CBOX เสรีชน

26 มกราคม, 2552

ขอบเขตของจักรวาล

คุยกับชัยคุปต์

โดย ชัยคุปต์
จาก อัพเดท
คำถามจากคุณมิตตา

จักรวาลมีขอบเขตหรือไม่

ขึ้นอยู่กับความหมายของคำว่า ขอบเขต ครับ


ถ้าคุณมิตตาหมายถึง “ขอบเขต” จากคำว่า BOUNDARY โดยทั่วๆ ไป ตามแบบจำลองของจักรวาลที่ใช้กันมา จักรวาลก็ไม่มีขอบเขต เพราะแบบจำลองจักรวาลที่มักใช้กล่าวถึงกัน อาจเปรียบเป็นเสมือนกับผิวของลูกโป่ง ที่พองตัวขึ้นเรื่อยๆ จากการก่อกำเนิดแบบบิ๊กแบง (Big Bang) เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีมาแล้ว

ตามแบบจำลองของจักรวาลนี้ มนุษย์หรือโลก ก็มักจะถูกเปรียบเป็นเหมือนกับมดที่เดินอยู่บนเปลือกของผลส้ม ซึ่งมดก็จะสามารถเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่พบกับ “ขอบเขต” ใดๆ จักรวาลก็เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม จากแบบจำลองของจักรวาลที่เป็นเหมือนลูกโป่งพองตัว ถ้าถือว่าขอบเขตของจักรวาลหมายถึงผิวของจักรวาลที่กำลังขยายตัวจากจุดศูนย์ กลางร่วมกันของสรรพสิ่งที่ประกอบเป็นจักรวาล ซึ่งถูกเปรียบเป็นผิวของลูกโป่งกำลังพองตัว ก็อาจถือว่าจักรวาลมี “ขอบเขต” ก็ได้ โดยอาจนึกภาพแบบจำลองง่ายๆ ของจักรวาลที่ “ขอบนอกสุด” ของจักรวาล คือตำแหน่งที่องค์ประกอบของสสารส่วนนอกสุด กำลังเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ตามสภาพการขยายตัวของลูกโป่งหรือจักรวาล

ที่กล่าวไปแล้ว เป็นเพียงคำตอบอย่างคร่าวๆ ที่สุดของจักรวาล เฉพาะส่วนที่มีโลกอยู่ในจักรวาลด้วย คือหมายถึง จักรวาลของเราเท่านั้น เพราะตามแนวคิดเกี่ยวกับจักรวาลถึงปัจจุบัน เป็นไปได้ว่า จักรวาลของเรา เป็นเพียงหนึ่งในจำนวนจักรวาลอีกมากมาย ซึ่งอาจจะอยู่ห่างไกลกันมาก เป็นระบบจักรวาลที่อาจไม่มีสิ้นสุด คือไม่มีจำนวนแน่นอน อีกทั้งก็มีแนวความคิดจากเชิงควอนตัมว่า จักรวาลของเราเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วน ที่ดำรงอยู่แบบขนานกันไป (เรียกเป็น Parrel Universe หรือจักรวาลขนาน) หรืออาจอยู่แบบซ้อน กันอยู่ ระหว่างส่วนของ spacetime เชิงควอนตัม ที่จะเป็นแบบไม่ต่อเนื่อง คือมีช่องว่างเป็นช่วงๆ กันไป

สำหรับแนวคิดจักรวาลเป็นภาพใหญ่ โดยมีจักรวาลของเราเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนมากมายมหาศาล ทั้งที่อยู่ห่างกันจริงๆ มากมาย และที่อยู่แบบขนานกันไป จักรวาลก็จะเป็นแบบไม่มีขอบเขต และก็เป็นแบบไม่ finite คือไม่มีขอบแน่ชัดด้วยครับ

การขยายตัวของจักรวาลหลังเกิดบิ๊กแบงด้วยอัตราเร็วมากกว่าแรง ขัดกับทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์หรือไม่? หรือเป็นเรื่องของอนุภาคที่สามารถเดินทางด้วยความเร็วมากกว่าแสงเสมอ คือเตคีออน ถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่าจักรวาลเริ่มต้นชีวิตคือ หลังการเกิดบิ๊กแบงทันที (ที่เกิดการขยายตัวด้วยอัตราเร็วมากกว่าแสง) ประกอบด้วยสสารหรืออนุภาคที่เป็นเตคีออน ล้วนๆ แล้วต่อมา จึงเคลื่อนที่ช้าลง (ช้ากว่าแสง) เป็นอนุภาคปกติธรรมดาดังเป็นอยู่ในปัจจุบัน?

ความคิดของคุณมิตตาเกี่ยวกับจักรวาลที่ประกอบด้วยอนุภาคจำพวกเตคีออน (tachyon) ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าแสงเสมอ ในระยะแรกเริ่มชีวิตของจักรวาลหลังการเกิดบิกแบงใหม่ๆ แล้วจักรวาลก็ขยายตัวด้วยอัตราเร็วมากกว่าแสง ทว่าต่อมา ส่วนประกอบของจักรวาลก็เปลี่ยนจากอนุภาคจำพวกเตคีออน มาเป็นอนุภาคปกติธรรมดาที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งเคลื่อนที่ช้ากว่าแสงเสมอ น่าสนใจ เพราะจะอธิบายเรื่องอัตราการขยายตัวของจักรวาลได้ง่ายๆ ตรงๆ

แต่คงเป็นไปได้ยากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อนุภาคทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ของจักรวาล จะเปลี่ยนจากเตคีออนมาเป็นอนุภาคธรรมดา ดังเช่นอิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน ธาตุปกติธรรมดาที่เราคุ้นเคยกัน เนื่องจากดูจะไม่มีกลไกหรือกระบวนการหรือทฤษฎีใดๆ จะ ทำให้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นได้

สำหรับคำตอบต่อความเคลื่อนไหวของจักรวาลใน ระหว่างการเกิด inflation หรือการพองตัวนั้น โดยทั่วไปในปัจจุบัน วงการดาราศาสตร์โลกดูจะมีแนวคำตอบใหญ่ๆ อยู่สองแนวทาง คือ

หนึ่ง : อนุภาคองค์ประกอบของจักรวาลขณะเกิดการพองตัว สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าแสงจริงและก็ไม่เป็นการขัดต่อกฎ ธรรมชาติ ดังที่เป็นกฎเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของอนุภาคทั่วไปที่ต้องเคลื่อนที่ช้า กว่าแสงเสมอ ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ในปัจจุบันกล่าวคือ กฎกติกาของธรรมชาติในต่างมิติเวลา อาจจะไม่เหมือนกันได้หรือแตกต่างกันได้ กล่าวง่ายๆ ก็คือกฎต่างๆ ทางฟิสิกส์เกี่ยวกับสรรพสิ่งในจักรวาล อาจแตกต่างกันในมิติเวลาที่แตกต่างกันของจักรวาล

สอง : การขยายตัวของจักรวาลเร็วกว่าแสงในช่วงการพองตัว สิ่งที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากว่าแสงจริงๆ มิใช่องค์ประกอบจำพวกอนุภาคของสสาร หากเป็น space หรือ spacetime หรือตัวเนื้อของจักรวาล (ซึ่งโดยทั่วๆ ไป เป็นความว่างเปล่าหรือสุญญากาศหรืออวกาศระหว่างอนุภาคต่างๆ) ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในอัตราเร็วกว่าแสง ทั้งๆ ที่โดยความจริงแล้ว เป็นเนื้อ ที่ของอวกาศระหว่างอนุภาคต่างหาก ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ลักษณะการอธิบายตามแนวคำตอบที่สองนี้ อาจอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม โดยเปรียบอนุภาคองค์ประกอบของจักรวาล เป็นก้อนวัตถุที่ลอยอยู่ในน้ำ หรือผลไม้ ชนิดลอยอยู่ในน้ำได้ และเปรียบอวกาศของจักรวาลเป็นกระแสน้ำ ตามแนวคำตอบที่สองนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าแสงคือกระแสน้ำ ส่วนก้อนวัตถุหรือผลไม้ลอยอยู่ในน้ำ โดยตัวของมันเอง มิได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าแสง แต่ก็จะปรากฏเป็นเสมือนกับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าแสง ทั้งๆ ที่เป็นกระแสน้ำต่างหากที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าแสง แล้วนำวัตถุที่อยู่ในน้ำเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงไปด้วย

เมื่อเปรียบเทียบแนวคำตอบทั้งสองสำหรับวงการดาราศาสตร์โลกในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าแนวคำตอบที่สองมีความเป็นไปได้มากกว่าครับ

เคยฟัง (และอ่าน) ความคิดความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าของอาจารย์ว่า เหมือนกับของไอน์สไตน์คือไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าเป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจพิเศษ สร้างโลกสร้างจักรวาลได้ แต่เชื่อว่าพระเจ้าหรือสิ่งที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าคือกฎของธรรมชาติ ถูกต้องหรือไม่ และถ้าเกิดวันหนึ่ง มีหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพระเจ้าในรูปลักษณ์ของผู้มีอำนาจพิเศษ ดังเช่น เทพซูส หรือ พระศิวะมีจริง อาจารย์จะทำอย่างไร?

ขั้นต้น ตามที่คุณมิตตาสรุปเรื่องความคิดความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าของผมว่าเหมือน ของไอน์สไตน์นั้น ถูกต้องครับ แล้ววันหนึ่ง ถ้ามีหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ (ตามหลักและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์)ว่า พระเจ้าในรูปลักษณ์เป็นผู้มีอำนาจพิเศษ ดังเช่น เทพซูสในเทพ นิยายกรีกโบราณ หรือพระศิวะตามวัฒนธรรมความเชื่อโบราณของอินเดีย ตัวผมจะทำอย่างไร?

คำตอบของผมคือ ผมก็จะไม่ปฏิเสธและเปิดใจรับอย่างดียิ่ง เพราะวิถีแห่งวิทยาศาสตร์เป็นเช่นนั้น คือความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ต่อสรรพสิ่งในธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นมาได้ จะไม่คงที่ กล่าวคือ จะเปลี่ยนได้เสมอ ถ้ามีข้อมูลหลักฐานใหม่ที่ถูกต้องหรือที่เป็นจริง ที่ปฏิเสธไม่ได้ เกิดขึ้นมาใหม่ด้วย


เครดิท Mythland

20เรื่องวิทยาศาสตร์น่ารู้

From Sanook.com

1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซื่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทั่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่

ครบ 2 ปีแรงงานชั่วคราวเสียชีวิต ‘กปก.’ นัดรวมตัว ‘ทีวีไทย’ ขอใช้ พท.สื่อสารกับสาธารณ

ประชาไท

นายฉัตรชัย ไพยเสน ผู้ประสานงาน “กลุ่มประสานงานกรรมกร” (กปก.) ออกจดหมายเชิญชวนผู้ใช้แรงงานและประชาชนเข้าร่วมการเคลื่อนไหวครั้งแรกของกลุ่ม ซึ่งจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 27 มกราคม 2552 ซึ่งเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของนายคณาพันธุ์ ปานตระกูล ลูกจ้างชั่วคราวที่ทำงานชั่วคราวมากว่า 17 ปี ซึ่งได้สละชีพเพื่อให้สังคมตระหนักถึงปัญหาการจ้างงานชั่วคราวที่ไม่ต่างจากสัญญาทาส

โดยนัดรวมตัวในเวลา 11.00 น. บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้าก่อนถึงอาคารชินวัตรทาวเวอร์ เพื่อเดินทางไปยังสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ TPBS (อาคาร ชินวัตรทาวเวอร์) ถนนวิภาวดีรังสิต ขอใช้พื้นที่ของทีวีสาธารณะในการสื่อถึงสังคมว่าปัญหาของผู้ใช้แรงงานคือ ปัญหาสังคม อันได้แก่ ปัญหาการเลิกจ้างและความอยุติธรรมของการเลิกจ้าง ปัญหาความไม่เป็นธรรมของกฎหมายแรงงานและการเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน ปัญหาการจ้างงานชั่วคราว เหมาช่วง-เหมาค่าแรงและการนำไปสู่การใช้แรงงานทาส ปัญหา ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและการดำรงชีพของกรรมกร และเพื่อเผยแพร่และนำเสนอข้อเท็จจริงของปัญหาการจ้างงานและปัญหาของผู้ใช้ แรงงานต่อสังคม รวมถึงเพื่อเป็นช่องทางนำไปสู่การยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลผ่านสื่อมวลชน

นอกจากนี้ “กลุ่มประสานงานกรรมกร” ยังออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ส่งถึงผู้ใช้แรงงาน สื่อ มวลชน และประชาชน โดยระบุว่า ปัญหาแรงงานว่าเป็นปัญหาของสังคมที่ทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแก้ไข เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มคนกลุ่มใด

อนึ่ง “กลุ่มประสานงานกรรมกร” ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสหภาพแรงงาน 16 แห่งและกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ 4 กลุ่ม โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของผู้ใช้แรงงาน โดยระบุว่าจะมีแนวทางการทำงานด้วยความโปร่งใส ไม่มีเงื่อนงำแอบแฝง ไม่มีการเมืองหนุนหลัง ไม่แบ่งแยกเพศ อายุ ชนชั้น และต้นสังกัด และพร้อมจะสลายการรวมกลุ่มทันทีที่บรรลุหรือเป็นที่พอใจในการแก้ปัญหาข้างต้น

แถลงการณ์ ฉบับที่ 1

เรียน ผองเพื่อน พี่น้อง ผู้ใช้แรงงาน, สื่อมวลชน และประชาชนที่เคารพทุกท่าน


ผู้ ใช้แรงงานคือกลุ่มคนที่เสียภาษีให้กับรัฐมากที่สุด แต่กลับกลายเป็นกลุ่มคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมากที่สุดและได้รับการดูแล เอาใจใส่จากภาครัฐน้อยที่สุด ที่สำคัญคือยังถูกซ้ำเติมด้วยการออกกฎหมายที่เข้าข้างนายทุน ส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานกลายเป็นทาสของนายทุน!!!

27 มกราคม 2550 ลูกจ้างชั่วคราวของภาครัฐนามคณาพันธ์ ปานตระกูล ที่ทำงาน ณ โรงพยาบาลโพธาราม ราชบุรี เป็นลูกจ้างชั่วคราวมากว่า 17 ปี ตัดสิน ใจสละชีพของตนเองเพราะมิอาจจะทนทุกข์กับการมีชีวิตเยี่ยงทาสที่ไร้ศักดิ์ศรี อีกต่อไปได้เพียงเพื่อต้องการให้สังคมได้เห็นว่าสัญญาจ้างงานทาสมันมีอยู่ จริง นั่นคือชีวิตลูกจ้างชั่วคราวของภาครัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ลูกจ้างของภาครัฐเองยังขาดการดูแลเอาใจใส่ ประสาอะไรกับลูกจ้างชั่วคราว-เหมาช่วง-เหมาค่าแรงในภาคเอกชน...จะถูกเอารัดเอาเปรียบมากมายขนาดไหน???..แล้วจะหันหน้าไปพึ่งใคร?

นับ ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ปัญหาการเลิกจ้าง ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบในการจ้างงาน ปัญหาการไม่ยอมรับสิทธิของคนงาน ปัญหารายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ต่างรุมเร้าสู่ผู้ใช้แรงงานไปทุกหย่อมหญ้า นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ชัดว่า ชีวิตของผู้ใช้แรงงานกำลังจะกลายเป็นทาสของนายทุนอย่างสมบูรณ์แบบในเวลาอัน ใกล้นี้……

ทุกท่านต่างก็มีญาติพี่น้อง มีเพื่อนที่เป็นผู้ใช้แรงงาน, หลายท่านต่างมีบุตร-หลาน ที่ในอนาคตจะต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน, นัก เรียน-นักศึกษา เมื่อเรียนจบแล้วส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน ดังนั้นปัญหาด้านแรงงานจึงไม่ใช่เฉพาะปัญหาของผู้ใช้แรงงาน แต่มันคือปัญหาของสังคม มันคือปัญหาของทุกคน มันคือปัญหาระดับชาติ ที่ประชาชนทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันมิให้บุตรหลานในอนาคตต้องกลาย เป็นทาสที่มิอาจลืมตาอ้าปากได้!!!!

เรา อดทนอดกลั้นและขมขื่นกันมานานแล้ว วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะต้องร่วมมือกันเพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาของผู้ ใช้แรงงานอย่างจริงจัง มันมิใช่เป็นการทำเพื่อคนใดคนหนึ่งหรือเป็นปัญหาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มันคือปัญหาของสังคมที่ทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแก้ไข เป็นทำเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นการทำเพื่อตัวท่านและญาติพี่น้องของท่าน หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นการทำเพื่ออนาคตของบุตร-หลานของตัวท่านเอง

“ยุติสัญญาทาส เพื่อชาติและอนาคตลูกหลานเรา”

ศาลยกคำร้องขอประกันตัว ‘สุวิชา ท่าค้อ’ ทนายเตรียมอุทธรณ์ต่อสัปดาห์นี้

ประชาไท
26 ม.ค.52

รายงานข่าวแจ้งว่า ทนายความของนายสุวิชา ท่าค้อ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวต่อศาลชั้นต้นเป็นครั้งที่ 2 และศาลมีคำสั่งยกคำร้อง โดยระบุว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ม. ค.ที่ผ่านมาศาลได้ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวครั้งแรก เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าสถาบันกษัตริย์เป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชน ทั้งประเทศ ใครจะละเมิดมิได้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ทั้งพฤติการณ์ก็เป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรง อัตราโทษสูง จึงเห็นควรไม่ให้ประกันตัว

อย่างไรก็ตาม ทนายความแจ้งว่าจะยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์เพื่อขอปล่อยชั่วคราวอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้

“จตุพร” จวกรัฐบาล คนดีมีเป็นร้อยเลือกพธม.รมว.ต่างประเทศ

ประชาทรรศน์
26 ม.ค. 2009

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) ลุกขึ้นอภิปรายในการประชุมร่วมรัฐสภาครั้งที่ 1 สมัยสามัญทั่วไป เพื่อให้ความเห็นชอบเอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับความร่วมมือในกรอบอาเซียนและกา รวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ที่มีนายชัย ชิดชอบ เป็นประธานว่า ขณะนี้มีร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชการอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเสนอ มาแต่กลับไม่มีการหยิบยกพิจารณา ซึ่งการหยิบร่างขึ้นนี้ขึ้นมาถือว่าเป็นกำลังใจกับประชาชน ความรู้สึกอันนี้อยากให้รัฐสภาคำนึ่งถึง จึงอยากให้ประธานรัฐสภาหยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาก่อน เพราะกรอบความร่วมมืออาเซียนนั้น มีเอกสารจำนวนมากที่ต้องกลับไปอ่านไปพิจารณา ดังนั้น เราอย่าพึ่งสู่รู้ หรืออวดอ้างว่ารู้ แต่ต้องยอมรับความเป็นจริง จึงขอเสนอให้นำเรื่องที่ประชาชนเสนอขึ้นมาพิจารณาก่อนดีกว่า เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาจ่อแล้ว ต้องรักษาสัจจะกับประชาชน

นอกจากนี้นายจตุพร ยังได้อภิปรายถึงความไม่สง่างามในการเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศของนายกษิต ภิรมย์ และตั้งคำถามต่อนายกฯว่า เหตุใดจึงได้ให้นายกษิต ขึ้นมาเป็นรมว.ต่างประเทศ ทั้งที่คนเก่งในพรรคประชาธิปัตย์มีมากมาย นอกจากนี้ยังมองว่าความไว้เนื้อเชื่อใจต่ออารยประเทศเป็นสิ่งสำคัญ หากรมว.ไทยมีอคติที่ไม่ดีต่อประเทศกัมพูชา แล้วการประชุมอาเซียนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร คนทั้งโลกเห็นการกระทำของนายกษิตทีปิดสนามบิน ทำให้การท่องเที่ยวพัง ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาต่อการประชุมผู้นำอาเซียน

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เหมือนติดกระดุมผิดเม็ด ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกฯก็ต้องมีปัญหา เพราะประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวที่ลงนามในสัญญาต่างๆ ไม่ได้ เนื่องจากมีเพียงกรอบการเจรจาเท่านั้น ซึ่งไม่มีสิทธิ์เซ็นสัญญา เพราะจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง ทันที

นายกฯหนุนกทม.ฟ้องเลิกสัญญาจัดซื้อรถดับเพลิงฉาว!

ประชาทรรศน์
26 ม.ค. 2009

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 ม.ค.) นายสุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังการหารือกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ทาง กทม.กำลังหารือกับทางสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.) เพื่อจะฟ้องร้องยกเลิกสัญญาการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.มูลค่า 6.7 พันล้านบาท จากบริษัท สไตเออร์ฯ ประเทศออสเตรีย ซึ่งเรื่องนี้ นายกฯ ก็เห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าว

นายสุขุมพันธุ์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของ กทม.เพียงฝ่ายเดียว แต่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งทาง นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ก็เห็นด้วย ที่จะให้ กทม.ฟ้องยกเลิกสัญญา ดังนั้น หากทางอัยการสูงสุด ส่งความเห็นกลับมา จะมีการนัดเรียกประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทันที

'ยอมรับว่า เห็นรถดับเพลิงจอดอยู่ไม่ได้ใช้งานมันขัดกับความรู้สึก เพราะตัวเองเป็นคน กทม. แต่ก็เข้าใจ ถ้านำรถมาใช้จะทำให้การฟ้องร้องคดีไม่มีน้ำหนัก' ผู้ว่าฯกทม.กล่าว

ศาลเลื่อนเปิดคดี'ดา ตอร์ปิโด'หมิ่นคมช. 16 มี.ค.นี้

ประชาทรรศน์
26 ม.ค. 2009

จากกรณีที่ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) กล่าวปราศรัยโจมตีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) บนเวทีหน้ากระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 31 พ.ค.50 ที่ผ่านมา

วันนี้ (26 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 712 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในคดีหมายเลขดำที่ อ.4767/2551 ที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ฟ้อง น.ส.ดารณี ชเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณากระจายเสียง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตร 326 , 328 กรณีปราศรัยโจมตีคมช. โดยศาลได้อ่านอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วสอบคำให้การ จำเลยยืนยันปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขณะที่ทนายจำเลยแถลงว่า พึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายความในคดีนี้ ประกอบกับจำเลยทำสำเนาคำฟ้องหาย จึงขอโอกาสจากศาลศึกษาสำนวนคดีโดยขอเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานออกไปก่อน ศาลสอบถามอัยการโจทก์แล้วไม่คัดค้าน จึงมีคำสั่งเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานออกไป เป็นวันที่ 16 มี.ค. 52 เวลา 13.30

'เพื่อไทย'เดินหน้าจี้ตำรวจเอาผิดพธม.ปิดสนามบิน

ประชาทรรศน์

นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และนายสุรชัย เบ้าจรรยา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยทีมทนายความ ร่วมแถลงข่าวว่า ได้เตรียมเดินทางไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงาน ที่สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง และสถานีตำรวจนครบาลราชาเทวะ ในวันนี้ เพื่อให้เอาผิดกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง ซึ่งถือว่าเข้าข่ายความผิดฐานกบฏ อั้งยี่ และก่อการร้าย เป็นความผิดในคดีอาญา และตาม พ.ร.บ.ความผิดทางเดินอากาศ ปี 2521 แก้ไขปี 2538 การกระทำดังกล่าวถือว่ารุนแรงกว่าการก่อการร้ายสากล มีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี เข้ามาดูแลในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามกระบวนการด้วย ไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบเหมือนคดีที่มีการร้องทุกข์ก่อนหน้านี้

ด้านนายสุรชัยได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาปลดนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง และสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสม มาทำหน้าที่ตัวแทนประเทศในการร่วมลงนามกรอบข้อตกลงอาเซี่ยน เนื่องจากนายกษิตได้ร่วมในการปิดสนามบินกับกลุ่มพันธมิตรฯ จึงถือว่าไม่มีความสง่างามในการทำหน้าที่ตัวแทนประเทศ และหากเกิดความเสียหายในอนาคต รัฐบาลต้องรับผิดชอบ

สุริยะคราสเห็นเด่นชัดในกทม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชมภาพปรากฎการณ์สุริยุปราคา เหนือท้องฟ้ากรุงเทพฯ ที่จะเห็นแค่เพียงบางส่วน ได้ตั้งแต่เวลา 15.53 โดยช่วงที่กินลึกที่สุดที่บ้านเราจะมองเห็นได้คือเวลา 16.52 น. และจะค่อยๆ เคลื่อนออก ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จนถึง 18.00 น. โดยประมาณ สุริยุปราคาแบบวงแหวน (Annular Solar Ecplise) ที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 ม.ค.52 นี้ โดย ในส่วนของประเทศไทย จะได้เห็นแค่เพียงบางส่วนของปรากฎการณ์ แต่การได้สังเกตปรากฎการณ์ที่ผิดแปลกไปจากทุกวัน ก็ยังสร้างความตื่นเต้นให้ไม่น้อยอยู่เนืองๆ

พท.ขู่ยื่นศาลรธน.หากรบ.ปัดตั้งกมธ.ศึกษากรอบอาเซียนจี้"กษิต"แจงตั้งลูกเขย"ปีศาจคาบไปป์"เจรจาเขมร

ประชาทรรศน์
26 ม.ค. 2009

ฝ่ายค้านเตะถ่วงกรอบความร่วมมืออาเซียน หลังรัฐบาลชงเป็นวาระเร่งด่วนรับลูกประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ชักแม่น้ำทั้ง 5 อ้างเอกสารกองโตหวั่นส.ส.ดูไม่ละเอียด ทุบโต๊ะขู่ยื่นศาลรธน.หากรบ.ไม่ตั้งกมธ.ศึกษากรอบอาเซียน "อภิสิทธิ์"ย้อนเกล้ด ระบุเป็นพิมพ์เขียวเดิมสมัย"รัฐบาลสมชาย" ที่เคยส่งให้ ส.ส.ดูตั้งแต่ปีที่แล้ว "เด็กเพื่อไทย"ทิ้งบอมบ์"กษิต" จี้เคลียร์ตั้งลูกเขย"ประสงค์" นั่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ

วันนี้ (26 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า มีการประชุมร่วม 2 สภาเพื่อพิจารณากรอบความร่วมมืออาเซียน ที่รัฐบาลจะนำไปลงนามในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 27 ก.พ.-1 มี.ค.นี้ ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่ระเบียบวาระรับรองรายงานการประชุม ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แสดงความไม่พอใจกับทึกรายงานการประชุม เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ที่รัฐบาลแถลงนโยบาย และระบุว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทยขาดประชุม โดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะวันดังกล่าวมีการย้ายสถานที่ประชุมไปกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเลื่อนวาระถกรัฐธรรมนูญฉบับเสื้อแดงหลังโต้ เถียงเรื่องดังกล่าว ที่ประชุมยังมีการโต้เถียงเรื่องวาระการประชุม เนื่องจากตามวาระต้องมีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร. ของนายแพทย์เหวง โตจิราการ เป็นวาระแรก ก่อนที่จะมีการพิจารณาเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับอาเซียนจำนวน 20 เรื่อง ที่ประชุมจึงมีมติให้เลื่อนกรอบความร่วมมืออาเซียนขึ้นมาพิจารณาก่อน ขณะที่ฝ่ายค้าน เห็นว่าการบรรจุวาระเรื่องเกี่ยวกับอาเซียน ที่มีเนื้อหาจำนวนมาก สมาชิกควรมีเวลาพิจารณาเพื่อให้เกิดความรอบคอบ แต่สมาชิกพึ่งได้รับเอกสารเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

โดย ร.ท.เชาวริน ลุกขึ้นอภิปรายว่า รัฐบาลรวบรัดที่จะพิจารณากรอบความร่วมมืออาเซียนมากเกินไป ซึ่งมีรายละเอียดมากทั้งที่สมาชิกพึ่งได้รับเอกสารเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดังนั้น จึงเห็นว่ารัฐบาลควรจะเลื่อนการพิจารณากรอบความร่วมมืออาเซียนออกไปเพื่อให้ สมาชิกมีเวลาพิจารณา หรือตั้งการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณา เพื่อให้เกิดความรอบคอบ

พท.เตะถ่วงถกกรอบอาเซียนอ้างเอกสารกองโต

ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชศรีมา พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายติงว่าไม่เห็นด้วยที่จะมีการให้ความเห็นชอบเอกสารสำคัญที่เกี่ยว กับความร่วมมือในกรอบอาเซียนทีเดียว 23 ฉบับ ควรพิจารณาเป็นรายฉบับไป เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งรัฐสภาไม่ใช่สภาตรายาง ที่จะให้พิจารณารวบไปเลย และไม่ทราบว่าคณะรัฐมนตรีได้เคยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอะไร หรือไม่

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ขณะนี้มีร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชการอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเสนอ มาแต่กลับไม่มีการหยิบยกพิจารณา ซึ่งการหยิบร่างขึ้นนี้ขึ้นมาถือว่าเป็นกำลังใจกับประชาชน ความรู้สึกอันนี้อยากให้รัฐสภาคำนึ่งถึง จึงอยากให้ประธานรัฐสภาหยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาก่อน เพราะกรอบความร่วมมืออาเซียนนั้น มีเอกสารจำนวนมากที่ต้องกลับไปอ่านไปพิจารณา ดังนั้นเราอย่าเพิ่งสู่รู้ หรืออวดอ้างว่ารู้แต่ต้อง

"มาร์ค"ย้อนเกล็ดชี้เอกสารเดียวกันกับรบ.สมชาย

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงความสำคัญของการพิจารณาให้ความเห็นชอบกรอบข้อตกลงอาเซียนว่า หากผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา จะทำให้กระบวนการต่างๆ ในกรอบอาเซียนเดินหน้าต่อไปได้ ภายใต้การยึดการรวมกลุ่ม โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ส่วนที่สมาชิกท้วงติงว่ามีการแจกเอกสารในระยะเวลาอันสั้นนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า กรอบความร่วมมืออาเซียน เป็นร่างกฎหมายที่มีขึ้นรัฐบาลที่แล้ว และก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายนก็เคยแจกจ่ายให้สมาชิกไปแล้ว เพียงแต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ต้องเสนอเรื่องเข้ามาใหม่ แต่เป็นเอกสารเดิม มีเรื่องใหม่ 3 เรื่อง คือ กรอบความตกลงเขตการค้าเสรี กับ อินเดีย จีน และนิวซีแลนด์ในส่วนการกรอบอาเซียนนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนตั้งแต่เดือน ก.ค. 51เป็นต้นมา ซึ่งเหตุการณ์ในช่วงนี้ถือว่า มีความเป็นพิเศษจากการดำเนินงานของอาเซียนที่มาเกี่ยวข้องกับประเทศไทย 3ประการ คือ 1.กฎบัตรของอาเซียนเปรียบเสมือนธรรมนูญที่วางกฎกติกาเกี่ยวกับการทำงานร่วม กันของประชาคมอาเซียนได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.เป็นต้นมา และจากนี้ไปจะเป็นช่วงที่สมาชิกจะได้เดินหน้าในการนำแผนงาน กฎกติกาต่าง ๆภายในกรอบที่กำหนดไว้ในกฎบัตร มาผลักดันต่อเพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ใน 2558 ต่อไป

ตอกลิ่มรัฐบาลชุดก่อนไฟเขียวแล้ว

ประการที่ 2.ในช่วงพิเศษนี้ประเทศไทยจึงดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนเป็นเวลายาวนานกว่า วาระปกติ เพราะปกติแล้วประเทศอาเซียนจะดำรงตำแหน่ง 1 ปี แต่เฉพาะในวาระของประเทศไทยจะดำรงตำแหน่ง 1 ปีครึ่ง ซึ่งจะถึงในเดือนธ.ค.2552 และ 3.การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนอยู่ในช่วงเดียวกันกับที่นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้หมายถึงความรับผิดชอบที่ประเทศไทยต้องดำเนินการของอา เซียนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินงานในปีนี้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเพื่อนสมาชิกได้สอบถามถึงการตรากฎหมายเพื่อทำความชัดเจนของมาตรา 190 กฎหมายฉบับดังกล่าว รัฐบาลชุดก่อนได้ให้ความเห็นชอบในคณะรัฐมนตรี (ครม.)ไปแล้ว และได้ส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งในการประชุมครม.ที่ผ่านมาหลายครั้ง ตนได้เร่งรัดที่จะให้มีการตรวจสอบพิจารณาในเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จเพื่อส่ง ต่อที่ประชุมสภาโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่จะช่วยให้เป็นบรรทัดฐานของการนำเสนอเรื่องต่อรัฐสภาตาม มาตรา 190 จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นลั่นให้เจ้ากระทรวงแจงกฎหมายทุกฉบับส่วนในเรื่อง ข้อตกลงและการลงนามข้อตกลงต่างๆในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ เราหวังว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะมีการผลักดันในกรอบความร่วมมือของอาเซียน เดินหน้าและสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของทุกคนที่เป็นตัวแทนของประชาชนในการที่ จะนำเอกสารนั้นไปให้ความเห็นชอบต่อการประชุมสุดยอดผู้นำ ซึ่งมีเป้าหมายด้วยว่าการรวมกลุ่มของอาเซียนจะต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

นายกฯ กล่าวต่อว่า การประชุมที่จะมีขึ้นเพื่อรับรองเอกสารเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ จะมีการประชุมที่ลงนามระหว่างผู้นำอาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างที่วัน 27 ก.พ. - 1 มี.ค.นี้ โดยอาจมีข้อตกลงบางฉบับที่ทำกับคู่เจรจาที่จะได้รับการลงนามในช่วงนั้นด้วย แต่เอกสารอีกจำนวนหนึ่งก็จะไปลงนามรับรองกันในช่วงเดือนเม.ย.2552 ซึ่งเอกสารทั้งหมดที่ได้เสนอมานั้นประกอบไปด้วยเอกสารสำคัญ 41 ฉบับ ลงนามโดยผู้นำของอาเซียน 8 ฉบับ ลงนามโดย รมว.ต่างประเทศ 5 ฉบับ และลงนามโดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 28 ฉบับ เอกสารเหล่านี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงต่างประเทศ พาณิชย์ คมนาคม เกษตรและสหกรณ์ สาธารณสุข และกระทรวงพลังงาน ซึ่งตนจะขอให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบในแต่ละเรื่องได้ชี้แจงสาระสำคัญแต่ละ ฉบับให้รัฐสภารับทราบด้วย

เผยส.ส.เคยอ่านเอกสารตั้งแต่ปีก่อนแล้ว

"สิ่งที่สมาชิกมีความกังวลเกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องต่างๆใน วันนี้ อันที่จริงเอกสารทุกฉบับเป็นเอกสารที่รัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้นำเสนอต่อสภา และมีความตั้งใจจะประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 24 พ.ย.2551 ดังนั้น ที่สมาชิกที่บอกว่ามีเอกสารเป็นกอง ส่วนใหญ่ได้ส่งมาแล้วรอบหนึ่งตั้งแต่เดือน พ.ย. ตนจำได้เพราะว่าเป็นผู้นำฝ่ายค้านในขณะนั้นได้มีการปรึกษากับประธานวิป รัฐบาลและประธานสภาทั้งสองคนด้วยว่าจะดำเนินการกันอย่างไร เพื่อที่จะให้การพิจารณาด้วยความเรียบร้อยราบรื่นมากที่สุด และได้ให้โอกาสกับฝ่ายค้านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งขณะนั้น ก็ได้ข้อยุติด้วยดี เพียงแต่ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเกิดขึ้นก็จะจำเป็นที่จะนำเรื่อง เสนอกลับเข้ามาใหม่ แต่เอกสารก็เป็นชุดเดิมทั้งสิ้น ยกเว้น 3 เรื่อง คือ ข้อตกลงเรื่องการค้าเสรีที่อาเซียนจะไปทำกับจีนฉบับ 1 และทำกับอินเดียอีก 1 อีกฉบับหนึ่งและทำกับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ 1 ฉบับ ดังนั้น ตนเชื่อว่าสมาชิกส่วนใหญ่มีเอกสารทั้งหมดตั้งแต่เดือนพ.ย.แล้ว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ข้อตกลงในลักษณะนี้เป็นข้อตกลงของหลายประเทศในลักษณะพหุภาคี ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศสมาชิกอื่นได้ให้ความเห็นชอบพร้อมที่จะลงนามอยู่แล้ว เหลือเพียงประเทศไทยเท่านั้น ฉะนั้นการนำเสนอของรัฐบาลในวันนี้ก็เพื่อที่จะยืนยันในความพร้อมของประเทศ ไทยในการที่จะเป็นเจ้าภาพ และร่วมลงนามในข้อตกลงสำคัญๆเหล่านี้ หากบรรลุผลสำเร็จก็จะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และจะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายเรื่อง เช่น พลังงาน อาหาร ความร่วมมือจากภัยพิบัติ การป้องกันผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ทั่วโลกประสบอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ยังมีหนังสือสัญญา 2 ฉบับ คือ กรณีร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่าว่าด้วยความร่วมมือ ต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก และร่างบันทึกความเข้าใจกระทรวงแรงงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และกระทรวงแรงงงานแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปเกาหลี ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจในกรอบทวีภาคี แต่เป็นสัญญาที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน

ยาหอม"กษิต"อยู่เบื้องหลังดันถกอาเซียน

สำหรับกรณีรมว.ต่างประเทศนั้นเดิมรัฐบาลได้เร่งรัดการเห็นชอบ หนังสือสัญญาต่าง ๆโดยได้มีการประชุมครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2551 และได้อนุมัติร่างหนังสือสัญญาเหล่านี้เพื่อเสนอต่อรัฐสภา ตนได้ลงนามเสนอต่อประธานสภาฯตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.2551 ส่วนหนึ่ง และลงนามเมื่อวันที่ 5 ม.ค.อีกส่วนหนึ่ง โดยมีความตั้งใจว่าจะพิจารณากันในช่วงประชุมสมัยวิสามัญ แต่เมื่อพบว่าทางรัฐสภาไม่สะดวกที่จะพิจารณาในขณะนั้นจึงเลื่อนมาเป็นสมัย สามัญ ซึ่งทั้งตน รมว.ต่างประเทศ และรัฐมนตรีอีกหลาย ๆคนเข้าใจมาตลอดว่าจะประชุมในวันที่ 21 - 22 ม.ค.2552 แต่เนื่องจากรัฐสภามีการนัดประชุมช่วงวันที่ 26 - 27 ม.ค.นี้ และช่วงที่รมว.ต่างประเทศตอบรับที่จะไปเยือนประเทศกัมพูชาเป็นช่วงก่อนที่จะ มีการนัดประชุมช่วงนี้ขึ้นมา จึงทำให้ไม่ทำให้มาร่วมประชุมได้ แต่ได้มอบหมายให้นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ มาชี้แจงแทน ซึ่งตนเข้าใจว่าคืนนี้(26 ม.ค.)รมว.ต่างประเทศจะเดินทางกลับมา ตนได้กำชับว่าเมื่อได้เดินทางกลับมาก็จะมาที่รัฐสภา เพราะหากมีประเด็นอะไรที่ค้างคาอยู่จำเป็นที่จะต้องชี้แจงก็ต้องมาทำหน้าที่ ตรงนี้ในการรับผิดชอบต่อสภานายกฯ กล่าวในช่วงท้ายว่า เนื่องจากสมาชิกกังวลต่อร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วตนได้หารือกับประธานวิปฝ่ายค้าน และกำลังจะดูลู่ทางในการที่จะผลักดันการปฎิรูปการเมืองต่อไป ซึ่งตนถือว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน เชื่อสมาชิกอาเซียนให้ความร่วมมือทั้งหมด

"นายกฯมาร์ค"ปัดข่าวไขก็อก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างพักการประชุม นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วม 2 สภา เพื่อพิจารณากรอบข้อตกลงอาเซียนว่า บรรยากาศการประชุมวันนี้ถือว่าเรียบร้อยดี ส่วนการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องที่ ส.ส.สามารถทำได้ ซึ่งฝ่ายค้านอาจมุ่งที่ตัวรัฐมนตรีมากกว่าสาระในการอภิปราย หากประธานวินิจฉัยว่าสามารถอภิปรายได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า มีการเสนอให้นายกฯลาออกภายหลังการประชุมอาเซียนซัมมิท และอยากให้ตั้งครม.ใหม่ นายอภิสิทธิ กล่าวว่าขอย้ำว่าประเทศได้เดินหน้าทำงานแล้ว จะมีการประเมินผลงานต่างๆเป็นระยะๆ คิดว่าการไปกำหนดอะไรเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์

"สุนัย"เล่นมุกเดิมอัด"กษิต"ไม่สง่างาม

จากนั้นในช่วงบ่าย ส.ส.ฝ่ายค้านส่วนใหญ่ยังคงผู้ยังคงอภิปรายถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศของนายกษิต ภิรมย์ หนึ่งในมีส่วนร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.นครสวรรค์ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายในช่วงกรอบข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน ออสเตรเลียนิวซีแลนด์ โดยกล่าวถึงกรณีที่มีการแต่งตั้งนายกษิต ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากมีส่วนร่วมในการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง จึงทำให้เป็นที่จับตามองของประเทศสมาชิก

ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า ประเด็นข้อถกเถียงดังกล่าวว่า ตนเป็นผู้เชิญนายกษิต เข้าร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลเอง เนื่องจากเห็นว่า นายกษิตมีความรู้ความสามารถที่จะดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ที่สำคัญนายกษิต ยังผลักดันให้ไทยสามารถจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนได้ ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ฝ่ายค้านอภิปรายถึงนั้นนายกฯรับปากที่จะเข้าไปดูแลและตรวจสอบการทำงานว่า สัมฤทธิ์ผลหรือไม่

"เขยซีพี"อ้อนฝ่ายค้านร่วมลงนาม

จากนั้น นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า เจตนารมณ์ของนายกฯต่อการลงนามในเอกสารความร่วมมือ นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทยและยังเป็นการส่งสัญญาณต่อความเชื่อมั่น ต่อประเทศไทย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกจะให้ความเห็นชอบในการพิจารณาร่างเอกสารทั้ง หมด เพื่อให้ประเทศไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีในอาเซียน

นายวีระชัย ได้ชี้แจงถึงเอกสารกรอบความร่วมมือที่เข้าสู่การพิจารณาทั้งหมดว่า ประกอบด้วย ร่างข้อตกลงกรอบความร่วมมือประกอบด้วยร่างข้อตกลงสำคัญ ประกอบด้วย ร่างปฏิญาณว่าด้วยแผนงานประชาคมอาเซียน 2009 - 2019 เป็นเอกสารฉบับเดียวที่จะลงนามโดยผู้นำ โดยเป็นเอกสารที่จะวางแนวทางและเป้าหมายการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนภายใน ปี2558 โดยได้ผนวกแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนด้วย 3 เสาหลัก คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจ และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงแผนงานริเริ่มเพื่อให้เกิดการรวมตัวของเอเซียนฉบับที่ 2 เข้าไว้ด้วยกัน

แจงกรอบอาเซียนบวกสาม

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ส่วนกรอบความร่วมมือกับคู่เจรจา อาเซียนบวกสาม คือ จีน , ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้รวมถึงกรอบการเจรจาสุดยอดผู้นำเอเชีย รวม ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ทั้งหมดมี 4 ฉบับ คือ แถลงการณ์ว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานชีวภาพและความมั่นคงด้านอาหาร ในกรอบอาเซียนบวกสาม ซึ่งมีสาระสำคัญในการจัดตั้งคลังสำรองเข้าฉุกเฉินในประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตรวจสอบและติดตามความเคลื่อนไหวของปริมาณข้าวในภูมิภาคได้ นอกจากนี้ยังได้เน้นการสร้างความสมดุลด้านอาหารและพลังงาน อีกทั้ง ร่างแถลงการณ์ยังมีการว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติของการประชุมสุดยอดเอเชีย ตะวันออก ที่แสดงเจตนารมณ์ในความร่วมมือทางการเมืองในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง กันเพื่อจัดการภัยพิบัติในภูมิภาค ครอบคลุมการเตรียมความพร้อมในการจัดการภัยพิบัติ การให้ความช่วยเหลือ และการฟื้นฟูบูรณะภายหลังภัยพิบัติ

"สำหรับร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียนจีน ที่กรุงปักกิ่ง เพื่อเป็นศูนย์บริการครบวงจนเพื่อให้ข้อมูลและส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวการศึกษาและวัฒนธรรม ระหว่างอาเซียนและจีน โดยจีนและอาเซียนจะร่วมกันพิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในสัดส่วน 9 ต่อ 1 โดยจีนจะออก 9 ส่วน อาเซียนออก 1 ส่วน , บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลออสเตรเลียกับรัฐบาลของประเทศอาเซียน ว่าด้วยโครงการความร่วมมืออาเซียนและออสเตรเลียฉบับที่สองโครงการความร่วม มือระหว่างปี 2551-2558 ที่จะให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าระหว่างออสเตรเลียกับอาเซียนมูลค่า 57 ล้านเหรียญออสเตรเลียโดยจะมุ่งพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร การสนับสนุนการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเผยกรอบกระทรวงพาณิชย์มี 10 เรื่อง" นายวีระชัย กล่าว

มั่นใจกรอบเจรจาสร้างความเป็นปึกแผ่นให้อาเซียน

ด้าน นางพรทิวา นาคาสัย รมว.พาณิชย์ ชี้แจงถึงข้อตกลงในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ว่า กรอบความร่วมมือที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงพาณิชย์มีจำนวน 10 เรื่อง รวม 23 ฉบับ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ หนังสือสัญญาภายในอาเซียน และหนังสือสัญญาของอาเซียนกับคู่เจรจา ดังนั้น หนังสือสัญญาภายในอาเซียนประกอบด้วย ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน มีสาระสำคัญในการรวบรวมกฎเกณฑ์ทางการค้าเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า) ครอบคลุมมาตรการภาษีและมาตรการที่ไมใช่ภาษีให้มีความทันสมัยและรวมอยู่ใน ฉบับเดียวกัน โดยไม่มีพันธกรณีเพิ่มจากที่มีอยู่เดิม , พิธีศาลอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 7 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการบริการของอเซียน เป็นนิติศาลที่กำหนดให้มีการเปิดเสรีการบริการตามข้อผูกพันในสัญญาแนบท้าย ความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน เป็นการรวมข้อตกลงในการลงทุนและความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนของอา เซียนที่มีอยู่เข้าด้วยกัน

นางพรทิวา กล่าวว่า หนังสือแจ้งเข้าร่วมข้อตกลงยอมรับร่วมสาขาวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมซึ่งได้ลง นามข้อตกลงไปแล้วตั้งแต่ปี 2548 และ 2550 ตามลำดับแต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ , ข้อตกลงยอมรับร่วมสาขาวิชาชีพแพทย์ , ทันตแพทย์และบัญชี โดยเป็นข้อตกลงที่จะยอมรับร่วมกันในการกำหนดคุณสมบัติ การศึกษา และประสบการณ์ทำงาน ให้สามารถยื่นขอคำอนุญาตโดยไม่ต้องขอการอนุมัติคุณสมบัติซ้ำ , บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย เรื่องน้ำตาล ข้อตกลงที่อินโดนีเซียจะรักษาระดับการนำเข้าน้ำตาลไม่ต่ำกว่าปริมาณเฉลี่ยนำ เข้าน้ำตาล 3 ปีย้อนหลัง เพื่อชดเชยกรณีที่อินโดนีเซียขอชะลอการลดภาษีสิ้นค้าน้ำตาลโดยข้อตกลงทั้ง หมดนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นของอาเซียนอย่างมีกฎเกณฑ์และ ชัดเจนมากขึ้น

"สำหรับข้อตกลงระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจา ประกอบด้วย ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกดานลงทุนระหว่างอาเซียน โดยให้ความคุ้มครอบการลงทุนกับนักลงทุนอาเซียนและจีนซึ่งจะส่งผลให้มีความ ร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น ความตกลงภายใต้กรอบอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ประกออบด้วยเอกสารสัญญา 6 ฉบับ ครอบคลุมการเปิดตลาดการค้าสินค้าและบริการ" นางพรทิวา กล่าว

"โกโบริน"ป่วนสถาบันปกเกล้าฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปรายในช่วงนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินออกไปนอกห้องประชุม ส่งผลให้ ร.ต.ท.เชาวริน อภิปรายว่า ขณะนี้นายกฯ อยู่ไหน อยากให้เข้ามาฟังในห้องประชุมสภาฯ ด้วย เพราะมีการส่งเอสเอ็มเอส (SMS) ถึงสมาชิกรัฐสภาทุกคน เพื่อให้มาประชุมสภา ซึ่งสมาชิกบางส่วนไปเรียนอยู่ที่สถาบันพระปกเกล้า ก็ต้องมาประชุม ซึ่งตนเรียนที่สถาบันพระปกเกล้าผ่านมา 7 ปีแล้ว เป็นคนเดียวที่ติดเข็มวิทยฐานะของสถาบันมาโดยตลอด วันนี้ขอถอดออก เพราะสถาบันดังกล่าวเชิญนักวิชาการไปด่าพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนให้นักศึกษาฟัง และยังมีการมาบอกว่านักศึกษาที่เรียนแล้วมาร่วมประชุมสภาถือว่าไม่ขาดเรียน ทั้งนี้ ตนเห็นว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี หากมีเวลาว่างก็ควรจะไปเรียนภาษาจีนเพิ่ม เพราะภาษาจีนจะมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก เนื่องจากกรอบเจรจาหลายฉบับเกี่ยวพันกับจีน ซึ่งเชื่อว่าไม่เกินความสามารถของนายอภิสิทธิ์แน่นอน

ขณะที่ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้ชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นผู้ประสานงานไปที่สถาบันพระปกเกล้าเอง ขอหยุดการเรียนการสอนเอง แต่ไม่ใช่หยุดเรียนทั้งหมด เพราะผู้ที่ไม่ได้เป็นส.ส.ก็ยังต้องเรียนต่อไป ทั้งนี้เห็นว่าสถาบันพระปกเกล้าเป็นสถาบันประชาธิปไตย ก็ควรที่จะเปิดโอกาสให้ส.ส.มาประชุมขอให้ร.ตท.เชาวริน ติดเข็มวิทยฐานะไว้ที่เดิมหรือเก็บใส่กระเป๋าไว้ ทางด้านร.ต.ท.เชาวรินบอกว่านักวิชาการทำไม่ถูก แบบนี้ไม่ติดเข็มหรอก

ขู่ยืนศาลรธน.หากรบ.ไม่ตั้งกมธ.ศึกษากรอบอาเซียน

จากนั้น ร.ต.ท.เชาวรินได้อภิปรายต่อว่า ขอให้เริ่มต้นการเมืองใหม่โดยให้ ส.ส.ให้เกียรตินายกฯ เริ่มจากนายกฯอภิสิทธิ์และสื่อมวลชนจะมาเรียกคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้ เห็นแล้วมันขัดตา ขอให้เรียกว่าท่านนายกฯ นอกจากนี้ ขอฝากให้นายกฯตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนจากต่างประเทศ

จากนั้น นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย กล่าวเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพราะส่งผลกระทบให้รัฐบาลทำงานไม่ได้ เช่น กองทัพอากาศ มีปัญหาการก่อหนี้ งบผูกพันในการจัดซื้อเครื่องบินกริฟเฟน ซึ่งไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา นอกจากนี้ ตนอยากเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาเรื่องกรอบอาเซียนให้ ชัดเจน ถ้าไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการฯ ตนจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 154 เพราะขณะนี้ สมาชิกมีความเห็นขัดแย้ง ตนเชื่อว่าจะมีสมาชิก 60 คนร่วมลงชื่อด้วยแน่ และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมีความขัดแย้งจริง ก็จะทำให้เรื่องกรอบอาเซียนตกไป

"ตนยังได้รับข้อมูลเป็นภาษายาวีจากนักศึกษาคนหนึ่ง ว่า มี ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกว่าสมัยรัฐบาลทหาร มีการแจกปืนเป็นจำนวนมากใน จ.นราธิวาส โดยมีการระบุว่า ถ้าเป็นชาวพุทธครอบครองถือว่าถูกกฎหมายแต่ถ้าเป็นอิสลามถือว่า ผิดกฎหมาย ตนจะยื่นเรื่องให้นายกฯตรวจสอบ ซึ่งจะมอบเอกสารให้ภายหลัง" นายสงวน กล่าว

ติงรัฐบาลไม่พูดถึงผลกระทบหลังลงนาม

ขณะที่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า นายกฯอภิปรายไม่ได้ให้ข้อมูล สาระอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เพียงแต่เป็นการพูดตามวาระ ขณะที่การชี้แจงก็ไม่เคยบอกว่าการไปลงนามต่างๆ จะได้รับผลกระทบอะไรบ้างทั้งที่รัฐธรรมนูญบอกว่ามีมาตราเยียวยาผู้ได้รับผล กระทบด้วย แต่วันนี้เป็นเพียงให้รัฐสภาเร่งรีบให้ความเห็นชอบให้เร็วที่สุด ซึ่งหากยังไม่เปลี่ยนความคิดต่อ ม. 190 ในยุคฝ่ายค้าน ท่านคิดอย่างหนึ่ง เป็นรัฐบาลคิดอย่างหนึ่ง ทุกฝ่ายจะมองว่า ม.190 เป็นอุปสรรค

ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตก่อนรัฐบาลไปทำการตกลงกับกลุ่มประเทศอาเซียนในทุกฉบับมีการ กำหนดถึงการไกลเกี่ยข้อพิพาทไว้ให้ตั้งอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศขึ้นโดย ให้จัดทำเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ แต่ตอนนี้อาจขัดต่อระบบศาลของไทยที่ให้การจัดทำเอกสารทุกอย่างเป็นภาษาไทย เท่านั้น ตรงนี้รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมให้แก่นักกฎหมายไทยในเรื่องภาษาอังกฤษที่จะ ออกไปทำตลาดต่างประเทศแบบนี้แค่ไหน

จี้"กษิต"แจงตั้งลูกเขย"ประสงค์"นั่งอธิบดีสนธิสัญญา

ทางด้าน นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตนอยากจะคัดค้านในการประชุมอาเซียนในกรอบเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะก่อนหน้านี้ รมว.การต่างประเทศ ละมิดสิทธิมนุษยชนในการปิดสนามบินสุวรรณภูมิในเรื่องการเดินทางของประชาชน ซึ่งเข้าข่ายการก่อการร้ายสากลหรือไม่ ซึ่งไม่ทราบว่าประเทศอาเซียนจะกล้าลงนามกับไทยหรือไม่ เพราะรมว.กาต่างประเทศเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน เสียเอง

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมี พ.ร.บ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ ซึ่งขณะนี้ร่างดังกล่าวที่ ตนเสนออยู่ในวาระการประชุมสภาควรนำมาพิจาณราก่อนร่างพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ เพื่อให้รับทราบขอบเขตของการชุมนุมที่แต่ก่อนมีการพกระเบิดปิงปอง ไม้กอล์ฟ และปิดหน้าปิดตา ซึ่งสามารถกระทำได้ และการมีกำหมายการชุมนุมจะทำให้ ประเทศกลุ่มอาเซียนจะได้มั่นใจในประเทศไทยว่าจะไม่มีการปิดสนามบินอีก

นายจุมพฏ ยังกล่าวเรียกร้องให้นายกษิตชี้แจงการแต่งตั้งให้นายพฤทธิพงศ์ กุลทนันทน์ ลูกเขย น.ต.ประสงค์ ซึ่งเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ไปอยู่ในตำแหน่งอธิบดี สนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องไปเจรจากับอาเซียนอยากถามว่า บุคคลดังกล่าวมีความเหมาะสมอย่างไรเป็นการตอบแทนกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่

พระเทพฯเสด็จฯเปิดงานตรุษจีนไชน่าทาวน์เยาวราช



ประชาทรรศน์
26 ม.ค. 2009

สมเด็จพระเทพฯ'เสด็จ'เปิดงานตรุษจีนไชน่าทาวน์เยาวราช 52'แล้ว โดยมีแขกผู้มีเกียรติ-ประชาชนรับเสด็จ ขณะเดียวกันได้มีการแสดงนาฏศิลป์จาก 7 มณฑลของสาธารณรัฐประชาชนจีน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.30 น. วันนี้ (26 ม.ค.) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เพื่อร่วมงานตรุษจีนไชน่าทาวน์เยาวราช 2552 ณ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ โดยมีคณะกรรมการฯ แขกผู้มีเกียรติและประชาชนรับเสด็จ

ทั้งนี้ภายในงานมีการแสดงนาฏศิลป์จาก 7 มณฑลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบด้วย มณฑลกวางสี มณฑลไห่หนาน มณฑลอานฮุย มณฑลซานตง (เอียนไถ) มณฑลเฮยหลงเจียง มณฑลจี๋หลิน และเขตปกครองตนเอง(มณฑล) มองโกลเลียใน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หลังพบว่าตัวเลขชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมี การแสดงทางวัฒนธรรมจากวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ การแสดงจากศิลปิน GMM Grammy การตกแต่งพื้นที่รอบๆ ถนนเยาวราชให้เป็นบรรยากาศแบบจีน เช่นประดับโคมไฟ ฯลฯ กิจกรรมอื่นๆที่น่าสนใจ เช่น นิทรรศการศิลปวัฒนธรรมของจีน ฯลฯ

จากนั้นสมเด็จพระเทพฯ ได้ทรงลงพระอักษรเป็นภาษาจีน และถือว่าเป็นพิธีเปิดงานฉลองตรุษจีนฯอย่างสมบูรณ์ พร้อมกันนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ฯ พระวรชายา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ประกอบพิธีสักการะเทพเจ้าไต้ฮงกง ที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง ย่านเยาวราช เนื่องในวันเทศกาลตรุษจีน โดยมีประชาชนชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีน รอรับเสด็จทั้ง 2 ฝั่งถนนเป็นจำนวนมาก

ขณะที่บรรยากาศในวันเที่ยวช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่บริเวณถนนเยาวราชเป็นไปอย่างคึกคัก โดยตามวัดต่างๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ต่างให้ความสนใจเดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะวัดเล่งเน่ยยี่ หรือวัดมังกรกมลาวาส ที่เต็มไปด้วยประชาชนที่เดินทางมาพร้อมกับครอบครัวอย่างคับคั่ง ขณะที่วัดไตรมิตรวิทยาคมวรวิหารก็ได้รับความสนใจไม่น้อย

เชือด!!อดีตนายกฯ‘สมชาย’ผิดวินัยร้ายแรง-ฟ้องแพ่ง70ล้านคดีที่ดินศาลธัญบุรี



ประชาทรรศน์
26 ม.ค. 2009

พลิกแฟ้มคดีที่ดินศาลธัญบุรี หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่กรณีสั่งระงับไม่ดำเนินคดีอธิบดี-รองอธิบดีกรมบังคับ คดี พร้อมโยนเผือกร้อนให้ ‘กระทรวงตราชั่ง’ สั่งฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย 70 ล้านบาท ด้าน ‘สมชาย’ กลืนเลือด!! มีประวัติด่างพร้อย ถูกปลดออกจากราชการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีหนังสือลงวันที่ 21 มกราคม 2552 แจ้งไปยังประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ทราบมติของคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ครั้งที่ 9/2551 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2551 ลงโทษปลดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากราชการ ขณะเดียวกันยังสั่งการให้ปลัดกระทรวงแรงงาน ส่งสำเนาเรื่องไปให้กระทรวงยุติธรรมเพื่อดำเนินการสำหรับความผิดทางแพ่งอีก ด้วย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2551 ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (อดีตนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม) ในฐานะอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีสั่งระงับเรื่องไม่ให้ดำเนินคดีนายประมาณ ตียะไพบูลย์สิน อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี และนายมานิตย์ สุธาพร อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี กรณีไม่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมจำนวน 70 ล้านบาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินศาล จ.ธัญบุรี จนเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย

หลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงแรงงาน ซึ่งขระนั้นนายสมชายปฏิบัติหน้าที่ปลัดกระทรวงฯ ก่อนจะลาออกจากราชการ แม้ว่า ครม.จะมีมติให้ย้ายนายสมชายกลับมาเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม แต่มตินั้นยังไม่มีผลในทางปฏิบัติ

ต่อมา อ.ก.พ.กระทรวงแรงงาน ซึ่งขณะนั้นมีนางอุไรวรรณ เทียนทอง ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ใช้เวลาร่วม 2 เดือนในการพิจารณาเรื่องที่ ป.ป.ช.ส่งมา กระทั่งเพิ่งมีมติ อ.ก.พ.ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2551 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2551 ลงโทษปลดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากราชการดังกล่าว

ตามขั้นตอนทางกฎหมาย หลังจาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้กระทรวงต้นสังกัดดำเนินการภายใน 30 วัน โดยคดีนี้มีโทษ ปลดออก ให้ออก หรือไล่ออก เท่านั้น

และตามมาตรา 84 วรรคสอง ตามความใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ไม่ได้ระบุว่าห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง การชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.ในเรื่องดังกล่าวข้างต้น จึงไม่มีผลต่อคุณสมบัติต่อการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมชาย (ในขณะนั้น) แต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 97 กำหนดโทษข้าราชการที่ถูกปลดออก ยังสามารถรับเงินบำเหน็จบำนาญได้ต่อไป เสมือนได้ลาออกเอง

ขณะเดียวกัน ตามหลักเกณฑ์สำหรับข้าราชการหากถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด บทลงโทษมีอยู่สองอย่างคือไม่ปลดออกก็ต้องไล่ออก ซึ่งการถูกไล่ออกจะไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญ

อนึ่ง ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ต่ออายุราชการนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ถึงสองครั้งเป็นเวลา 2 ปี จนเต็มเพดาน และตามกฎหมายไม่สามารถต่อายุในตำแหน่งเดิมได้อีก ครม.จึงได้ใช้วิธีเลี่ยงกฎหมาย โดยย้ายนายสมชายไปเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 10 ม.ค.2549

จากนั้น ครม.ได้มีมติย้ายนายสมสมชาย กลับมาเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้นายสมชายตัดสินใจลาออกจากราชการ และเข้าสู่การเมือง กระทั่งได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา