วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ.2552 เวลา 09.00 น. เครือข่ายพลเมืองเน็ต
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ
เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย นำโดยนายกานต์ ยืนยง
นายไกลก้อง ไวทยากร น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นายสุเทพ
วิไลเลิศ นายสุนิตย์ เชรษฐา น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ นายอาทิตย์
สุริยะวงศ์กุล เข้ายื่นหนังสือต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีซึ่งได้มารับหนังสือและเจรจาเป็นเวลา 5
นาทีโดยรับเรื่องและข้อเสนอคัดค้านการจัดตั้งวอร์รูม
หรือการประกาศสงครามกับสื่ออินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชน หลังจากที่ได้เข้าพบ
พบว่ารัฐบาลไม่ได้มีแนวทางการดำเนินการดังกล่าว
ซึ่งอาจจะต้องตั้งคณะทำงานร่วมต่อไป ในหนังสือยื่นต่อนายกฯ
มีรายละเอียดดังนี้
เรียน นายกรัฐมนตรี
สำเนาถึง รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่งคง
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้านสื่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ
คณะอนุกรรมาธิการกำกับติดตามการป้องกันและปราบปรามเว็บไซต์และการกระทำหมิ่น
พระบรมเดชานุภาพ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
เรื่อง ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายการกำกับดูแลสื่ออินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชน
สืบเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่จะให้มีการปิดกั้นปราบปรามสื่ออินเตอร์เน็ต
และวิทยุชุมชน ด้วยข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงของชาติจนมีการแสดงท่าทีที่จะนำ
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
มาใช้ในการควบคุมและปราบปรามวิทยุชุมชนนั้น องค์กรที่มีรายชื่อดังนี้คือ
เครือข่ายพลเมืองเน็ต คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.)
และเครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)
มีความเห็นว่าวิธีการและนโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสิทธิพลเมือง
สิทธิทางการเมือง
ทั้งยังไม่ได้ช่วยรักษาความมั่นคงของชาติและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้
อย่างมีประสิทธิภาพแต่อย่างใด
การกำกับดูแลสื่อใหม่เช่นอินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชนมีความละเอียดอ่อน
ต้องมีมาตรการที่ชัดเจน
สอดคล้องกับความเป็นจริงและสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลโดยแท้จริง
ในขณะที่ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของพลเมือง โดยพลเมือง
และเพื่อพลเมืองเป็นสำคัญ
ซึ่งหลักการสิทธิเสรีภาพเป็นหลักพื้นฐานและมีกติกาอันเป็นที่ยอมรับโดยสากล
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐไทยจักต้องธำรงมาตรฐานอันสอดคล้องกับกติกาสากล
เพื่อธำรงความเป็นประชาธิปไตย และ ความเสมอภาคเท่าเทียมกันในสังคม
องค์กรข้างต้นมีจุดยืนร่วมกันว่า
แนวทางที่รัฐบาลประกาศจะจัดตั้งวอร์รูม (War room)
หรือการประกาศสงครามกับสื่ออินเตอร์เน็ตและวิทยุชุมชนนั้น
จะไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาความมั่นคงของชาติหรือช่วยปกป้องสถาบันพระมหา
กษัตริย์แต่อย่างใด ในทางกลับกันจะยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น
และละเมิดพันธะที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ในนโยบายว่าด้วยสื่อและการรับรู้ข้อมูล
ข่าวสารในข้อ 8 ซึ่งมีหลักการสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้
8.3.1 ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้
และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะจากทางราชการ
และสื่อสาธารณะอื่นได้อย่างกว้างขวาง เป็นธรรม และรวดเร็ว
รวมทั้งให้กลไกภาครัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกมิติตามบทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
8.3.4
จัดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพสื่อเพื่อให้สื่อมีเสรี
ปราศจากการแทรกแซง และมีความรับผิดชอบต่อสังคม
รวมทั้งยกเลิกและปรับปรุงกฎหมายที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
และสื่อมวลชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายพลเมืองเน็ต
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) และ
เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)
จึงขอเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.ขอให้รัฐบาลหยุดการจัดตั้งวอร์รูมดังกล่าว
และเข้าร่วมกับภาคประชาสังคมเพื่อวางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนร่วมกัน
โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงและกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เพื่อสนับสนุนการกำกับดูแลกันเองของทั้งวิทยุชุมชนและกลุ่มประชาชนผู้ใช้
อินเตอร์เน็ต
2.ขอให้รัฐบาลทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวกับ
สื่อ ได้ดำเนินการโดยโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลการดำเนินการ
การใช้งบประมาณต่างๆ
เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูล
การดำเนินการเพื่อปิดกั้นเนื้อหาในเว็บไซต์ต่างๆ
ทั้งที่มีและไม่มีคำสั่งศาล
ให้มีการเปิดเผยข้อมูลรวมทั้งชี้แจงกระบวนการในการดำเนินงานให้ประชาชน
ผู้ให้บริการเว็บไซต์
และผู้ประกอบการอินเตอร์เน็ตได้รับรู้และเข้าใจในหลักปฏิบัติดังกล่าว
เพื่อที่จะปฏิบัติตามโดยมั่นใจว่าจะได้รับความคุ้มครองจากการปฏิบัติงานตาม
กระบวนการยุติธรรมโดยเคร่งครัด
3.การปรับแก้กฎหมายที่กระทบกับสื่อ
ต้องเปิดให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
เป็นระยะเวลาที่เพียงพอ ทั้งการแก้ไข
พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2543
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
และกฎหรือระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
กฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและการหมิ่นพระบรมเดชานุ
ภาพ เพื่อให้รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ
4.ขอให้รัฐส่งเสริม ปกป้อง สิทธิพลเมือง ทั้งในและนอกอินเตอร์เน็ต
และ เสรีภาพของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งสื่อออนไลน์และวิทยุชุมชน
อีกทั้งปรับปรุงกติกาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่ง
สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามมาตรา 45, 46, 47
รวมทั้งปฏิญญาสากลระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ
(Universal Declaration of Human Rights) และ
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International
Covenant on Civil and Political Rights) ในมาตรา 19 (Article 19)
ที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีโดยการภาคยานุวัตติ (Accession)
ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ
เครือข่ายพลเมืองเน็ต
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.)
เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)