CBOX เสรีชน

28 มีนาคม, 2552

กระเทยเฒ่า

ไอ้เปมเอ๋ย เสยฮูดาก Mark มอเจ็ด
มาร์คไม่ Get กรม่ายรู้ เหย๋ง ๆ
มนตรีเฒ่า มึงเน่าแน่ แก่เส็งเคร็ง
แม่นาคเจ้ง มนตรีเน่า ถึงคราวซวย
คงลงเหว ละคราวนี้ อีกแม่นาค
เอาไอ้Mark มึงคืนไป ไอ้เด็กห่วย
กระเทยเฒ่า มนตรีตุ้ด สุดแสนซวย
ซังกะบ้วย รีบลงรู กรูม่ายเอา ...เว้ย


ปริศนาเลขบัตรประชาชน 13 หลัก



http://www.talkystory.com

อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบได้ที่นี่

โดย ความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “ตัวเลข” ที่เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า “เก้า” ที่พ้องกับคำว่า “ก้าว” อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ “ทำบุญ” อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

สำหรับ ฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย

แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้

สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้

หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่

ประเภท ที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี

ประเภท ที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า

ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9

ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง

การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ

ประเภท ที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9

ประเภท ที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12

ประเภท ที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133

ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7

คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้

ต่อ ไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น

สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น

หลัก ที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ

หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที

สำหรับ เลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ

เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548

ตัว เลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

ทักษิณ เผย ป๋าเปรม คือผู้มีบารมีนอกรธน.



http://www.talkystory.com

พ.ต.ท.ทักษิณ มาในชุดเสื้อสีชมพูโดยมีดอกไม้ตั้งบนโต๊ะ ได้เริ่มขอบคุณแท็กซี่ที่ช่วยคนมาร่วมชุมนุม และที่มาร่วมชุมนุมก็เพื่ออนาคตของลูกหลานไทยต้องการเห็นสังคมไทยมี ประชาธิปไตยที่แท้จริง ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส
ถึงเวลาหรือยังที่ ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ควรจะเห็นประโยชน์ของลูกหลาน เพราะที่ผ่านมานั้นประเทศไทยมีการปฏิวัติบ่อยครั้งทั้งๆที่บางครั้งไม่คิด ว่าจะเกิดก็เกิด แต่เราก็ไม่พูดกันให้ชัดเจน วันนี้เราต้องพูดกันให้ชัดไม่ต้องมัวเกรงใจกันไม่ได้เพราะจะไม่ทำให้ไม่รู้ ความจริง

"ที่ผมจะพูดนี้ไม่ใช่เพื่อผมแต่เพื่ออนาคตของลูกหลาน ก่อนที่ผมจะพูดถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญนั้น จะพูดถึงประวัติศาสตร์ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง มาถึงปลายปี 2548 ก็มีการรวมตัวกันต่อต้านผม โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ช่วยทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นการกระทำนอกระบบ และมีองคมนตรีบางคนไปพูดกับสื่อว่าไม่เราผมแล้ว"

แสดงให้เห็นว่ามีผู้ มีบารมีนอกรัฐธรรนูญ และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ หลังจากนั้นก็มีการเดินสายโจมตีตน โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามายุ่งด้วย

"ณัฐวุฒิ" ซัด "มาร์ค" น่ารังเกียจ



http://www.talkystory.com

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงกับสิ่งที่ตนเคยแสดงความเห็นไว้ว่า ประเทศไทยกำลังเกิดวงจรอุบาทว์ในการแย่งชิงอำนาจ

" เริ่มจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีทั้ง ส.ส. ผู้สมัคร และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมกดดันรัฐบาล ด้วยวิธีนอกกฎหมาย โดยคนในพรรคตั้งแต่ นายชวน หลักภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า ไม่เคยแสดงความเห็นคัดค้าน ขณะที่การเคลื่อนไหวกลุ่มพันธมิตรฯ นับวันยิ่งเหิมเกริม เหยียบย่ำสิทธิเสรีภาพ ไม่เคยถูกขัดขวางจากเหล่าทัพ จนกระทั้งพันธมิตรฯ ยึดสนามบินสร้างความเสียหายเกินกว่าประเมินได้ และรัฐบาลของนายสมชาย ก็พ้นโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"

จากนั้น ก็มีข่าวเชิญชวนแกนนำพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล โดยนายทหารใหญ่ไปหารือที่บ้าน ซึ่งผลการหารือสรุปเชิงบังคับให้เปลี่ยนขั้วไปงสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็น นายกรัฐมนตรี

เราไม่ปฏิเสธการเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เราปฏิเสธขบวนการที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์พร้อมทิ้งหลักการ มารยาทและความสวยงามทางการเมือง สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ทำอยู่ ถือว่าน่ารังเกียจกว่าคนที่เคยถูกตัวเองวิจารณ์ 2 เท่า

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

พัลลภ แฉ สุรยุทธ์ให้ล้ม ทักษิณ



http://www.talkystory.com/

วางแผนล้มรัฐบาลทักษิณเพื่อชาติ จี้แสดงสปิริต “ลาออก”จากองคมนตรีเพื่อปกป้องสถาบัน จวกยับไม่มีสัจจะรับตำแหน่งนายกฯ ปฏิเสธไม่เคยรับเงินแม้ว อ้างได้แค่รองเท้าคู่เดียว
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อ 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเขาไม่เคยเชิญผมเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเชิญผมและประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่มีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ทางด้านรัฐธรรมนูญหรือทางด้านกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร

การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่า การทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใดๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน ทั้งนี้การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.นั่งอยู่ด้วย

พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า อันนี้ผมบอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงผม ผมก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น การประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่า การทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใด ๆ

หลังจากที่ปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พูดง่าย ๆ พวกเราผิดหวังมากและผมก็ผิดหวัง ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูดง่าย ๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสียสัจจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม แต่ท่านอ้างว่าได้ประชุม ได้คุยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดมติในที่ประชุม ซึ่งในการพูดคุยในวันนั้นมีประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น หลังจากนั้นผมไม่ได้พูดจากับ พล.อ.สุรยุทธ์ อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จักทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม และเป็นนายทหารรุ่นน้องสมัยที่ผมเป็น ผบ.ค่ายสฤษดิ์เสนา ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บังคับหมวด

ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า อย่างแรกคือการวางแผนทางด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ซึ่งการที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามผมในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ มีครั้งหนึ่งที่เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ไปพบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จารุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่ง พล.อ.จารุภัทรรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิเสธ

เรื่องแบบนี้ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกออกจากตำแหน่งและล้มการเลือกตั้ง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ดีตั้งแต่ต้นว่าจะมีการล้มรัฐบาล เพราะมีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมด เพียงแต่มาสอบถามผมว่า เรื่องที่รู้มาจริงหรือไม่ เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่จีน

พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า ท่านรู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ ซึ่งไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาทเพราะไว้ใจคนใกล้ตัวและเพื่อน ตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ

ส่วนการลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี ซึ่งการรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อกตัวนายกฯ ซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือ ล็อกตัวนายกฯ

จนถึงขณะนี้ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร เมื่อมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม

ที่ ผมตัดสินใจไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน เกิดสงครามการเมือง มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ผมอยากพบ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือ รัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่เป็นการล็อบบี้กันแบบงูเห่า ผมมองว่า ไม่ถูกต้อง เพราะควรให้เสียงข้างมากตั้งก่อน หากเขาตั้งไม่ได้ ตัวเองจึงจะค่อยตั้ง แต่เป็นการชิงตั้งก่อน

ในฐานะอดีตทหารเก่ามองภาพผู้นำกองทัพตอนนี้อย่างไร

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า ผมเป็นทหารรุ่นพี่ของเขา ผมไม่อยากวิจารณ์ เพราะคนที่เป็นผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้น ผมเหมือนกับ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ผมยึดถือตรงนี้เพราะผมเคารพท่านมาก ผมคิดว่าทหารจะต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน คือยึดถือความมั่นคงของประเทศชาติ และความสันติของประชาชนเป็นหลัก

ผม อยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้นเพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออกในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย

บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท ผมยืนยันได้ว่า ที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ผมจะไปซื้อรองเท้ามาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จ่ายเงินค่าแคดดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว

ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า โทรคุยเมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามว่าผมสบายดีหรือไม่ ผมก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อผม

ดูงานหรือ 'ผลาญงบ'

เดลินิวส์

ผมว่าใครก็ตามที่เห็น “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตั้งหน้าตั้งตาการทำงานโดยมุ่งไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็คงอดเห็นใจไม่ได้ จะถูกหรือผิด อีกไม่นานก็คงจะเห็นผลกันแล้วครับ ถ้าผลงานออกมาดีชาวบ้านก็มีโอกาสกลับมาทำงานใหม่ แต่ล้มเหลวหรืองานออกมาไม่เป็นตามเป้า ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามารับผิดชอบต่อ
 
วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นอย่างนี้ละครับ  ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่นอกจากรัฐบาลจะแสดงฝีมือในการทำงานแล้ว การให้ความร่วมมือของข้าราช การ หรือเจ้าหน้าที่รัฐก็มีความสำคัญ
 
บังเอิญมีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในจ.ปราจีนบุรี ระบายความในใจให้ฟัง เกี่ยวกับการใช้งบหลวงเดินทางไปดูงานต่างประเทศ พร้อมยังส่งเอกสารรายละเอียดของโครงการมาให้ดูเสร็จสรรพ เรื่องมีอยู่ว่าทาง จ.ปราจีนบุรี จัดโครงการ “อบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
 
โดย ให้นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ท้องถิ่นละ 3 คน) รวมทั้งหมด 210 คน พร้อมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เดินทางไปศึกษาดูงานโครงการดังกล่าวที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยแบ่งการเดินทางเป็น 2 รุ่น ช่วงกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
 
ต้นเรื่องของโครงการนี้มี หลังบ้านของข้าราชการระดับบิ๊กบางคน ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว เข้ามาช่วยเขียนแผนโครงการให้ โดยองค์กรส่วนท้องถิ่นจ่ายค่าลงทะเบียนในการไปศึกษา ดูงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยงบประมาณของท้องถิ่น คนละ 95,000 บาท เบ็ดเสร็จแล้วงานนี้ถลุงงบประมาณของแผ่นดินไป ประมาณ 20 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นเงินไม่มาก แต่ ในยามที่ประเทศชาติถังแตก ต้องหาทางกู้เงินจากต่างประเทศมาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ ผมว่าใครก็ตามที่รับทราบรายละเอียดเรื่องนี้ คงปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้
 
แต่น่าจะเป็นคำถามที่ทำให้หลายคนรับไม่ได้คือ ผู้บริหารของเทศบาล และ อบต.หลายคน กำลังจะครบวาระในการปฏิบัติ หน้าที่ในปี 2552 มีโอกาสได้ไปดูงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ด้วย ผมอยากถามว่าเมื่อไปดูงานเรียบร้อยแล้ว จะนำความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้พบเห็นในต่างประเทศ มาพัฒนาท้องถิ่นทันหรือไม่ เพราะใกล้จะครบวาระในการดำรงตำแหน่งพอดี หรือมีญาณวิเศษรู้ล่วงหน้าว่า จะได้กลับมาทำงานในหน้าที่เดิมอีก
 
และ ถ้าย้อนไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2552 ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี “นายกฯอภิสิทธิ์” นั่งหัวโต๊ะ เพิ่งมีมติให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต้องการเดินทางไปราชการในต่างประเทศ เพื่อฝึกอบรมหรือจัดประชุมสัมมนา หากยังไม่ได้ อนุมัติให้งดเว้นหรือชะลอไปก่อน หรือโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้ปรับแผน เป็นการดูงานหรือจัดสัมมนาในประเทศแทน
 
แต่ก็เปิดช่องว่ากรณี ที่มีข้อตกลงหรือพันธกรณีกับองค์ กร หรือหน่วยงานอื่นในต่างประเทศ และได้รับอนุมัติก่อนหน้านี้ที่จะมีมติครั้งนี้ให้ดำเนินการต่อไปได้ แต่ยามนี้บ้านเมืองกำลังประสบปัญหา ผมคิดว่าข้าราชการทุกฝ่ายต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี และใช้งบประมาณให้คุ้มค่าดีที่สุด
 
ไม่รู้ว่า ฯพณฯ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย จะสนใจเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการนี้บ้างหรือเปล่า เพราะงบประมาณ 20 ล้านบาท ดูเหมือนไม่มาก แต่ถ้าหากมาหาคำตอบจากงานนี้ ผมกลัวว่า ในอนาคต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ต่าง ๆ จะเลียนแบบบ้างซิครับ
 
งานนี้ผมไม่รู้ว่า “พี่เบิร์ด” จะคิดอย่างไร ขนาด ททท. อุตส่าห์ทุ่มเงินให้ไปกว่า 60 ล้านบาท เพื่อรณรงค์ไม่ให้คนไทยเที่ยวในต่างประเทศ แต่ดูเหมือนยังช่วยดึงข้าราชการให้ดูงานในประเทศไม่ได้ ถ้าหากเป็นอย่างนี้  สงสัย “นายกฯอภิสิทธิ์” ต้องเรียกเงินคืนแล้วมั้งครับ.