เรื่องเพราะถ้าถามว่าจะถอดถอนอย่างเดียวจะเป็นไป อย่างไร คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็คงสู้ไปตามกติกาเพราะล้วนแต่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น ท่านก็มีกติกาของท่านไม่น่าจะมีความไม่เป็นธรรม ส่วนเราถูกกล่าวหาก็ว่ากันไป เมื่อกล่าวหาก็ต้องดำเนินการสอบพยานหลักฐานต่างๆ แจ้งข้อกล่าวหาอย่างไร และจะแก้ข้อกล่าวหาอย่างไร เราก็ว่าไปตามนั้น" ผบช.น.กล่าว

ถึงคราวกษิตอ้อนวอน อย่านำเขาวิหารโยงการเมือง

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ภาพพจน์ไทยในสายตาชาวชาวโลก" จัดโดยโพสต์ฟอรั่ม
2009 วันนี้ (15 ม.ค.)​ ตอนหนึ่งว่า
การส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลกเปรียบเสมือนอาหารไทย
ถ้าปรุงจากเชฟมือหนึ่งและมีครัวที่สะอาด
อาหารที่ออกไปก็ต้องยอดเยี่ยมแน่นอน โดยเชฟของเมืองไทยขณะนี้ คือ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และมีทีมงานที่ยอดเยี่ยม คือ
คณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องโปร่งใส
ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
กล่าวต่อว่า การเข้ามาอย่างถูกต้องตามกรอบรัฐธรรมนูญ
ถือเป็นจุดขายสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศจะนำไปชี้แจงกับนานาประเทศ
รวมทั้งจะเชิญนายกรัฐมนตรีไปพบปะกับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่ประเทศ
ญี่ปุ่นด้วย
ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ใช้กฎหมายหรือเครือข่ายใดเล่นงานทางการเมืองกับ
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล นอกจากนี้ การออกรายการ
"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ของนายกรัฐมนตรีทุกวันอาทิตย์
เวลา 09.00-10.00 น.นั้น
รัฐบาลจะเปิดโอกาสให้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
มาแก้ต่างหรือเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา ของประเทศด้วย

ผู้สื่อข่าว
ถามถึง กรณีข้อพิพาทประเด็นเขาพระวิหาร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า
ได้โทรศัพท์พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาแล้ว
เรื่องนี้มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่
เมื่อไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือธุรกิจของนักการเมืองเข้ามา
เกี่ยวข้อง ก็ไม่ควรนำมาเป็นประเด็น การเมือง
รัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการไปตามเทคนิคหรือตามกรอบ
ต่าง ๆ

นานาชาติประนามมาร์ค ตระบัดสัตย์จับคนท่องอินเตอร์เน็ต "สุวิชา"ผวาหนักถูกขู่แรง

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย
16 มกราคม 2552



องค์กร สื่อไร้พรมแดน ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนนานาชาติประนามมาร์คตระบัดสัตย์ รับปากดิบดีกับเอ็นจีโอที่เข้าพบว่าจะส่งเสริมเสรีภาพในการสื่อสารกับสื่อ และประชาชน พอข้ามวันสั่งจับนักเล่นอินเตอร์เน็ต"สุวิชา ท่าค้อ" เรียกร้องให้แสดงความจริงใจด้วยการปล่อยตัวให้ไวที่สุด ส่วนกลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทยเข้าสืบสวนกรณีนี้แล้ว เผยผู้ต้องหาถูกขู่ให้หวาดผวาอย่างหนัก เจ้าหน้าที่กดดันข่มขู่จะนำตัวไปพบผู้ทรงอิทธิพลในประเทศ รมต.ยุติธรรมสวมบทเกสตาโปอยากให้จัดการเงียบๆ อายข่าวจะแพร่ไปยังต่างประเทศ


กลุ่ม เสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย (FACT)ซึ่งเป็นเครือข่ายของผู้ไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารโดยรัฐ และเป็นองค์กรสมาชิกในการรณรงค์เพื่ออินเทอร์เน็ตเสรีของโลก (GILC) และมีองค์กรพันธมิตรมากกว่า 50 องค์กรทั่วโลก ได้เข้ามาสอบสวนกรณีนายสุวิชา ท่าค้อ หรือนุ้ยนครพนม ถูกทางการไทยจับกุมตัว โดยกล่าวหาว่าเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงในอินเตอร์เน็ตแล้ว ขณะที่รัฐมนตรียุติธรรมของไทยแสดงความโกรธเคืองตำรวจที่เผยแพร่ข่าวดังกล่าว โดยรัฐมนตรียุติธรรมต้องการทำให้เรื่องเงียบที่สุด

ขณะเดียวกัน องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้ออกแถลงฉบับหนึ่งกล่าวตำหนินายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า เหมือนกับตระบัดสัตย์ที่รับปากกับเครือข่ายพลเมืองไทยว่าจะให้เสรีภาพแก่ สื่อและประช
าชน พอข้ามวันก็เกิดการจับกุมนายสุวิชา และเรียกร้องให้ปล่อยตัวโดยไวที่สุด

แหล่ง ข่าวใดล้ชิดของนายสุวิชาเปิดเผยว่า ผู้ต้องหาตกอยู่ในอาการหวาดกลัวมากในการถูกดำเนินคดีดังกล่าว เพราะถูกเจ้าหน้าที่พูดเป็นทำนองว่าอาจนำตัวเขาไปยังสถานที่บางแห่ง ไปพบบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในประเทศบางคน

"สุวิชาเป็นเพียงนักกีฬาร่วม บิน เขาเล่นกีฬาร่มบิน(พารามอเตอร์)จนมีชื่อเสียงด้านนี้ นิสัยโดยส่วนตัว เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบด้วยซ้ำ
เขาไม่เคยเป็นโจร ห้าร้อย โหดเ*****้ยม แค่โดนจับ คนในครอบครัวก็เสียขวัญกันไปหมดแล้ว"แหล่งข่าวกล่าว และว่าตำรวจได้อนุญาตให้เข้าเยี่ยมผู้ต้องหาได้ในวันนี้ หลังจากเขาถูกจับกุมตัวเข้ากรุงเทพฯเมื่อค่ำวันก่อน

FACTระบุว่าสุ วิชาเป็นผู้ต้องหารายที่สามต่อจากนักเล่นอินเตอร์เน็ตที่ใช้นามแฝงว่า"พระยา พิชัย"และ"ท่อนจัน"ที่โดนจับกุมตัวดำเนินคดีฐานความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และมีพฤติการณ์ทำนองเดียวกันคือเมื่อเข้าจับกุมตัวแล้วเจ้าหน้าที่พยายามปิด เงียบไม่
ให้เป็นข่าว โดยกรณีของสุวิชาถูกดำเนินคดีจากการแกะรอยIPที่เขาไปเขียนตามเวบบอร์ ดสาธารณะ ซึ่งFACTจะติดตามกรณีของสุวิชาต่อไป รวมทั้งสืบสวนว่าเขาเขียนอะไรลงไปในเวบบอร์ด จนนำไปสู่การถูกจับกุมดำเนินคดี และจะนำเสนอเรื่องนี้ในเวบไซต์ของFACT

ขณะเดียวกันกลุ่มนักข่าวไร้พรมแดน ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์เรื่องสื่อในระดับนานาชาติได้ออกมากล่าวตำหนิทางการไทยในกรณีจั
บกุม นายสุวิชาด้วยฐานความผิดหมิ่นสถาบันกษัตรยิ์ทางอินเตอร์เน็ต ทั้งที่กลุ่มเครือข่ายพลเมืองไทยเพิ่งเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย และได้หารือในเรื่องเสรีภาพของสื่อและประชาชนผ่านทางอินเตอร์เน็ต เพื่อหาทางผ่อนเบาการเข้มงวดเสรีภาพในการแสดงความเห็นทางอินเตอรืเน็ต รวมทั้งกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่หลังจากนั้นแค่วันเดียวก็เกิดกรณีนี้ขึ้น

"เราหวังว่ารัฐบาลไทยจะ ปล่อยตัวนายสุวิชาโดยไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากเขาไม่ได้กระทำการรุนแรงใดกว่าบรรทัดฐานของประชาธิปไตย"องค์กรสื่อไร้ พรมแดนกล่าว"นี่เป็นโอกาสที่รัฐบาลไทยจะได้แสดงความจริงใจต่อการหารือกับ องค์กรต่างๆที่ว่าจ
ะส่งเสริมเสรีภาพของประชาชน และสื่อสารมวลชน"

ก่อน หน้านั้นนายพีรพันธุ์ สาลีรัฐภวิภาค ออกมาแสดงความเกรี้ยวกราดใส่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI)ที่ปล่อยให้มีข่าวจับ กุมออกมา โดดยเขาอยากให้เรื่องเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ ทั้งนี้นักสังเกตการณ์ทางการเมืองกล่าวว่า เพราะทางการไทยอ่อนไหวต่อประเด็นที่จะถูกขยายวงไปสู่การรณงค์เรื่องนี้ไปยัง นานาชาติ และนำความเสื่อมเสียมายังสถาบันฯ

http://thaienews.blogspot.com/2009/01/blog-post_2953.html

"เจ๊สด"คอนเฟิร์มบ้านเลขที่111/109ร่วมเปิดตัว"ภูมิใจไทย"ไม่ขัดข้อกฎหมาย

"สดศรี" การันตีสมาชิกบ้านเลขที่ 111/109 ร่วมงานเปิดพรรคภูมิใจไทยไม่ผิดกฎหมาย เหตุร่วมงานในฐานะแขกรับเชิญ แต่ไม่ได้ประกาศตัวเป็นผู้ร่วมจัดตั้ง ระบุ ส.ส.เพื่อไทยย้ายซบภท.ได้หลังยุบสภา ชี้หากไร้ผู้นำฝ่ายค้านหมดสิทธิ์ซักฟอกรัฐบาล

วันนี้ (15 ม.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมาร่วมในงานเปิดตัวพรรคภูมิใจไทย ว่า เท่าที่ทราบ ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไปร่วมงานในฐานะแขกรับเชิญ ไม่ได้ประกาศเป็นผู้ร่วมจัดตั้งหรือเป็นสมาชิกพรรค จึงไม่น่าจะผิดกฎหมาย ท่านน่าจะรู้สิทธิหน้าที่ของท่านดี

เมื่อถามถึงกรณีที่มีข่าว ส.ส.ที่เข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย บางส่วนอาจจะย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ส.ส.ที่ย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทยแล้ว ไม่สามารถที่จะย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยได้ หากจะย้ายก็ต้องมีการยุบสภาเท่านั้น

ส่วนกรณีที่พรรคฝ่ายค้านยังไม่สามารถเลือกผู้นำฝ่ายค้านได้นั้น นางสดศรี กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 110 ระบุ เมื่อ ครม.เข้าบริหารราชการแผ่นดิน จะต้องมีการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้าน แม้จะไม่ได้กำหนดเวลาไว้ ดังนั้น การจะไม่เลือกคงทำไม่ได้ เพราะตำแหน่งดังกล่าวกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ และเป็นตำแหน่งที่ต้องโปรดเกล้าฯ นอกจากนี้ หากไม่มีผู้นำฝ่ายค้าน อาจจะมีปัญหาตามมาสำหรับการทำงานในสภาฯ โดยเฉพาะไม่สามารถที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

ศาลปค.พิพากษายืนคุ้มครอง'ไทยพาณิชย์'ระงับส่งเงิน'โอ๊ค-เอม'คืนสรรพากร

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนคุ้มครองแบงก์ไทยพาณิชย์คดีอายัดทรัพย์'พานทองแท้-พิณทองทา' มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาทต่อ

จากกรณีที่กรมสรรพากรได้มีหนังสือคำสั่งวันที่ 22 สิงหาคม 2551 ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ นำส่งเงินอายัดของ น.ส.พินทองทา และ นายพานทองแท้ฒุลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อการชำระหนี้ภาษีอากรแก่กรมสรรพากร ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่าซ้ำซ้อนกับคำสั่งอายัดของ คตส. เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และมีคำสั่งจากทางการที่มีความขัดแย้งในทางปฏิบัติแก่ธนาคารซึ่งเป็นความผิด มีโทษทางอาญาได้ ดังนั้น ธนาคารไทยพาณิชย์ จึงได้ทำคำร้องไปยังศาลปกครอง ตลอดจนทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ(ป. ป.ช.) และ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอความกระจ่างในแนวทางปฏิบัติ

ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ซึ่ง คตส. มีคำสั่งวันที่11 มิ.ย. 2550 ให้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารที่ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กองทุนเทมาเส็กกับกรมสรรพากร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

วันนี้ (15 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 14.00 น. ศาลปกครองกลาง ได้นัดฟังคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ 1328/2551 ณ ห้องพิจารณาคดี 14 ชั้น 3 ระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (ผู้ฟ้องคดี) กับ กรมสรรพากร (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในคดีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องกรมสรรพากร กรณีมีคำสั่งอายัดทรัพย์ และให้ธนาคารไทยพาณิชย์นำส่งเงินในบัญชีเงินฝากรายการของ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชาย และบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อชำระค่าภาษีอากรที่ค้างชำระ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้เนื่องจากธนาคารไทยพาณิชย์เห็นว่า คำสั่งอายัดทรัพย์ดังกล่าวเป็นการซ้ำซ้อนกับคำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบการ กระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)ที่มีขึ้นก่อนหน้า ซึ่งหากธนาคารไทยพาณิชย์ปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากร อาจจะทำให้เกิดความเสียหาย และมีความผิดตามกฎหมายได้ ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวทำให้เสียหาย เนื่องจากหากปฏิบัติตามคำสั่งของกรมสรรพากร อาจทำให้มีความผิดตามกฎหมาย

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองชั้นต้น ให้คุ้มครองธนาคารไทยพาณิชย์ต่อ กรณีระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก หลายคดี

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองชั้นต้น ให้คุ้มครองธนาคารไทยพาณิชย์ต่อ กรณีระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก หลายคดี