CBOX เสรีชน

31 ตุลาคม, 2552

วิธิใช้งานโปรแกรม SAM Broadcaster ครับ

เห็นที่เค้าสอนกันแล้วมันหงุดหงิด ลยทำซะเองเลย ฮา
http://www.mediafire.com/?sharekey=d1f2acce77e8372dab1eab3e9fa335ca286ff3b8e6195909

29 ตุลาคม, 2552

เมื่อทรายไทยจะไปสิงคโปร์ 2

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11523 มติชนรายวัน (ดึงข้อความมาจาก Sameskyboard.com)

เมื่อทรายไทยจะไปสิงคโปร์


โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์


ก่อนเริ่มเรื่อง ผมขอทำความเข้าใจกับคุณๆ อันดับแรก ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ใช่คนตะกั่วป่า แม้ผมจะลงไปแถวนั้นบ่อยครั้ง แต่ผมไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น ไม่เคยรับทราบความลำบากครั้งน้ำท่วม อันดับที่สอง การอ่านเรื่องนี้มีความเสี่ยง ผู้อ่านควรพิจารณาด้วยตัวเองก่อนปักใจเชื่อ เพราะผมคือผู้ร่ำเรียนเรื่องทะเลมาบ้าง แต่ผมไม่ใช่ทะเล หลายครั้งที่ผมบอกกับทะเลบอกไม่เหมือนกัน

ขอเริ่มเรื่องจากข้อมูลใน "มติชน" กล่าวถึงกรณีขุดทรายที่ปากแม่น้ำตะกั่วป่า จำนวน 21 ล้านคิวบิกเมตร โดยใช้เวลา 5 ปี โดยมีบริษัทแห่งหนึ่งรับอาสา อบต.บางนายสี ขุดให้ฟรีๆ โดยระบุว่า จะนำไปใช้ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยผ่านการอนุมัติของผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา มีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ตามระเบียบ ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีระบุว่า หากทรายมีซิลิการ์ออกไซด์ไม่เกินร้อยละ 75 สามารถส่งออกนอกประเทศได้ โดยหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จะเริ่มทำการขุดทรายประมาณเดือนธันวาคม (รายละเอียดที่ www.matichon.co.th)

ผมขอตั้งประเด็น เริ่มจากทำไมเขาถึงลงทุนขุดให้ฟรี? ผมพอทราบข่าว สิงคโปร์กำลังต้องการทรายจำนวนมาก เพื่อนำไปถมทะเลในการพัฒนาพื้นที่ จึงต้องนำเข้าทรายจากต่างประเทศ แต่ที่น่าสงสัย ทำไมเค้าต้องลงทุนมาขุดมาขนไปจากประเทศไทย ทำไมไม่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มีทะเลมีทรายมากกว่าบ้านเราไม่รู้กี่สิบเท่า แถมยังอยู่ติดกัน ค่าแรงก็ไม่ได้แตกต่าง ค่าขนส่งก็ถูกกว่าเพียบ แล้วทำไม?

คุณอาจได้คำตอบง่ายๆ ก็เพราะอินโดนีเซียไม่ยอมให้ขุด ตอบเช่นนี้ย่อมมีคำถามต่อ แล้วทำไมอินโดนีเซียถึงไม่ยอม ทั้งที่สมัยก่อน เขาก็เคยขายทรายให้สิงคโปร์มาพอควร แล้วมาบัดนี้ ทำไมจึงเลิกเสีย?

คำตอบอาจเป็นประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม อาจเป็นประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สิงคโปร์กำลังต้องการขยายสนามบินเพื่อเป็นฮับของเอเชียในย่านนี้ อินโดนีเซียอาจกลัวว่าจะเป็นคู่แข่งมั้ง ไม่เหมือนบางประเทศที่ไม่กลัว เราสร้างได้ นายก็สร้างได้ เราแถมทรายให้นายมาสร้างแข่งกับเราด้วย

มาสู่ประเด็นที่สอง อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อทรายหายไป? ผมไม่อาจยืนยันว่าสิ่งที่ผมจะเล่าต่อจากนี้ มันต้องเกิดแน่ เพราะทะเลยากแท้หยั่งถึง เอาเป็นว่า ผมคาดเดาจากสิ่งที่เรียนมาและจากประสบการณ์ก็แล้วกันครับ

ผมเคยพูดคุยกับเพื่อนผู้อยู่ตะกั่วป่า เค้าบอกว่า เดิมทีแม่น้ำลึกกว่านี้ แต่พอหลังสึนามิ ทรายมีมากขึ้น แม่น้ำตื้นเขินจนแทบจะเตะฟุตบอลกันได้แล้ว แต่เมื่อลองถามไปถามมา สึนามิอาจเป็นเหตุหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้น แม่น้ำก็เริ่มตื้นกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน

นั่นคือบางสิ่งที่เราอาจเข้าใจผิด ไม่ใช่เฉพาะเพื่อนของผม แต่รวมถึงคุณๆ ในทุกภูมิภาค เราเข้าใจว่า ธรรมชาติต้องเหมือนเดิม แต่โลกเราเปลี่ยนไปทุกวัน โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลที่มีกระบวนการต่างๆ เช่น ฤดูนี้สันทรายอยู่ตรงนี้ ฤดูนั้นสันทรายย้ายไปอยู่ตรงนั้น การตื้นเขินของแม่น้ำตะกั่วป่า อาจไม่เกี่ยวข้องจากการกระทำของมนุษย์ แต่เป็นเหตุที่ต้องเกิดตามธรรมชาติอยู่แล้ว ยิ่งถ้าพิจารณาจากเกาะทรายยักษ์สองแห่งที่อยู่ใกล้เคียง ได้แก่ เกาะคอเขาและเกาะพระทอง เดิมทีเคยเป็นสันทราย ขยายตัวจนกลายเป็นเกาะทรายใหญ่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย อีกหลายร้อยปีผ่านไป สองเกาะอาจเชื่อมต่อกัน หรือเชื่อมกับแผ่นดินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งก็เป็นได้

ปัญหาคือเราเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ เราก่อสร้างสร้างฐาน ทำกิจกรรมนานัปการ เช่น สร้างบ้านสร้างรีสอร์ทบนเกาะคอเขา บางส่วนเราอาจเก็บรักษาไว้ เช่น เกาะพระทองเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีโครงการสำคัญหลายโครงการเข้าไปเกี่ยวข้อง

เมื่อเราขุดทรายจำนวนมากไปจากพื้นที่ คำถามคือจะมีอะไรเกิดขึ้น? ทดลองเองก็ได้ครับ คุณลองไปริมทะเลหรือริมแม่น้ำ เสร็จแล้วก็ขุดหลุมทรายในแอ่งน้ำตื้นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือทรายรอบด้านจะเริ่มไหลลงมาแทนที่ ยิ่งขุดยิ่งไหล จนทรายที่อยู่ห่างออกไปเริ่มยวบ หรือหากขี้เกียจทดลอง โทร.ถามเพื่อนๆ ผู้มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำ บริเวณที่มีการขุดทรายเยอะๆ เค้าคงตอบคุณได้

สิ่งที่ผมคาดไว้ คือทรายอื่นย่อมไหลลงมาแทนที่ทรายที่หายไป ทรายบางส่วนอาจมาจากทะเล แต่ทรายอีกบางส่วนอาจมาจากชายฝั่ง ทั้งเกาะทรายและหาดทรายหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียง จะกระทบถึงไหน ผมไม่อาจบอกได้ แต่เหตุที่เกิดขึ้นในทะเล ผลมักไม่เกิดเฉพาะตรงนั้น บางทีผลอาจไปไกลหลายโยชน์ ใครอยากเห็นตัวอย่าง ขอเชิญไปเที่ยวหาดแถวมาบตาพุด เรื่อยไปจนถึงหาดแสงจันทร์ ปากน้ำระยอง เขื่อนหินทรงประหลาดที่ยื่นไปอยู่ในทะเล เป็นคำตอบที่ชัดเจนเกินคำอธิบาย

ผมไม่ยืนยันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ผมเพียงสงสัย หากเกิดขึ้นใครผู้ใดจะรับผิดชอบ? หากทรายเกิดหาย ชายฝั่งถูกกัดเซาะ ห่างออกจากจุดเกิดเหตุสิบยี่สิบกิโลเมตร ใครจะเป็นผู้ชดใช้ทะเล ชดใช้คนทำมาหากินกับทะเล ผมทราบจากข่าวว่า โครงการทำ EIA ผ่านการอนุมัติของท่านผู้ว่าฯ แต่ผมก็เคยเห็นโครงการที่ทำ EIA มาแล้วบางโครงการ เกิดปัญหาขึ้น ถึงตอนนั้น แล้วไงครับ? คำถามยังคงกลับมาที่เดิม ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? ใครจะไปเป็นผู้บอกกับเต่าทะเลว่า ขอโทษจ้ะ หาดที่เธอวางไข่หายไปหมดแล้ว ใครจะเป็นผู้บอกกับคนทำรีสอร์ทว่า โทษทีฮะที่ทำสระน้ำคุณพี่ลงไปอยู่ในทะเล ใครจะเป็นผู้บอกลุงประมงพื้นบ้าน กุ้งหอยปูหายไปเพราะทรายมันหายจ้ะ ลุงอดทนหน่อยนะ สักวันมันก็คงกลับมาเอง ช่วงนี้ก็กินข้าวกับน้ำปลาไปพลางก่อน

ในทางกลับกัน หากเรามองในมุมของคนตะกั่วป่า ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แน่นอนว่าพวกเขาพวกเธอมีปัญหา แต่การแก้ปัญหาโดยสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่ น่าลองทำไหมหนอ เรามีทางออกทางอื่นหรือไม่? ผมพอจะเข้าใจแนวคิดของท่านนายก อบต. เพราะมีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ จะแก้ไขยังไงก็ไม่เป็นผล ด้วยงบประมาณและความช่วยเหลือจำกัด แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะเนี่ย?

ปัญหานี้จึงวนเวียนเหมือนงูกินหาง เป็นอะไรที่ผมคิดว่าอยู่เหนือกำลังของท้องถิ่น ถึงเวลาที่ภาครัฐส่วนกลางต้องเข้าไปช่วยเหลือ อย่าคิดว่าต้องใช้งบประมาณมากมาย ผมแอบกระซิบข้อมูลที่ผู้บริหารภาครัฐทราบอยู่แล้วอีกครั้งก็ได้ เฉพาะเงินที่สิงคโปร์เสนอให้อินโดนีเซีย เพื่อใช้ในการดูแลปัญหาผลกระทบจากการดูดทราย (ไม่ใช่ค่าทราย) เมื่อคิดจากปริมาณทราย 21 ล้านคิวบิกเมตร เป็นเงินตัวเลขสิบหลัก เน้นอีกหน เลขสิบหลัก หน่วยเป็นบาท ขนาดนั้นอินโดนีเซียยังเซย์โน แล้วถ้าเกิดปัญหาในทะเลพังงา แหล่งท่องเที่ยวเอย อุทยานแห่งชาติเอย เขตความหลากหลายชีวภาพเอย เผลอๆ ยังเกี่ยวกับการเสนออันดามันเป็นมรดกโลก ตัวเลขสิบหลัก...จะใช้แก้ปัญหาไหวไหมหนอ

บทสรุปสุดท้าย ในเมื่อคนท้องถิ่นสนับสนุน สิงคโปร์แฮปปี้ รัฐบาลไทยไม่รู้ไม่ชี้ แล้วข้าพเจ้าจะไปหาเรื่องใส่ตัวทำไมวุ้ย สู้สอนหนังสือ ทำวิจัยส่งผลงานไปตีพิมพ์วารสารวิชาการต่างประเทศ ยิ่งตอนนี้เค้ามีงบฯไทยเข้มแข็งให้มหาวิทยาลัยวิจัยยิ่งดีใหญ่ หรือไม่ก็เขียนหนังสือเรื่องท่องเที่ยว ไปทำ CSR เรื่องสิ่งแวดล้อมเรื่องโลกร้อน ไปพูดให้คนอื่นฟัง ได้ตังค์ทั้งนั้น

ปัญหาคือผมระลึกคำพูดสุดท้ายที่ ดร.สุรพล สุดารา ครูของผมสั่งเสียไว้ "ธรณ์ต้องไม่เงียบ" หากไม่ทราบไม่เป็นไร แต่ทราบแล้วมีหนทางบอกต่อแล้ว...ไม่บอก ผมทำไม่ได้ จึงต้องขออภัยหากสร้างความเดือดร้อนหรือขุ่นเคืองใจให้ผู้อื่น

เพราะผมดันลืมไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งผมเคยมีคุณครูครับ

หน้า 8

http://www.matichon....&day=2009-09-27

เมื่อทรายไทยจะไปสิงคโปร์ 1

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11551 มติชนรายวัน

เมื่อทรายไทยจะไปสิงคโปร์

โดย สมชาย เจียมธีรสกุล somchai_jeam@hotmail.com


ผมได้อ่านบทความของ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เรื่อง เมื่อทรายไทยจะไปสิงคโปร์ จากมติชน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน ที่ได้ชี้ให้เห็นถึงเรื่องความเสียหายจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะตามมา อย่างมหาศาลเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ผมเห็นด้วยกับ ดร.ธรณ์ อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ยังมีอีกความเห็นหนึ่งที่จะขอนำเสนอ

อันที่จริงหลังจากข่าวของมติชน ฉบับวันพฤหัสดีที่ 17 กันยายน เรื่องที่ "เอ็นจีโอ" ขอให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องการขออนุญาตขนทรายตะกั่วป่าออกนอกประเทศ ผมรู้สึกไม่ถูกต้องขึ้นมาทันที และได้เตรียมที่จะเขียนแสดงความเห็นคัดค้านด้วยเช่นกัน เพราะผมเห็นว่าเรื่องนี้คนไทยจะเสียรู้สิงคโปร์อีกแล้ว และเป็นการเสียรู้ระดับโลก (จากความเห็นของผม)

ต้องยอมรับว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่รู้ไส้รู้พุงประเทศไทยทุกขดอย่างลึกซึ้ง รู้ว่าปัจจุบันจะใช้ช่องทางใดในการที่จะขโมยเอาทรัพยากรธรรมชาติของไทยไปและ ซ้ำยังอ้างบุญคุณที่มาขุดลอกให้ฟรี จึงเริ่มใช้ช่องทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เนื่องจากทราบดีว่าปัจจุบันประเทศไทยได้มีการกระจายอำนาจไปสู่ส่วนท้องถิ่น ให้อนุมัติโครงการต่างๆ ได้ แต่ผมขอพูดความจริงเล็กน้อยในเรื่องการให้อำนาจแก่ท้องถิ่นนั้นเป็นสิ่งที่ ดี แต่ก็ต้องให้ความรู้เข้าไปด้วย เนื่องจากผมอยู่ในวงการก่อสร้างจึงทราบว่าการขออนุญาติก่อสร้างถ้ามีการขอ ผ่าน อบต. เพราะ อบต.ไม่มีความรู้เพียงพอในเรื่องที่มีการควบคุม แต่ต้องการให้มีการก่อสร้างเพื่อได้ผลประโยชน์ ดังนั้น การก่อสร้างโรงงานใดถ้าต้องการให้ได้ดั่งใจ ก็ต้องพยายามไปขออนุญาตในเขต อบต. ยังไงก็ได้สร้างแน่นอน

เมื่อสิงคโปร์ทราบวิธีการนี้ จึงไม่แปลกที่เริ่มจากส่วนท้องถิ่น ด้วยการเสนอความเป็นนักบุญ

อันที่จริงปัญหาน้ำท่วมที่ชาวตะกั่วป่ารู้สึกว่ารุนแรงขึ้นนั้น ก็เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และในฐานะที่ผมเป็นวิศวกรด้านโยธา และสิ่งแวดล้อม ก็เชื่อว่าถ้าได้มีการศึกษาและวางแผนอย่างถูกต้องก็จะมีทางแก้ปัญหาได้อย่าง ยั่งยืน ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการขุดลอกทรายจำนวนมหาศาลออกไป

ในมุมมองของผมยังมีอีกด้านที่ผมคิดว่ามีค่ามากกว่าการที่จะเอาไปถมทะเล ผมถึงบอกว่างานนี้อาจจะเป็นการต้มตุ๋น และเสียรู้ระดับโลกของประเทศไทยได้

ขอเริ่มจากประเทศไทยมีกฎหมาย เรื่องการที่ห้ามนำทรายออกนอกราชอาณาจักร ตามข้อกำหนดของกรมทรัพยากรธรณีว่าจะต้องมีซิลิกาออกไซด์เป็นส่วนประกอบจำนวน ไม่เกิน 75.00% ของน้ำหนัก ทางสิงคโปร์ก็คงทราบข้อกำหนดนี้อย่างแน่นอน เพราะตามข่าวบอกว่าบริษัทได้เก็บตะกอนในพื้นที่บางส่วนไปส่งให้ห้องปฏิบัติ การทางวิทยาศาสตร์ ของกรมทรัพยากรธรณีตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่าตะกอนดังกล่าวมีซิลิกาออกไซด์ เป็นส่วนประกอบจำนวน 73.75% ซึ่งก็มีไม่ถึง 75.00% ลองคิดดู สิงคโปร์เป็นผู้ส่งตัวอย่างไปให้หน่วยงานวิทยาศาสตร์ไทยตรวจสอบ แล้วผลก็ผ่านตามกฎหมาย แล้วหน่วยงานของประเทศไทยก็จะใช้ข้ออ้างแบบศรีธนญชัยว่า อนุมัติได้ตามกฎหมาย

ผมลองจินตนาการอีกด้านหนึ่งดังนี้ สิงคโปร์ได้เข้ามาแอบเก็บตัวอย่างตะกอนดังกล่าว และพบว่าค่าซิลิกาออกไซด์ บริเวณดังกล่าวสูงมากคุ้มค่าแก่การลงทุน อาจมากกว่า 80.00% ด้วยซ้ำ และได้ศึกษากฎหมายไทยอย่างละเอียด และพบช่องโหว่ 75.00% ดังนั้น จึงพยายามเลือกเก็บตัวอย่างในบริเวณที่มีค่าเปอร์เซ็นต์น้อยกว่า 75.00% และทั้งที่พยายามอย่างมากให้มีเปอร์เซ็นต์น้อยแล้ว ก็ยังได้ค่าถึง 73.75% อย่างที่ผมบอก ผมเป็นวิศวกร ดังนั้น ค่าตัวเลขดังกล่าวถึงว่าไม่มีนัยยะแตกต่างทางสถิติแม้แต่น้อย ค่าเบี่ยงเบนต่ำมาก ค่าตัวเลขบอกให้ทราบว่า มีซิลิกาออกไซด์สูงมาก ไม่ใช่แค่บอกว่าน้อยกว่ากฎหมายกำหนด แล้วลองคิดดูสิงคโปร์ฉลาด หรือไทยโง่กันแน่

ผมได้คัดความรู้มาจาก http://gotoknow.org/...lchumphon/22209 ซึ่งเป็นการสรุปความสำคัญของซิลิกาดังนี้

จากพัฒนาการของคอมพิวเตอร์จนถึงกลางทศวรรษ 1960 ถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญยิ่งอันเนื่องมาจากการค้นพบและพัฒนาเทคโนโลยี Semi-Conductor จากพื้นฐานความรู้เรื่องตัวนำไฟฟ้า (Conductor) และฉนวน (Insulator) นักอิเล็กทรอนิกส์นำมาต่อยอดผลิตเป็นชิ้นงานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากกมาย จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์พบว่า แร่ธาตุบางอย่างมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าอยู่ตรงกลางระหว่างตัวนำและฉนวน เรียกเป็นภาษาวิชาการว่า "สารกึ่งตัวนำ" (Semi-Conductor) และแร่ธาตุประเภท Semi-Conductor ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากในการนำมาแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ในการนี้ก็คือ ธาตุซิลิคอน (Silicon) ซึ่งทำมาจากแร่ Silica ที่หาได้มากในเม็ดทรายด้อยค่านี้เอง ในยุคต่อมา Silicon จึงกลายเป็นส่วนประกอบหลักของการผลิตชิ้นส่วนสำคัญทางอิเล็กทรอนิกส์ ในเขตอุตสาหกรรมทางด้าน IT ของสหรัฐอเมริกาถึงกับเรียกตัวเองว่า "Silicon Valley" ทำให้หลายคนเข้าใจว่า คงจะเต็มไปด้วยการทำเหมืองแร่ซิลิคอน แท้ที่จริงแล้วเป็นกลุ่มบริษัททางด้าน IT ทั้งสิ้น ซิลิคอนเมื่อนำมาหลอมเหลวให้บริสุทธิ์ ผ่านแม่พิมพ์ออกมาเป็นแท่งทรงกระบอก จะเข้าสู่กระบวนการ "เฉือน" ให้เป็นแผ่นบางๆ เรียกว่า "Chip" ซึ่งหมายถึง แผ่นกลมๆ บางๆ ความหมายเดียวกับ แผ่นมันฝรั่งทอด (Potato Chip) ซิลิคอนชิป ซึ่งเป็นสารกึ่งตัวนำสามารถเพิ่มคุณสมบัติให้เป็นตัวนำไฟฟ้าที่สูงขึ้นได้ โดยการเจือสารเติมแต่งที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้า เช่น ฟอสฟอรัส ซึ่งมีประจุ - หรืออิเล็คตรอนมากกว่าซิลิคอน 1 ตัว เรียกว่า เป็นการ "เพิ่มหลัง"

ขอบคุณบทความที่ผมขอนำมาอ้างอิงครับ และขอให้ดูรูปจาก pcplus.techrada.com เรื่อง How Silicon Chips are made จากรูปคือการ converting sand to silicon ของ Intel ซึ่งเป็นกระบวนการขั้นแรกสุด คือการนำทรายจำนวนมหาศาลมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของการผลิต "Chip" คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อเป็นผลผลิตสุดท้ายแล้ว มูลค่ามหาศาลเพียงใด

ผมได้ลองหาราคาของ Silica จาก internet และพบว่าราคาของ SILICA, 5-15u, 60A, 1kg ($91.35) เป็น silica ที่สกัดแล้ว และถ้าทำให้บริสุทธิ์จนได้เป็น silica gel for chromatography with evaporate pressure สำหรับทำ chip ราคาจะเป็น SILICA, 5u, 60A, 100g ($388.50) คือจากราคา กก.ละ 91.35 เป็น 3,885.00 ดอลลาร์ หรือประมาณ 132,000 บาท/กก. ลองคำนวณดูน้ำหนักของตะกอนทราย 21 ล้าน ลบ.ม. (ทราย 1 ลบ.ม. จะหนักประมาณ 1,600 กก.) เป็น นน.ทั้งสิ้น 33,600 ล้านกิโลกรัม ถ้าประมาณว่าสกัดจนบริสุทธิ์ ได้เพียง 1.00% ก็เท่ากับได้ silica เท่ากับ 336 ล้านกิโลกรัม เป็นเงินอย่างประมาณเกือบ 45 ล้านล้านบาท นี่แหละผมถึงคิดว่าอาจเป็นอภิมหาโครงการต้มตุ๋นระดับโลก สำหรับการทำเหมือง silica และใกล้จะสำเร็จแล้วถ้าไม่เป็นข่าวขึ้นมาก่อน

ทำไมต้องที่ตะกั่วป่า เพราะในอดีตบริเวณทะเลอันดามันเป็นแหล่งทำแร่ดีบุกขนาดใหญ่ของประเทศ ดังนั้นทรัพยากรสินแร่จำพวก silica ก็ย่อมมีมหาศาลเช่นกัน ซึ่งสิงคโปร์ย่อมรู้ดีกว่าคนไทยเสียอีก ดังนั้นผมอยากเสนอแนะให้คนไทย โดยเฉพาะข้าราชการไทยรู้จักรักประเทศไทยอย่างแท้จริงไม่ใช่รักแบบ ศรีธนญชัย ได้ทำถูกต้องตามกฎหมายแล้วทุกอย่างก็จบ โลกยุคปัจจุบันคงไม่ใช่มองแค่ได้ของฟรี เพราะของฟรีไม่มีในโลก ถ้าสิงคโปร์อยากมาบริการคนไทยและประเทศไทย ก็ขอให้ลองเสนอโครงการขนขยะจาก กทม. ซึ่งมีวันละเป็นหมื่นตันไปใช้ก่อนดีไหม เป็นค่าเช่าสนามบินที่เอาเครื่องบินรบมาฝากในไทย ไม่ใช่จะมาขนสินแร่ที่มีค่าที่สุดในโลกปัจจุบันและอ้างบุญคุณกับคนไทย

นี่เป็นมุมมองอีกด้านเพื่อเสริม ดร.ธรณ์ ครับ

หน้า 9

http://www.matichon....&day=2009-10-25

มีค่าที่สุดในโลกเลย? อืม


:getmore (13):

21 ตุลาคม, 2552

พัลลภ อัด เปรม การผูกขาดความรักชาตินั้นอย่าผูกขาดไว้แต่ผู้เดียว

20 ตุลาคม 2552
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.รมน. กล่าวว่า ก่อนอื่นตนขอต้อนรับน้องๆทหารหาญทุกคนด้วยความยินดีอย่างยิ่ง วันนี้คิดว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ที่แน่ชัดแล้วว่า ที่คนบางคนกล่าวว่าพรรคเพื่อไทยทรยศต่อประเทศชาติถูกพิสูจน์ยืนยันว่าเป็นคำ พูดที่ไม่จริง พี่น้องทหารที่มาวันนี้ ทุกคนรับใช้ชาติมาตลอดชีวิตราชการ ทุกคนเสี่ยงชีวิตเพื่อชาติ ราชบัลลังก์มาตลอด ฉะนั้นการที่ทุกคนเลือกมาอยู่พรรคเพื่อไทย ดังที่หลายคนพูดแล้วว่าเป็นพรรคที่ทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุข ทุกคนจึงสมัครใจเข้ามา


พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนอยากฝากไปยังพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษในฐานะที่เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นพี่ และเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา ว่า

การผูกขาดความรักชาตินั้นอย่าผูกขาดไว้แต่ผู้เดียว

และแม้นว่าใครมีความคิดไม่ตรงกับท่าน ผู้นั้นทรยศชาติ ไม่ใช่ เพราะวันนี้มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด


"อยาก กราบเรียนท่านอีกครั้งหนึ่ง ว่า ตอนรับราชการผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่าน ท่านอยู่ห้องยุทธการ อยู่ในห้องเย็น ผมถือปืนอยู่ป่าอยู่ภูเขา แต่ว่าเราก็มีแนวคิดตรงกัน เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติและความสันติสุขของประชาชน ดังนั้นวันนี้ผมขอยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่เป็นความหวังของประชาชน ไม่เช่นนั้นน้องๆของผมคงไม่เข้ามาร่วมกับเรา เพราะทุกคนเป็นผู้บังคับหน่วยงานมาแล้วทั้งนั้น" พล.อ.พัลลภกล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1256025476&grpid=00&catid=



แค่จะทวงฎีกา ยังออกกันมามา แบบมืดฟ้ามัวดิน

โดย วโรทาห์
นับเป็นความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง ในจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่เสื้อแดงริอ่านจัดชุมนุมเป็นต้นมา เมื่อจะทวงถามฎีกากันทั้งที มันก็ต้องมีแสดงอิทธิฤทธิ์กันนิดหน่อย เพื่อที่ว่าคนแก่จะได้เลือดลมสูบฉีด หูตาสว่างโร่เป็นตาตั๊กแตน นี่ขนาดว่า ไม่มีการตีฆ้องร้องป่าว

แค่สะกิดเบาๆ ยังแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน

เหมือนจะกระชากอารมณ์อิจฉา ของคนแก่ที่ไม่รู้จักคำว่าปล่อยวาง ให้พุ่งปรี๊ดฉีดกระฉูดจนหน้าแดงก่ำ แถมยังตอกย้ำด้วยคำพูดเรียบๆ ของนายกฯขวัญใจประชาชนว่า เสียดายที่ไม่ได้วิดีโอลิ้งค์เข้ามาดูความยิ่งใหญ่

เพราะต้องรีบขึ้นเครื่องไปดูเพชรเม็ดใหม่ ที่เพิ่งขุดขึ้นมา

แต่ถึงยังไง งานนี้ก็ต้องให้เครดิตป๋าไปเต็มๆ ที่อุตส่าห์ช่วยฟูมฟักเสื้อแดงจนเติบใหญ่มา จวบจนเท่าทุกวันนี้ เพราะป๋าแท้ๆที่ช่วยเสือกไสไล่ส่ง ประชาชนทั้งหลายให้มากองรวมกัน ที่ฝั่งฟากเสื้อแดง ด้วยการตอกย้ำระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน จนชาวบ้านเขาเหลืออด ต้องตะโกนออกมาดังๆว่า

พวกมึงทำอะไรไม่เคยผิด แต่พวกกูทำอะไรไม่เคยถูก

ล่าสุดนี้ ยังอุตส่าห์พ่นดอกอุตพิตออกมาจากรูทวารจู๋ๆว่า "การเข้าพรรคเพื่อไทย เป็นการทรยศต่อชาติ" แปลไทยเป็นไทยให้เป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าพรรคเพื่อไทยคือศัตรูของชาติ คนที่จะเข้าพรรคนี้ ถึงต้องระวังว่าจะเป็นการทรยศต่อชาติ

เลยทำให้ศัตรูของชาติ ต้องออกมากันเต็มถนน เมื่อวันที่ 17 ตุลา

ก่อนที่จะมาพลิกลิ้นแผล็บ เมื่อนักข่าวดันไปถามเรื่องด่าลุงจิ๋ว ป๋าบอกไม่ได้พูดว่าทรยศชาติ แต่เตือนว่า จะทำอะไรคิดให้รอบคอบ เพราะอาจจะเป็นการทรยศชาติ

ใครฟังก็ได้แต่นั่งงง ว่ามันต่างกันยังไงหรือป๋า

คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่พูดก็ไม่พูด แต่ถ้าพูดออกมาทีไร เป็นต้องได้ฮากันท้องคัดท้องแข็ง อย่างเช่นเรื่องม้ากับจ๊อคกี้ ที่เล่นเอาฮาตรึมสมัยน้าแม้ว จนกระทั่งป่านนี้ ผ่านไปกว่า 3 ปี ยังฮากันไม่เสร็จ

ยังมีวลีเด็ดที่ป๋าฝากเอาไว้เยอะแยะ ถ้าขุดคุ้ยขึ้นมาเดี๋ยวมีฮาอีก อย่างเช่นว่า "ป๋าไม่พูดเรื่องการเมือง" แต่ไม่รู้เป็นไง

ไม่ว่าป๋าจะพูดอหิวาต์อะไรออกมา การเมืองเป็นได้เดือดปุดๆ ไปซะทุกที

มิน่าล่ะ ใครๆเขาถึงว่า อาการของโรคที่ป๋าเป็นนั้น มันมีพัฒนาการน่าเป็นห่วง สังเกตุว่าแรกๆป๋าก็แค่ออกมาแหล่ แต่แหล่ไปแหล่มาชักจะเริ่มแหล แล้วแทนที่จะรีบรักษา กลับออกมาแหลเป็นรายวัน

กว่าจะมารู้ตัวอีกที ก็แหลลงตับไปซะแล้ว

คนอย่างลุงจิ๋ว ดีชั่วยังไงแกก็ยังเป็นทหารประชาธิปไตย ขณะที่ทหารประชาธิปไตยครึ่งใบ มันกอดเก้าอี้ผบ.ทบ.แน่น จนกระทั่งเกษียณแล้วยังมีขอต่อวีซ่า แต่ลุงจิ๋วแกกล้าลาออกมันดื้อๆ เพื่อลงมาเล่นการเมือง

เสียอยู่อย่างเดียวว่า แกเป็นทหารที่ซ้ายหันขวาหันไม่เป็น เล่นเอาป๋าเสียวสยองกับแกอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าป๋าสั่งซ้ายแกจะไปขวา แต่ถ้าป๋าสั่งขวาแกจะออกซ้าย พอป๋าถามว่าจิ๋วจะหันไปทางไหนเอาให้แน่ ป๋าจะได้สั่งได้ถูก แกกลับปากหวานบอกว่า

แล้วแต่ป๋า สั่งมาได้เลย

ควันหลงจาก 17 ตุลา กระแสคลื่นประชาธิปไตย ที่จะพัดไล่คลื่นเผด็จการ ไปลงนรก มาถึงวันนี้ ชักจะแรงจัด ถึงขนาดเด็กๆยังออกแถลงการณ์ ไม่ให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับม็อบเสื้อแดง เรียกว่าย้อนเกล็ดพวกเฒ่ากะโหลกกะลา จนหน้าม้านไปตามๆกัน

เพราะขนาดรัฐบาลเด็กดื้อประกาศใช้พรบ.ฉุกเฉินอยู่โครมๆ พวกที่เคยดิ้นพราดๆ ห้ามลุงหมักจัดการกับพันธมิตร ยังนั่งอมสากกันหน้าตาเฉย ขนาดโดนเด็กมันส่งอีเมล์ไปลากคอมาร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ ยังทำเป็นหน้ามึน

เซ็นเซอร์....................

ส่วนพวกม.นกเขานั้นไม่ต้องไปพูดถึง ขนาดลูกศิษย์ลูกหามาออกแถลงการณ์กันอยู่เหย็งๆ ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัว ไม่รู้ว่าพวกอาจารย์มันไปเลี้ยงนกเขาอยู่ที่ไหน

ต้องฝากบอกไปยัง อธิการบ่ดี คนที่ปากว่าตาขยิบปริ๊บๆคนนั้นว่า อย่าคิดว่าเป็นครูบาอาจารย์แล้ว จะพาชาวบ้านไปลงนรกขุมไหนก็ได้ เพราะประชาชนที่โง่เขลานั้น ถึงจะยังมีอยู่ ก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

ส่วนใหญ่เขาหูตาสว่างโร่ รู้ว่าใครเป็นใคร ใครทำเนียนเป็นพวกประชาธิปไตย แต่ใจเป็นทาสเผด็จการ ทรยศต่ออุดมการณ์ วิ่งโร่ไปรับใช้อำมาตย์ เพื่อที่จะได้เป็นกรรมการโน่นนี่ ไม่รู้กี่สิบตำแหน่ง สวาปามกันจนพุงปลิ้น

เซ็นเซอร์................................. ถ้ารู้ว่าพลังของประชาชนนั้น เข้มแข็งขนาดไหน ก็อย่าเพิ่งตกใจจนช็อคตายไปซะก่อน ขอให้ท่องเอาไว้ว่า

แม้วจ้างมา..แม้วจ้างมา จะได้นอนตายตาหลับ

วโรทาห์: 19 ต.ค. 52

สถานะการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ในประเทศไทยล่าสุด 2009-10-14



เนื่อง
จากรัฐบาลหยุดแถลงการเกี่ยวกับสถานะการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009
โดยให้ไปดูที่เว็บแทน (เอาไปหลบไว้ในซอกหลืบ)
เราจึงต้องนำมาแสดงให้สมาชิกดูกันชัดๆ
เพื่อความเตือนสติว่ามันยังไม่ได้หายไปครับ


ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 2009-10-14 มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 รายจากสัปดาห์ที่แล้วครับ


ขออภัยที่แสดงเฉพาะตัวเลขผู้เสียชีวิต
สาเหตุที่ไม่นำตัวเลขผู้ติดเชื้อมาแสดงนั้น
เพราะหลายท่านเชื่อว่ามีเป็นแสนๆ ไปแล้ว
ซึ่งห่างไกลจากตัวเลขที่แถลงเป็นทางการมากนัก

ดูข้อมูลย้อนหลังได้ที่ http://medicarezine.com/2009/08/flu-2009-pandemic-report-in-thailand/


11 ตุลาคม, 2552

จะพอเพียงกันแบบไหน ในเมื่อคนไทยยังหาได้ไม่พอกิน !

โดย จั่นเจา เอ็มไทย
4 ตุลาคม 2552
ไทยอีนิวส์

อัน ที่จริงแล้วแนวพระราชดำริแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯได้ทรงพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยนั้น มันเป็นแนวคิดที่ง่าย ๆ ตรงไปตรงมา

ที่แปลความหมายได้ว่าอย่าทำอะไรเกินตัว จงรู้จักประเมินและประมาณตัวเอง เช่นมีเงินร้อยบาทก็อย่าใช้ให้หมดร้อย หรืออย่างมากที่สุดก็อย่าให้เกินร้อยบาทที่ตัวเองมีแล้วต้องไปเป็นหนี้เป็น สินคนอื่นเขา เท่านั้นเอง

ง่าย ๆ เท่านี้จริง ๆ ง่ายทั้งการทำความเข้าใจและง่ายทั้งการปฏิบัติ ใครที่ปฏิบัติตามได้รับรองชีวิตไม่ขัดสนและอับจนอย่างแน่นอน

ไม่ เห็นจำเป็นต้องพากันไปตีความให้ยุ่งยากวุ่นวาย ที่ยกเอาแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงกันมาอ้างทุกวันนี้ ก็เพียงเพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันตัวเองและใช้ในการทำลายล้างคนอื่นก็เท่า นั้นเอง ( อันนี้หมายเหตุไปเลยว่าฝ่ายอ้างก็คือคมช. รัฐบาล และแนวร่วมล่มชาติทั้งหลาย ส่วนฝ่ายที่ถูกทำลายล้างก็คือทักษิณ ชินวัตร )

อัน ที่จริงแล้ว ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่มีสำนึกไม่ใช่พวกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนเกินพอดีนั้น ต่างก็ไม่มีใครอยากจะใช้จ่ายเกินตัว หรืออยากมีหนี้มีสินให้ต้องปวดหัวกัน ทุกคนอยากจะมีชีวิตพอเพียงกันทั้งนั้น

แต่ปัญหาก็คืออยู่ ว่าจะพอเพียงกันได้ยังไง ในเมื่อทุกวันมันยังไม่พอกินเอาซะเลย ลูกเมียยังต้องหน้าหมองอดอยากปากแห้งเพราะรายได้ในครอบครัวมันชักหน้าไม่ถึง หลัง ก็เป็นประชาชนคนชั้นรากหญ้าที่ไม่เคยลืมตาอ้าปากได้ในยุคใดสมัยไหน

(นอกจากในยุคนายกฯติดดินอย่างนายกทักษิณเท่านั้น แต่ก็ถูกอ้ายพวกกบฏแผ่นดินมันทำลายความฝันสิ้นลงไปแล้ว )

ว่า ก็ว่าเถอะ ไอ้พวกที่ยกเอาคำว่าพอเพียงมาหากินอยู่ทุกวัน วันละสามเวลาหลังอาหารและก่อนนอนนั้น ก็ไม่เห็นจะมีหน้าไหนที่จะเคยสัมผัสกับว่า" ไม่พอกิน " กันเลยสักราย แต่ละคนถ้าไม่เป็นนายกรัฐมนตรี ( โจร ) ที่เป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เป็นลูกคุณหนูที่จับไม้กวาดไม่เป็นสะกดคำว่า"อด"ไม่ถูกอย่างไอ้มาร์ค ก็เป็นข้าราชการตุลาการชั้นผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ และทรัพย์สินเงินทอง ( แต่หลังบ้านไหงยังอยากจะไปโกงคนอื่นอยู่อีก ) อย่างนายจรัญ รัญไร ที่เป็นแม่งมันเกือบจะทุกตำแหน่งในประเทศนี้อยู่แล้ว และแต่ละตำแหน่งก็กินเงินเดือนเป็นแสนเป็นล้าน

เออ..พวกเอ็งก็ พร่ำพล่ามได้สิวะว่าพอเพียง ๆ ก็แต่ละตัวมีเงินทองเป็นถุงเป็นถังเป็นสิบ ๆ ล้านกันทั้งนั้น แล้วชาวบ้านอย่างพวกกูที่จะกินให้ครบสามมื้อยังลำบากยากเย็น แม้อยากจะพอเพียงแค่ไหนมันก็ทำไม่ได้ตราบใดที่มันยังไม่พอกินอยู่อย่างนี้

ใน ฐานะที่พวกเอ็งเป็นผู้บริหารประเทศช่วยลงมาดูแลชาวบ้านให้เขาลืมตาอ้าปากกัน ได้เสียก่อนดีไหม พวกเขามีพอกินเมื่อไหร่เขาก็พอเพียงได้เมื่อนั้นแหละ อย่ามามัวแต่พร่ำเพ้อละเมอพกให้เหม็นขี้ปากอยู่อย่างนี้เลย อุดมคตินั้นมันไม่ทำให้ท้องหายหิวได้หรอกวะ

อันที่จริงแล้วรัฐบาล ที่อ้างว่าพอเพียงอย่างพวกเอ็งนั้นมันก็ไม่เห็นจะพอเพียงอะไรอย่างปากว่า หรอก ก็ดูงบประมาณทางทหารที่เพิ่มขึ้นมหาศาลบานตะไททั้ง ๆ ที่ประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามแต่ประการใด ชาวบ้านจะพากันอดตายเสือกไม่สน

เห็นมีอย่างเดียวเท่านั้นแหละที่พวกเอ็งพอเพียงกัน คือการใช้สมองและสติปัญญาในการบริหารประเทศกันอย่างประหยัดเหลือกัน

เช่น การไปยุบไอทีวีที่มีรายได้นับเข้ารัฐนับพันล้านต่อปีทิ้ง เพื่อจะเอาไปทำทีวีสาธารณะตะบักตะบวยอะไรนั่น ( ที่เป็นจริงได้แต่ในความฝัน ) โดยรัฐบาลต้องเอาเงินเกือบสองพันล้านไปจ่ายเพื่อการบริหารสถานีแทน ( เวร ! โง่แล้วเสือกอวดฉลาด )

หรือการที่จะทำระบบรางรถไฟฟ้าที่สุดแสนจะก้าวหน้าเพียงเพื่อจะเอารถไฟดีเซลรางมาวิ่ง ( !!! )

เออหนอ..จำกัดจำเขี่ยและพอเพียงจริง ๆ เลยมันสมองของพวกมึง !

หมายเหตุ**บท ความชิ้นนี้ได้รับการปรับปรุง แก้ไข ให้เข้ากับยุคสมัยจากต้นฉบับที่ผมเขียนไว้ในยุคคมช.เรืองอำนาจ และความจริงต่าง ๆ หลังม่านยังไม่เปิดเผยออกมาแจ่มแจ้งแดงแจ๋ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นข้อเขียนบางคำจึงอาจจะยังมีลักษณะเชิดชูบูชาสำหรับบางสิ่ง บางอย่างเหมือนกับคนไทยที่ถูกปลูกฝังและล้างสมองมานาน

แต่ปัจจุบันหัวใจมันได้ตายด้านจากบางสิ่งบางอย่างที่ว่านั้นจนไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว !

สงครามจุดยืน:สามัคคีประเทศใคร?..


เมื่อ พวกอำมาตย์และเครือข่ายพยายามเบี่ยงเบนประเด็น ความขัดแย้งในสังคมที่ประชาชนต้องการประชาธิปไตย ด้วยการยัดเยียดแนวคิดชาตินิยม ภายใต้สโลแกน “สร้างความสามัคคีของชาติ” ผ่านกิจกรรมการร้องเพลงชาติ 76 จังหวัด สิ่งที่พวกอำมาตย์กำลังพยายาม คือ การครองใจในทางความคิด (hegemony) ของคนในสังคมผ่าน แนวคิดชาตินิยม


โดย วัฒนะ วรรณ
ที่มา หนังสือพิมพ์เลี้ยวซ้าย ฉบับออนไลน์




เมื่อ พวกอำมาตย์และเครือข่ายของเขา พยายามเบี่ยงเบนประเด็น ความขัดแย้งในสังคมที่ประชาชนจำนวนมากต้องการประชาธิปไตย และความอยู่ดีกินดีจากนโยบายรัฐบาลประชาธิปไตย ด้วยการยัดเยียดแนวคิดชาตินิยม ภายใต้ สโลแกน “สร้างความสามัคคีของชาติ”

ผ่าน กิจกรรมการร้องเพลงชาติ 76 จังหวัด การออกโฆษณาตรงๆ ผ่านสื่อ หรือโฆษณาแฝง ตามรายงานต่างๆ ถึงขั้นรุนแรงแบบที่พวกพันธมิตรฟาสซิสม์ ทำที่ปราสาทพระวิหาร สิ่งที่พวกอำมาตย์กำลังพยายาม คือ การครองใจในทางความคิด (hegemony) ของคนในสังคมผ่าน แนวคิดชาตินิยม

แนวคิดชาตินิยม เป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ปกครอง มาอย่างยาวนาน เพื่อใช้สำหรับเบี่ยงเบนประเด็นหรือลดกระแสการต่อสู้ทางชนชั้นของคนจนใน สังคม เพราะเวลาประชาชนออกมาสู้นั้น ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อเรียกร้องสิทธิทางการเมือง หรือไม่ก็เรียกร้องความอยู่ดีกินของปากท้อง ซึ่งข้อเรียกร้องแบบนี้ไปลดทอนอำนาจของพวกชนชั้นนำในสังคมทั้งทางการเมือง และเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกับปัจจุบัน ที่แนวคิดชาตินิยม ที่พูดถึงความสามัคคีของคนในชาติ แลกทะเลาะกันให้คิดประเทศชาติเป็น หรือไม่ก็ไม่ว่าเราจะสีอะไรก็เป็นคนไทยเหมือน หรือหันมาร่วมกันพัฒนาประเทศชาติกันดีกว่า ข้อความต่างๆเหล่านี้ ล้วนสะท้อนกรอบคิดของชาตินิยมทั้งสิ้น

โดยเฉพาะแนวคิดชาตินิยมที่ถูกใช้โดยชนชั้นผู้ปกครอง

เรา จึงจะเห็นว่า เวลาพวกเขาพูดถึงความสามัคคีในชาติ ก็เท่ากับเป็นการแช่แข็ง สาเหตุของความขัดแย้งแต่แรกของสังคม ไม่ต้องพูดการรัฐประหาร ความยากจน การถูกเลิกจ้าง คนที่จนก็ต้องจนต่อไป ส่วนคนรวยก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ต่อสังคม เสพสุขในความร่ำรวยของตนเองต่อไป มันจึงถูกพิสูจน์ได้ชัดเจน ว่าผู้ที่เสนอแนวคิดเช่นนี้ ล้วนทำไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์และอำนาจของตนเองเพียงเท่านั้น

แนว คิดชาตินิยม จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งของพวกผู้ปกครองในการ “ครองใจ ในทางความคิด” ของคนในสังคม นอกเหนือจากเครื่องที่ใช้ปราบปรามประชาชน เช่น กองทัพ คุก ศาล ทหาร ตำรวจ หรือที่เรียกว่าอำนาจรัฐ

อันโตนิโอ กรัมชี่* นักปฏิวัติสังคมนิยม ชาวอิตาลี(1891-1937) จึงได้เสนอว่านอกจากเราต้องทำ “สงครามขับเคลื่อน” คือการเคลื่อนไหวกดดันด้วยรูปแบบต่างๆ ที่เราพยายามทำกันอยู่แล้ว

เรายังจำเป็นต้องทำ “สงครามจุดยืน” เพื่อ ต่อสู้การผู้ขาดทางความคิดของพวกอำมาตย์ ซึ่งรูปธรรมคือ เราต้องเน้นแนวคิดสากลนิยม เพื่อคัดค้านแนวชาตินิยม สนับสนุนแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย คัดค้านการส่งทหารลงไปในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

แต่ควรเปิดพื้นที่ ประชาธิปไตย ให้ประชาชนมีสิทธิในการตัดสินอนาคตตนเอง เราต้องตั้งคำถามแต่แรกว่าพรมแดนที่มีอยู่ในปัจจุบัน มันเกิดขึ้นมาอย่างไร ทำไม่ต้องมีภาษาราชการเพียงภาษาเดียว ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยพูดกันหลายภาษา

เรามีรูปแบบครอบครัว อื่นๆ ได้อีกหรือไม่ ที่ไม่ใช่ครอบครัวเดียวแบบปัจจุบัน และเราต้องพยายามพูดคุยกันถึงสังคมใหม่ สังคมในฝันของผู้รักประชาธิปไตย ว่ามีหน้าตาอย่างไรกันบ้าง มีระบบเศรษฐกิจแบบใด ระบบขนส่งมวลชนเป็นอย่างไร ระบบการศึกษาเป็นอย่างไร ระบบการปกครองทั้งระดับประเทศและระท้องถิ่นเป็นอย่างไร ระบบสวัสดิการอื่นๆ เป็นอย่างไร

และนำออกมาเสนออย่างเป็นรูปธรรม ต่อคนในสังคม เพื่อแข่งแนวกับพวกอำมาตย์ที่ต้องการแช่แข็ง ความยากจน ความไร้สิทธิเสรีภาพ ของพวกเราไว้

000000000

*ดู อันโตนิโอ กรัมชี่ ใน หนังสืออะไรนะลัทธิมาร์ค เล่ม 2 สำนักพิมพ์ ชมรมหนังสือประชาธิปไตยแรงงาน(องค์กรเลี้ยวซ้าย)


เฮียกัดเฮียลิ้มเน่าโคตรอย่ามาเนียนว่า"ใหม่"


ที่มา เวบไทยอินไซเดอร์
8 ตุลาคม 2552


นาย เอกยุทธ อัญชันบุตร เจ้าของเวบไซต์ไทยอินไซเดอร์ ใช้เวบไซต์เป็นกระบอกเสียงโจมตีนายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ว่า ไม่ได้ใหม่จริงแต่ยิ่งกว่า'น้ำเน่า' จากอดีตมาถึงปัจจุบัน พฤติกรรมทำกับทุกรัฐบาลเหมือนก็อปปี้เดียวกัน!คือ'เชลียร์-ขอ-ไม่ได้-ด่า' และโจมตีนายอภิสิทธิ์ที่ดอดไปพบสนธิลิ้มว่าน้ำเน่าสร้างภาพ



นาย เอกยุทธ์ อดีตเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ เปิดเผยถึงกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดดเข้ามาสู่แวดวงการเมืองแบบเต็มตัว โดยการเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ว่า เมื่อคนพันธมิตรฯประกาศตั้งพรรคการเมืองใหม่ ก็ถือเป็นบุคคลสาธารณะ ที่ต้องรับการวิจารณ์ได้เป็นปกติ เหมือนที่ครั้งหนึ่งนายสนธิเคยวิจารณ์คนอื่นได้ และเมื่อดูจากตัวบุคคลและพฤติกรรมแล้ว “ไม่ใช่การเมืองใหม่” ตามที่กล่าวอ้าง นายสนธิเป็นยิ่งกว่าน้ำเน่า ยิ่งกว่าทักษิณ ชินวัตร เสียอีก เพราะดูพฤติกรรมแล้ว การมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง จะทำให้การเมืองย่อยยับแน่ๆ

“พฤติกรรมตั้งแต่อดีตเป็นเหมือนก็ อปปี้เดียวกัน คือ "เชลียร์-แล้วขอ-พอไม่ได้-ก็เริ่มด่า" จะเห็นว่า ตอนแรกเชลียร์ทักษิณสุดๆ แต่พอผลประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้ตามที่ร้องขอ จึงหันมาถล่มหนัก มาถึงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็เช่นกัน เชียร์ในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ก็มีกระแสว่า ขอผลประโยชน์หรืองานบางงาน แต่พอไม่ได้ ก็เริ่มกล่าวหา พล.อ.สุรยุทธ์ถูกด่า พล.อ.สนธิ (บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช.) ก็ถูกด่า มาถึงรัฐบาลประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็เหมือนกัน พอไม่ได้ตามที่ร้องขอ ก็ออกมาตำหนิว่า ประชาธิปัตย์พึ่งไม่ได้ จึงจำเป็นต้องตั้งพรรค ทั้งๆ ที่ใครก็รู้ว่า เป้าหมายในการตั้งพรรคการเมืองของแกนนำพันธมิตรฯนั้น มีมานานแล้ว เพียงแต่รอจังหวะเวลาที่จะเปิดตัวให้ได้เปรียบมากที่สุดมากกว่า และที่ผ่านมา ก็พยายามแบ่งแยกบทกันเล่น ตามแต่ใครจะถนัดด้านใด”นายเอกยุทธกล่าว

นายเอกยุทธ กล่าวอีกว่า นายกฯก็พลาดที่เดินทางไปบ้านนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี และมีข่าวว่ามีนายสนธิร่วมอยู่ด้วย ซึ่งหากข่าวนี้เป็นจริง นายกฯก็เป็นแค่คนสร้างภาพ จากที่ตนเคยเชื่อว่า เป็นคนรุ่นใหม่ มีความคิดที่ดีในการพัฒนาบ้านเมือง แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง ก็คือ นักการเมืองน้ำเน่าเหมือนเดิม เพราะการเมืองจะพัฒนาไปในทางที่ดีได้ ต้องรู้จักเลือกจะคบคน หรือเลือกสนิทสนมกับใคร ควรดูถึงพฤติกรรมของตัวบุคคลเป็นสำคัญ หากเขามีจิตใจทำเพื่อชาติจริง ก็ควรสนับสนุน แต่คนที่แสดงท่าทีว่า เดี๋ยวนี้เป็นคนดี ทั้งที่ในอดีตเป็นคนชั่วร้าย ซึ่งคนประเภทนี้มีเยอะ ยังมีการรีดไถ นายอภิสิทธิ์คงไม่ใช่ความหวังของคนรุ่นใหม่อีกแล้ว
นายเอกยุทธ กล่าวด้วยว่า เพราะดูจากสัปดาห์ที่แล้ว นายอภิสิทธิ์ก็มีข่าวไปร่วมหารือกับคนที่ถูกแบนทางการเมือง เพื่อหารือถึงการแก้รัฐธรรมนูญ อยากถามว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนหรือไม่ เวลานี้บรรดานักการเมืองน้ำเน่าที่ถูกตัดสิทธิ ก็ยังเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองพวกนี้ก็เหมือนกับเสาไฟฟ้าต้นหนึ่ง

“อย่าลืมว่า การเปลี่ยนแปลงการเมืองจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากคนที่มีศักยภาพทางการเมือง ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ การอ้างว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็คือการกล่าวอ้างเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร สิ่งที่ทำง่ายที่สุดคือ การกำหนดสิทธิผู้จะลงเลือกตั้งง่ายๆ คือ แสดงการเสียภาษี พร้อมกับทรัพย์สินที่มีอยู่ ว่าเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ หากกล้าทำเรื่องนี้จริง ก็จะได้คนดีๆ เข้าสู่การเมือง ไม่เช่นนั้นก็จะได้แต่หน้าเดิมๆ บางคนสมบัติมีมากมาย แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่า เสียภาษีให้สอดคล้องกับทรัพย์สินที่มีมาหรือไม่ และพิสูจน์แหล่งที่มาของทรัพย์สินได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างนิ่งพรรคการเมืองใหม่ ถ้าแน่จริงกล้าเสนอให้มีการเพิ่มเงื่อนไขเรื่องการสำแดงภาษีในรัฐธรรมนูญ หรือไม่ เพราะนี่แหล่ะคือ “การเมืองใหม่” อย่างแท้จริง เพราะก่อนที่คุณจะอาสาเข้ามาเล่นการเมือง คุณต้องพิสูจน์ตัวคุณเองก่อน เพราะผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าพวกนักรบข้างถนนคนไหนบ้าง ที่เมื่อก่อนแทบไม่มีอะไร หรือเป็นหนี้เป็นสิน แต่ตอนนี้ร่ำรวยกันแบบผิดหูผิดตา เพียงเพราะเล่นการเมืองข้างถนนอย่างเดียว”นายเอกยุทธกล่าว

มาร์คไม่ปฏิเสธดอดพบลิ้ม

ที่ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธไม่ยอมตอบข้อซักถามกรณีที่มีข่าวระบุว่า ในการเดินทางไปพบนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่บ้านพักในซอยรามคำแหง 21 นั้นมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าที่หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ร่วมหารืออยู่ด้วยในเรื่องของเก้าอี้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และเก้าอี้ ผบ.ตร. โดยนายอภิสิทธิ ์ได้แต่หัวเราะ พร้อมส่ายหัวน้อยๆ ก่อนพยายามเดินหนีไป


เสียงสะท้อนถึง ปปช. กรณีกลับลำ อ้าง 'สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ไม่ใช่ธุรกิจเอกชน'


ที่มา เวบไซต์ มติชน
9 ตุลาคม 2552
ป.ป.ช. กลับลำยกคำร้องข้อกล่าวหา"วิจิตร ศรีสอ้าน" นั่งควบเก้าอี้ รมว.ศึกษา-นายกสภามหาวิทยาลัย 4 แห่ง ไม่ผิด อ้างไม่ใช่ธุรกิจเอกชน สวนทางมติเดิมที่เคยยืนยันผลประโยชน์ส่วนตัว ขัดแย้งกับผลประโยชน์ส่วนรวม

แหล่ง ข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผย "มติชนออนไลน์" ถึงความคืบหน้ากรณีการไต่สวนเรื่องที่มีกล่าวหา นายวิจิตร ศรีสอ้าน ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีพฤติการณ์ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา100 (4) เนื่องจากดำรงตำแหน่งนายกและกรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนถึง 4 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยสยาม, มหาวิทยาลัยรังสิต , มหาวิทยาลัยศรีโสภณ และวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาภิเษกว่า

ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่า เสียงส่วนใหญ่มีมติให้ยกข้อกล่าวหาดังกล่าว

โดยอ้างว่า สถาบันอุดมศึกษาเอกชนมิใช่ธุรกิจเอกชน ตามพ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 และประมวลรัษฎากรซึ่งมหาวิทยาลัยเอกชนไม่ต้องเสียภาษี

อย่าง ไรก็ตาม ป.ป.ช.เสียงข้างน้อยเห็นว่า ถ้า ป.ป.ช.วินิจฉัยออกมาในแนวทางดังกล่าว ต่อไปรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลมหาวิทยาลัยเอกชน เมื่อพ้นจากตำแหน่ง ก็สามารถไปเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเอกชนได้

ผู้สื่อรายงานว่า มติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังกล่าว ขัดแย้งกับมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ 65/2551 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งมีความเห็นว่า

สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็นธุรกิจเอกชนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลควบคุมหรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐ การดำรงตำแหน่งเป็นนายกสภาสถาบัน หรือกรรมการสภาสถาบันของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น ถือว่า เป็นกรรมการในธุรกิจของเอกชน ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลควบคุมหรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ

นอกจากนั้น การดำเนินการบางอย่างของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เช่น การอนุมัติแผนการเงิน งบดุล งบการเงินประจำปีของกองทุนประเภทต่างๆ การอนุมัติ การรับนักศึกษา การให้ประกาศนียบัตร อนุปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือปริญญากิตติมศักดิ์แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยสภาพของผลประโยชน์ อาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ของทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ
ดังนั้น หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน หรือกรรมการสภาสถาบันในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จึงเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 และต้องห้ามมิให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน และกรรมการสภาสถาบันในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ภายหลังพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วไม่ถึงสองปีด้วย ........

ความเห็นจากชาวเวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน

คุณตระกองขวัญ
อ่าน รายละเอียดดูแล้วจะรู้สึกได้ว่า งานนี้มันเป็นการพยายามตีความ เพื่อช่วยเหลือเอื้ออวยกันชัด ๆ แล้วมาตรฐานความเที่ยงธรรมอยู่ไหน ? จะให้ประชาชนเชื่อถือได้อย่างไร ? หรือถือว่าไม่อาย ไม่ด้าน ทำงานให้เข้าเป้าเป็นหลัก แล้วบ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไร ?

ผม คิดว่า ที่กลับลำแบบนี้ เพราะถ้าชี้มูลออกมาว่า ผิดกฎหมาย ปปช. มาตรา 100 มันก็จะไปอีหรอบเดียวกันกับทักษิณ ทักษิณโดนไป 2 ปี คนนี้ก็ต้องโดนด้วย จะรอลงอาญาก็ไม่สนิท มันก็เลยต้องกลับลำ ตีความออกมาแบบนี้ อีกอย่าง หากตีความว่าผิด มันจะโยงและพัวพันไปอีกหลายเรื่อง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่สอนในมหาวิทยาลัยเอกชน แล้วตัดสินให้สมัครหลุดเก้าอี้

ว่าแต่ว่า ป.ป.ช. ครับเรื่องจารุวรรณ เมณฑกา ไปถึงไหนแล้ว คงไม่ดองจนแก่ตายหรอกนะ

คุณ Jampoon
ก็เขาไม่ได้วินิจฉัยโดยใช้พจนานุกรมแบบศาลนี่ แต่วินิจฉัยแบบศรีธนญชัย เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ ป.ป.ช.

คุณ Namtoa08
ทำ ใจครับ ประเทศไทยยามนี้ จะทำให้คนเล่นตามกติกาที่วางไว้ หายากครับ ต่างคนต่างใช้มาตรฐานโดยเอาตัวเอาพวกเป็นที่ตั้ง อำนาจอยู่ในมือแล้วนี่ จะทำอะไรก็ได้ เศร้าใจจริง ๆ กับองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ถ้ายังเป็นอย่างนี้มีแต่พัง

คุณกิจ กังวาน
เรื่อง นี้เปรียบเทียบได้หมดล่ะครับ กับสิ่งที่เกิดขึ้น มันชี้ให้เห็นถึงมาตรฐานกฎหมาย สำหรับพวกเอ็งกับพวกข้า.!!!!! แล้วจะทนกันไปอีกสักกี่น้ำเล่าหนอ ..พี่น้องเอย ?????


สีหนุเข้าถึงธรรมอริยะสัจ4 ขอสวรรคตให้เร็วที่สุด


อริยะสัจสี่-พระ ฉายาลักษณ์ล่าสุดของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชาเมื่อวันที่2กันยายนที่ผ่านมา เสด็จฯ กลับไปจีนเพื่อทรงรับถวายการตรวจพระสุขภาพ แม้พสกนิกรพากันอวยพรให้พระชนมายุยิ่งยืนนานนับ100ปี แต่ด้วยพระพลานามัยที่ถูกรุมเร้าด้วยโรคภัยหลายโรค พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาบันทึกว่าปรารถนาจะเสด็จสวรรคตในเร็ววันที่สุด โดยที่ไม่ต้องทรงทำอัตวินิบาตกรรม ซึ่งขัดกับหลักพุทธศาสนา


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา เวบผู้จัดการ
9 ตุลาคม 2552

สมเด็จ พระนโรดมสีหนุ ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จสวรรคตในเร็ววัน โดยทรงระบุในพระราชหัตถเลขาชิ้นใหม่ ฉบับลงวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า เสียงแซ่ซร้องอวยพรให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานนั้น ไม่ได้ทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระราชหฤทัยเลยแม้แต่น้อย



สมเด็จพระนโรดมสีหนุ ทรงอ้างถึงพระราชบิดา คือ พระเจ้านโรดมสุรามฤทธิ์ ว่า เสด็จสวรรคตในขณะมีพระชนมายุเพียง 64 พรรษา ส่วนพระอัยกา คือ สมเด็จพระเจ้าศรีสุวัฒน์ นั้น สวรรคตในขณะมีพระชนมายุ 83 พรรษา

“แต่สำหรับข้าพเจ้า มีความปรารถนาจะสวรรคตโดยเร็ววัน เพราะข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่มายาวนานแล้ว” เป็นความส่วนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระสีหนุ ที่กำลังจะมีพระชนมายุครบ 87 พรรษาในปลายเดือน ต.ค.นี้

อดีตกษัตริย์แห่งประเทศกัมพูชา ได้เสด็จไปประทับอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ครั้งล่าสุดต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเข้ารับการตรวจพระวรกายตามนัดหมายของแพทย์จีนที่ถวายการรักษา

ในพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ ยังทรงบรรยายถึงความรู้สึกของพระองค์ไว้อีกว่า “ช่วงชีวิตที่ยาวนานของข้าพเจ้านี้เหมือนกับน้ำหนักที่ไม่สามารถจะแบกรับได้ ไหว”

นอกจากนั้น พระองค์ยังได้ทรงขอบใจเหล่าพสกนิกรที่ภักดีต่อพระองค์ ที่ถวายพระพรแด่พระองค์ให้พระองค์นั้นทรงมีพระชนมายุยืนยาวมากกว่า 100 พรรษา แต่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น

สมเด็จพระนโรดมสีหนุ ทรงต้องทนทุกข์อยู่กับพระอาการประชวรจากโรคต่างๆ ทั้งมะเร็ง เบาหวาน และความดันพระโลหิตสูง ในเดือน ต.ค.2547 ได้สละราชบัลลังก์ให้กับพระโอรสของพระองค์เนื่องจากอาการประชวร และทรงมีพระชนม์พรรษามากแล้ว

อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชา ยังคงแสดงความคิดเห็นเรื่องราวต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ส่วนพระองค์อยู่เป็นระยะๆ แต่ทรงงดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของสมเด็จฯ ฮุนเซน มาเป็นเวลานานแล้ว และ ทรงเปลี่ยนมาเป็นยกย่องแทน

ระหว่างประทับในเมืองเสียมราฐเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา สมเด็จพระสีหนุ โปรดฯ ให้ท่านผู้หญิงบุนรานี-ฮุนเซน เข้าเฝ้าฯ และทรงถวายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 5,000 ดอลลาร์ แก่ภริยาของนายกรัฐมนตรีฐานเป็นผู้ช่วยเหลือพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของ พสกนิกรมาตลอด และ ยังพระราชทานอีก 5,000 ดอลลาร์ ให้แก่สภากาชาดกัมพูชาอีกด้วย

ไม่นานก่อนหน้านี้ สมเด็จฯ สีหนุ ยังมีบันทึกยกย่องรัฐบาลสมเด็จฯ ฮุนเซน ที่ป้องกันปราสาทพระวิหาร มิให้ตกเป็นของ “ผู้รุกราน” และยังทรงสรรเสริญทหารที่ประจำการบริเวณชายแดน ที่เสียสละอย่างสูงในการป้องกันเอกราชอธิปไตยของประเทศ

“หลายคนไม่รู้ว่าข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไร เพื่อร่วมชาติจำนวนมากมายได้อวยพรให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนกว่า 100 ปี ท่านสุภาพบุรุษสุภาพสตรีที่รักเหล่านี้ หลายคนยังอวยพรให้ข้าพเจ้าอยู่ไปถึง 300 ปี!!” สมเด็จพระสีหนุ กล่าว

“ด้วยความนับถือและความรัก โดยปราศจากการเสแสร้งใดๆ ข้าพเจ้าขอขอบใจเพื่อนร่วมชาติเหล่านี้”

“แต่ด้วยความสัตย์จริงและปราศจากการเสแสร้ง ข้าพเจ้าอยากจะขอให้ทุกๆ คน (ทั้งที่เป็นชาวเขมรและชาวต่างชาติ) ได้รับรู้ว่า คำอวยพรที่อยากจะให้ข้าพเจ้ามีอายุอยู่ไปอย่างยืนยาวต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าพึงพอใจเลย สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ ก็คือ ตายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่ล่วงละเมิดพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงห้ามการทำอัตวินิบาตกรรม” อดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชาทรงระบุในบันทึก

ในเดือน พ.ค.ปีนี้สมเด็จพระสีหนุ ทรงมีพระราชหัตถเลขาอีกฉบับหนึ่งกล่าวถึงการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งหลายชนิด ที่แพทย์จีนต้องถวายการรักษาสัปดาห์ละหลายครั้ง รวมทั้งการทำเคมีบำบัดด้วย

อีกฉบับหนึ่งในเดือน ธ.ค.2551 สมเด็จพระสีหนุ ทรงบอกเล่าเกี่ยวกับพระอาการประชวร และทรงพระชราภาพ และทรงตระหนักดีว่าใกล้จะสิ้นพระชนม์ชีพ พร้อมทั้งขอบคุณความเอื้อเฟื้อของมหามิตรจีนที่ถวายการรักษาด้วยนายแพทย์ พยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนยาดีราคาแพงจากต่างประเทศ

หลักธรรมในพระ พุทธศาสนานั้นกล่าวว่ามนุษย์ปุถุชนย่อมวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรืออริยะสัจ4เป็นปกติอนิจจัง ยกเว้นแต่จะหันเข้าทางพระพุทธศาสนาชั้นสูงขึ้นคือการนิพพานให้พ้นไปจาก วัฏจักรนี้ แต่ก็กล่าวว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาปมหันต์ เช่นกัน


สนนท.ย้ำพธม.เลิกหน้าด้านโมเมวีรชน7ตุลา


อย่างหนา-เวบ ไซต์ASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงผู้ก่อการร้ายพันธมิตรยังโหมโฆษณาชวนเชื่อมาหลายวันเรื่องจัดงาน "๗ตุลารำลึกวีรชน"ทั้งที่สหพันธ์นิสิตนักศึกษาประกาศไม่ยอมรับมาตั้งแต่ ปีกลายมายันปีนี้


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา ข่าวสด
9 ตุลาคม 2552

สนนท.ย้ำไม่ยอมรับ 7ต.ค.ทมิฬของพันธมิตรเป็นวันวีรชน

เมื่อ วันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา นายอนุธีร์ เดชเทวพร เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรประกาศให้วันที่ 7 ต.ค. เป็นวันวีรชน หรือวันประชาธิปไตย ว่า สนนท.และเครือข่าย ไม่อาจยอมรับการประกาศดังกล่าวได้ เพราะการเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรตลอดปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นประชาธิปไตย แม้จะยืนยันว่าเป็นการต่อสู้เพื่อการเมืองใหม่ แต่ข้อเรียกร้องกลับเป็นการถอยหลังกลับไป ให้ระบบอำมาตย์กลับมาใช้อำนาจนอกระบบอีกครั้ง

รวมถึงข้อเสนอให้ แต่งตั้งส.ส.โดยไม่ผ่านการคัดกรองจากประชาชน จึงไม่ได้เป็นไปตามขบวนการประชาธิปไตย แม้กลุ่มพันธมิตรจะต่อสู้เรียกร้องจนเกิดความสูญเสีย สนนท.มีความเห็นใจและเสียใจที่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น แต่เมื่อการเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยจึงไม่อาจยอมรับการ ประกาศดังกล่าวได้ ในความเห็นของสนนท.และเครือข่าย วันประชา ธิปไตยในเดือนตุลา มีเพียงวันที่ 6 และวันที่ 14 เพียง 2 วันเท่านั้น

นักศึกษาออกโรงมาตั้งแต่7ต.ค.51แล้วเตือนอย่าโมเมเป็นวีรชน

ก่อน หน้านี้ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย และองค์กรแนวร่วมนักศึกษา ได้ออกแถลงการณ์ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ไม่ยอมรับการก่อความรุนแรงของพันธมิตรว่าเป็นวีรกรรมเดือนตุลา ไม่ยอมรับการบิดเบือนแอบอ้างให้เป็นวีรชน เพราะพันธมิตรทำในสิ่งที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของวีรชนเดือนตุลา ดังแถลงการณ์ดังต่อไปนี้


แถลงการณ์
เครือข่ายนิสิตนักศึกษาผู้ห่วงใยในประชาธิปไตย



เนื่อง จากสถานการณ์การปะทะกันเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เป็นที่น่าเป็นห่วงแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั้งผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

การ ชุมนุมเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตามกระบวนการของกฏหมาย เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย หากแต่ทว่าต้องอยู่ในขอบเขตของการแสดงออกทางความคิดเห็นและข้อเรียกร้อง ซึ่งกรณีการปิดล้อมรัฐสภาที่กำลังจะทำหน้าที่ตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญที่ได้ดำเนินไปได้โดยปกตินั้น เป็นการกระทำที่เกินกว่าขอบเขตของการชุมนุม และเป็นการยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นความรุนแรงจึงเกิดขึ้นอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้สถานการณ์มีความคลี่คลายในระดับหนึ่ง การใช้แก๊สน้ำตาเพื่อควบคุมจึงมีความจำเป็นไม่เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เนื่องจากพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมต้องการเย้ยหยันอำนาจรัฐและ ละเมิดกฎหมาย โดยการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าต้อง ปฏิบัติ อันได้แก่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และยังบุกรุกสถานที่ราชการอย่างอุกอาจเสมอมา แต่ทั้งนี้การกระทำของรัฐต้องตราบที่ไม่เป็นการใช้มากเกินกว่าเหตุโดยจงใจ ให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิต

ซึ่งกรณีของการมีการใช้ระเบิดซึ่งมี เศษแก้วยังเป็นที่คลุมเครือไม่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ใช้กันแน่จึงเป็นการสมควร ที่ทางการและผู้เกี่ยวข้องจะต้องออกมาตรวจสอบโดยเร็วที่สุด การที่มีตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกเสาปลายธงแทงก็เป็นการแสดงให้เห็น ว่าความรุน
แรงได้ถูกใช้อย่างไร้สติแล้วในที่สุด

เพื่อการคลี่คลายสถานการณ์ให้เป็นไปได้โดยดีต่อทั้งระบอบประชาธิปไตยและความปลอดภัยต่อชีวิตทรัพย์สินของประชาชน เราขอเรียกร้องดังนี้

๑.ขอให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ใช้สติทบทวนตนเองและแนวทางที่ตนเองทำ และยุติการปิดล้อมรัฐสภา เพื่อให้สถานการณ์ที่มีแนวโน้มรุนแรงมีความคลี่คลายลงมาในระดับที่เหมาะสม

๒.ขอให้รัฐบาลมีการตรวจสอบการใช้กำลังทั้งของกลุ่มพันธมิตรฯ และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในเหตุการณ์วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ให้ละเอียดแน่ชัด โดยการมีส่วนร่วมขององค์กรกลาง เพื่อความชัดเจนและการหาคนผิดมาลงโทษได้โดยกระบวนการยุติธรรม

๓.ทั้ง นี้เพื่อแสดงออกถึงการเคารพกฎหมายบ้านเมือง ขอเรียกร้องให้แกนนำการชุมนุมที่ผ่านมาทุกฝ่ายเข้ามอบตัวเพื่อเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม ตามหลักการอารยะขัดขืนที่ผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายยกขึ้นอ้าง

๔.ขอให้มีการเจรจากันจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและรัฐบาล เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย

๕.ใน เหตุการณ์ครั้งนี้ มีการแอบอ้างเหตุการณ์เดือนตุลาฯ ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยมาใช้ เราขอเรียกร้องให้หยุดการกระทำดังกล่าว เนื่องจากประวัติศาสตร์เดือนตุลาฯ คือการเคลื่อนไหวของประชาชนที่เป็นการเรียกร้องภายในหลักการของกฏหมายอย่าง แท้จริง ไม่ใช่โดยใช้กำลังหักหาญช่วงชิงอย่างดื้อรั้น และเป็นการอยู่ภายใต้การเคารพเสียงของคนส่วนใหญ่อย่างยิ่ง ซึ่งผิดกับสิ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังทำอยู่


๖.ขอ ให้ผู้ที่ประสงค์จะเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย โปรดใช้สติปชัญญะไตร่ตรองด้วยเหตุและผลในการที่จะเข้าร่วมการชุมนุม ว่า แนวทางของกลุ่มพันธมิตรฯ ถูกต้องเหมาะสม และสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยหรือไม่ โดยเฉพาะบรรดานิสิต นักศึกษา ซึ่งสามารถใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นพลังบริสุทธิ์ได้

๗.เพื่อ พิสูจน์ความเคารพในเสียงของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยจริง เราขอเรียกร้องให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งพรรคการเมือง ลง หาเสียงและให้การศึกษาแก่ประชาชนตามวิธีการประชาธิปไตย และลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าแนวทางพันธมิตรถูก ต้องแน่ชัดหรือไม่ ซึ่งจะเป็นการกระทำที่น่าชื่นชมว่ามีความเคารพในเสียงประชาชนเป็นอย่างยิ่ง

๘.ขอ คัดค้านการใช้อำนาจนอกระบบ เช่น การรัฐประหาร หรือการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ไม่ว่าจะด้วยโดยอำนาจของผู้ใด เพราะขัดต่อหลักการประชาธิปไตย และเป็นการแทรกแซงทางการเมืองที่ไม่อาจหาความชอบธรรมได้ไม่ว่าในมุมใดๆ

เรา มีความคาดหวังว่าสถานการณ์จะมีการคลี่คลายไปได้โดยดี โดยที่ทุกคนจะสามารถใช้สติสัมปชัญญะ ความคิดกันอย่างมีเหตุผล คำนึงและเคารพในเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ และการพัฒนาตามรูปแบบประชาธิปไตยให้ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมและกรอบของ กฏหมาย


ด้วยความสมานฉันท์และความห่วงใยต่อประชาธิปไตยไทย
๗ ตุลาคม ๒๕๕๑



ทั้งนี้โดยรายนามดังต่อไปนี้


เสียงส่วนหนึ่งในองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
ฝ่ายการเมือง องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ชมรมนักสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กลุ่มราษฎรเดินนำ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

00000000000
อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง

-หมายเหตุ7ตุลา:วีรชนร่ำไห้ในหลุมศพ

-วันสะตอบอแหลแห่งชาติ

-ย้อนรอยสมรภูมิเลือด7ตุลาทมิฬ..ใครทมิฬ?

7ตุลารำลึกวีรชนตัวจริงที่ถูกลืม:จำกัด พลางกูร

-อภิสิทธิ์ - พธม. ... สองมาตรฐานที่มีจริง ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

-จากใจจริงของคนไทยที่อยู่ในต่างแดน !!!


‘เพลงชาติไทย’ กับรัฐบาล “แดกได้-แดกดี”

โดย คุณวาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ที่มา เวบไซต์ vattavan
10 ตุลาคม 2552

ท่ามกลางกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพี่น้องประชาชนชาวไทย ถึงความไม่ชอบธรรม ในการดำเนินการตามแผนต่างๆ ของรัฐบาล

ตั้งแต่ โครงการที่ชาวบ้านเขาขมขื่น แต่ถูกเรียกอย่างขำขัน ว่าเป็น “โครงการ-แดกไม่พอเพียง” จนเป็นเหตุให้พรรคดักดาน ของนายมาร์คมุกควาย จำต้องแก้ไขด้วยการเล่นละครกลบเกลื่อน ด้วยการให้สมาชิกที่มีข่าวไปพัวพันการทุจริต ออกไปจากพรรคพอเป็นพิธีแล้ว นั้น

พฤติกรรม “แดก” อย่างไม่เคยพอเพียง เพราะอดอยากปากไหม้มานาน ก็ไปปรากฏเป็นเรื่องอัปรีย์ โผล่หางแดงโร่ โชว์ชาวบ้านขึ้นมาอีก

คราว นี้เกิดที่กระทรวงคุณหมอ เพราะกลุ่มแพทย์เขาอดรนทนไม่ได้ ดาหน้าออกมาแฉโครงการก่อสร้างและจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่บรรดาไฮยีน่าจอมตะกละตะกลาม ทั้งตัวเมียและตัวผู้ สุมกบาลวางแผนการ เขมือบงบประมาณเอาไว้อย่างแยบยล จนกลุ่มหมาในพันธ์กาลี ต้องถอนตัวออกไปแบบ “ยกฝูง” คงเหลือแต่ไอ้ “จ่าฝูง” หัวโจก ยังนั่งหน้าทนอยู่บนหิ้ง ซึ่งกลุ่มคุณหมอและชาวบ้านที่สนใจ ก็กำลังดูอยู่ว่า มันจะ “ด้าน” ไปได้อีกสักกี่น้ำกัน!

ข่าวฉาวระยำโฉ่อย่างนี้ ทำให้ผู้คนและสื่อมวลชนต่างๆ เขาจับทางได้แล้ว ถึงกับพูดกันขรมไปว่า บ้านเมืองเรานี้ช่างอาภัพนัก เพราะต้องมาเจอนักกินเมือง ที่มีพฤติกรรมเหมือนฝูงเปรตที่หิวโหย คอยสูบเลือดสูบเนื้อบ้านเมือง ทั้งๆ ที่สยามประเทศยามนี้ ก็เสมือนคนป่วยที่ผอมแห้งแรงน้อย จนแทบจะทรงกายไม่ได้อยู่แล้ว

การเผยแพร่ข่าวสารอันไม่เป็นมงคล แถมยังอุดมด้วยการทุจริตชั่วช้า หลุดออกไปสู่การรับรู้ประชาชนอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง สร้างความตกต่ำให้กับพรรคดักดานและรัฐบาลโลซก จนถูกวิจารณ์อย่างประชดประชันว่า เป็น “รัฐบาล...แดกได้-แดกดี!”

ความตกต่ำอย่างที่เล่ามา ส่งผลไปถึงตัว มิสเตอร์มาร์ค มุกควาย หัวหน้ารัฐบาลต้องเบ้หน้า เพราะเรทติ้งจากโพลหลายสำนัก แสดงให้เห็นว่า เจ้าตัวได้รับ “เรทต่ำ”

เพราะโพลสำนักต่างๆ ดันทะลึ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า นายมาร์ค มุกควาย คนนี้ ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน อย่างที่พยายามโฆษณากัน เพราะผลสำรวจครั้งล่าสุด ความนิยมก็หล่นฮวบ เหลือไม่ถึงครึ่ง เป็นนักเรียนก็...สอบตก!

ที่แย่ที่สุด คือ เมื่อเขาจับไปเปรียบเทียบความนิยม ระหว่างนายมาร์คกับนายกฯทักษิณ คนที่ไปอยู่นอกประเทศนานแล้ว แต่ผลกลับปรากฏออกมาว่า มิสเตอร์มุกควาย กลับตกเป็นฝ่าย... พ่ายแพ้ทุกๆ โพล!!

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ขนาดเจ้าตัวเป็นรัฐบาลและมีอำนาจเต็ม แถมยังทุ่มเทเงินหลวง คืองบประมาณของชาติ ไปใช้ เพียงเพื่อการโฆษณาทั้งตัวเองและพรรคดักดานอย่างมากมาย แต่กลับไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง

นายมาร์ค มุกควาย จึงไม่มีทางเลือกอีกต่อไป นอกจากต้องด้านหน้าลากรัฐบาล ผุๆ พังๆ ไปให้ได้นานที่สุดเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงว่า ประเทศจะตกต่ำ ตนและพรรคจะเป็นที่รังเกียจของผู้คน

ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เหตุอื่นเลย หากเป็นเพราะ.... เพื่อมีโอกาสใช้งบประมาณ กันอย่างมันมือต่อไปอีก ระหว่างนี้ต้องหลีกเลี่ยงพูดถึง “การเลือกตั้ง” อย่างเด็ดขาด!!!

กลยุทธ์ที่รัฐบาลโลซกของนายอภิแสบ หยิบมาใช้ในการหันเหความสนใจของผู้คน ออกไปจากเรื่องบ้านเรื่องเมือง คือการใช้ “มุกควาย”

อย่าง มุกโครงการร้องเพลงชาติตอนเย็น ซึ่งเป็นเวลาเชิญธงชาติลงจากเสา โดยให้ประชาชนจังหวัดต่างๆ ร่วมร้องเพลงเรียงตามลำดับอักษรของจังหวัด ตั้งแต่ “ก” คือกระบี่

ผู้คนเขาก็ไม่รู้ว่า ทำไมกะอีแค่ร้องเพลงชาติ จะทำให้ผู้คนในประเทศ หันหน้ามาสามัคคีได้อย่างไรกัน? ในเมื่อคนอย่างโฆษกส่วนตัว ของนายมุกควาย ก็ยังพูดทองแดงปร่าแปร่ง ยั่วยุ แหย่แยงตะแคงรั่ว ตอกย้ำ “ความแตกแยก” ให้ผู้คนในบ้านเมือง อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ผู้คนเขาก็ถือว่า นั่นเป็นการแสดงออกของนายมาร์ค หัวหน้ารัฐบาล เพียงแต่ยืมปากโสโครกของ “ไอ้เถบ” พูดแทนตัวนั่นเอง! จริงอย่างที่ผู้คนเขาสงสัย หรือเปล่าล่ะ? ...................................................


การถ่าย ทอดสดการร้องเพลงชาติไทย ตามตัวอักษรทีละจังหวัดนั้น ก็เหมือนกับทุกโครงการ ของรัฐบาลพรรคดักดาน ที่จะต้องมีเรื่องการใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัดเลยแม้แต่น้อย ตลอดจนมีกรณีใช้เงินหลวงอย่างผิดทิศทาง ทั้งยังมีเรื่องการทุจริตเข้าหูประชาชนคนไทยมิได้ขาด จนต้องพากันอุดจมูก ด้วยสะอิดสะเอียนต่อกลิ่นอายคอรัปชั่น ที่ตามมาหลอกหลอนพี่น้องร่วมชาติ ในทุกๆ โครงการของรัฐบาลของพรรคดักดานดำเนินการ จนผู้คนเขาต้องอุทาน ด้วยความแปลกใจว่า

“ไอ้พวกนี้มัน ‘แดก’ กันเก่งจริงๆ!” ได้ยินแล้ว ให้เศร้าใจยิ่งนัก!!

โครงการ “ห่วยๆ” อย่างเรื่องร้องเพลงชาตินี้ ก็ดันใช้เงินไปอีกหลายสิบล้านบาท บ้างก็บอกว่า ใช้เป็นค่ายิงสปอตโฆษณาเพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น บางคนก็บอกว่าเป็นร้อยล้าน แต่ผู้คนไม่สามารถล่วงรู้การปู้ยี้ปู้ยำเงินหลวง เพราะพรรคดักดาน ไม่กล้าเปิดเผยรายละเอียดของเงินที่ใช้จ่ายไป ให้กับประชาชนทราบแต่อย่างใด

นอก จากโครงการต่างๆ ของรัฐบาล จะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่โม้กันไว้แล้ว “มุก” เรื่องชวนชาวบ้านร้องเพลง อย่างที่รัฐบาลนายอภิแสบคิดขึ้นมา และผมระบุเอาไว้ในตอนต้นว่าเป็น “มุกควาย” นั้น

จึงอยากให้กระทรวง การต่างประเทศ เชิญท่านสมเด็จฮุนเซ็น ช่วยเป็นต้นเสียง ร้องเพลง “เขมรไล่ควาย” เพื่อเป็นเพลงนำ ในการไล่รัฐบาลของนายมาร์ค ที่มีเสนอแนวความคิดแบบ “กระบือๆ” อย่างนี้... ออกไปให้พ้น จากการบริหารประเทศของเรา เสียที! บ้านเมืองเราจะได้ปลอดคอรัปชั่น เจริญก้าวหน้าเหมือนชาติอื่นเขาบ้าง!!

ก่อนที่จะจบบทความในวันนี้ อยากจะกราบเรียนกับท่านผู้อ่านที่เคารพ ว่า การที่ให้ประชาชน ร่วมกันร้องเพลงในตอนเย็น ซึ่งเป็นเวลาเราเอาธงชาติลงจากเสา ผมดูแล้วมันพิกล เพราะหากจะถือกันในเรื่องโชคลาง ก็พอจะมองได้ว่า

ปกติ การที่เราชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา นั่นหมายความว่า เรามีอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นๆ แต่การชักธงลงจากยอดเสา มาพับเก็บนั้น ในบางโอกาส กลับหมายความถึงการที่เราจะถอนตัวออกจากการครอบครองดินแดน เช่น อังกฤษเอาธงยูเนี่ยนแจ๊คลง เมื่อวันมอบคืนเกาะฮ่องกงให้จีนแผ่นดินใหญ่ เป็นต้น

หรือแม้แต่ชาติเราเองก็มีตัวอย่างให้เห็น คือ... จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็สั่งเอาธงชาติไทยลงจากปราสาทพระวิหาร เมื่อประเทศของเรา ต้องต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้คดีในชั้นศาลโลก จำต้องคืนปราสาทพระวิหาร ให้กับกัมพูชา

ผมยังจำได้แม่นว่า ท่านจอมพลฯคนสะดือแตก พูดออกวิทยุด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “วันหนึ่งข้างหน้า ข้าพเจ้าจะเป็นคนไปชักธงชาติไทยขึ้นเสา เหนือเขาพระวิหาร ด้วยตนเองอีกครั้ง!”

น่าสงสาร... จอมพลคนเมียมาก ไม่เคยมีโอกาสกลับขึ้นไปชักธงไตรรงค์เหนือปราสาทเขาพระวิหาร เพราะตายด้วยโรคม้ามเสียก่อน หากท่านจอมพล “คนพันเมีย” อยู่มาถึงวันนี้ และมีโอกาสขึ้นไปบนเขาพระวิหาร ท่านก็จะได้เห็นเป็นที่ประจักษ์กับสายตาว่า บัดนี้ ใช่แต่ตัวปราสาทเปรี๊ยะวิหารเท่านั้น แม้แต่พื้นดินแผ่นทรายรอบองค์ปราสาท อาณาเขตพื้นที่ 4.2 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีข้อขัดแย้งกันเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือดินแดน

เดิมไทยกับเขมรเคยหาทางออกอย่างสันติ ถึงขั้นตกลงที่จะพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน

แต่... เมื่อมาถึงรัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งมีคนของพันธมาร ยึดกุมตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

แต่... ...พื้นที่บริเวณที่เคยเป็นปัญหากัน นั้น ถึงวันนี้... รัฐบาลกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซ็น ได้สถาปนาการปกครองเหนือดินแดนดังกล่าว ได้อย่างสมบูรณ์แบบและมั่นคงแข็งแกร่ง เรียบร้อยโรงเรียนขะแมร์ไปแล้ว

ทั้ง นี้เป็นเพราะ... ความไร้ฝีมือ ปนความโง่เง่าของนายกฯโลซก ที่บริหารบ้านเมืองล้มเหลว (เพราะทำงานไม่เป็น) กับไอ้รัฐบาล “แดกได้-แดกดี” นี่แหละ! จริงหรือเปล่าล่ะ!!?

เหตุ(เคย)เกิดที่พม่า


โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 19


ใน เวลาที่เขาเร้ากระแสชาตินิยมกันจนคลั่ง อย่างกรณีกัมพูชา ปราสาทพระวิหาร และฮุนเซ็นในขณะนี้ การแสดงความเห็นใดๆ ทำได้ยากยิ่ง เพราะกลัวจะถูกตีตราว่าไม่รักชาติหรือขายชาติ

คนส่วนใหญ่ ก็ต้องนั่งนิ่งสยบยอม จนบางครั้งเกิดสงครามลุกลามใหญ่โตคร่าชีวิตชาวบ้านและลูกชาวบ้านคือทหารไป ไม่รู้จักเท่าไหร่ ในขณะที่อำมาตย์คนสั่งนั่งสบายอยู่ที่เมืองหลวงและปลอดภัยดี

ความรักชาติ (patriotism) เป็นลัทธิเกิดใหม่ของโลกเมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง เมื่อเกิดการรวมกลุ่มประชากรขึ้นมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า ชาติ หรือ ประเทศ การรวมกลุ่มชนิดนี้เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า รัฐสมัยใหม่ (modern state) ที่แตกต่างอย่างมากจากรัฐแบบโบราณ ลัทธินี้ทำให้กลุ่มคนในแต่ละ “ชาติ” หรือ “ประเทศ” เกิดผูกพันกับสังกัดของตนอย่างลึกซึ้งแน่นแฟ้น จนเกิดแนวคิดเชิงปรัชญาขึ้นมาทั่วโลก เช่น ตัวตายดีกว่าชาติตาย สละชีพเพื่อชาติ “ความฝันอันสูงสุด” เป็นต้น

ลัทธิรักชาติคือต้นเหตุที่สำคัญของสงครามโลกทั้งสองครั้ง และเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับทุกคนที่อยากเป็นทหารด้วยอุดมการณ์

ถ้าจะเรียกเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็เป็นโปรแกรมที่ฝังลึกเข้าไปสมองอย่างถอดถอนแทบไม่ได้

อย่า กระนั้นเลย ขอเล่าเรื่องของไทยกับประเทศอื่น และเป็นเรื่องที่สามารถเทียบเคียงได้กับกรณีกัมพูชาจะดีกว่า เพราะพูดเรื่องปัจจุบันคงมีคนไม่สบอารมณ์เอาง่ายๆ

เรื่องนี้เกิดขึ้นและจบลงเมื่อไม่นานปีมานี้ นั่นคือในขณะที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก ฉากเปื้อนเลือดของกรณีนี้ไม่ใช่ราชอาณาจักรกัมพูชาแต่เป็นสหภาพเมียนมา ร์หรือพม่า และมีความเกี่ยวพันลึกซึ้งกับระบอบอำมาตยาธิปไตยของไทยที่สั่งการให้เปิดศึก กับกัมพูชาเที่ยวนี้ล่ะครับ

ฟังแล้วจะได้ทราบทั่วถึงกันว่า ฝ่ายอำมาตย์ของไทยเขาคิดอะไรกับเพื่อนบ้าน และเขาก่อปัญหากับคนที่เขาไม่ชอบและจะกดหัวให้ต่ำกว่าเขาอย่างไร

จู่ๆ ในคืนหนึ่งของปีใดคงไม่ต้องระบุชัด ก็มีเครื่องบินลำเลียงทางทหาร C-130 ร่อนลงในพื้นที่ที่ใกล้กับตะเข็บชายแดนไทย-พม่า และมีทหารไทยจำนวนหนึ่งกรูออกมาพร้อมอาวุธครบมือ ทหารเหล่านี้แต่งกายด้วยชุดสีดำที่ไม่ใช่เครื่องแบบในราชการทหารไทย แต่เป็นชุดของชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่สู้รบกับรัฐบาลพม่ามาหลายสิบปี

จากนั้นก็เข้าตีที่ทำการของทหารพม่าในพื้นที่อย่างรุนแรง ทั้งด้วยอาวุธประจำกายและอาวุธหนัก จนทหารพม่าที่ไม่ได้ตั้งตัวจนล้มตายไปเป็นจำนวนร้อยๆ นาย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ผู้นำอาวุโสลำดับสองของพม่า พลเอกหม่องเอ กำลังเดินทางเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของนายก ทักษิณฯ อยู่ด้วย

ความต้องการก็คือแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับเพื่อนบ้านที่รัฐบาลเลือกตั้งในขณะ นั้นกำลังขยายสัมพันธไมตรีในทุกด้านเพื่อให้ประชาชนของประเทศได้รับประโยชน์

พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ คือผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น

พลโทวัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ คือแม่ทัพกองทัพภาคที่ ๓ ในขณะนั้น

กล้าสร้างเหตุการณ์นองเลือดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ เลยกับการปกป้องรักษาแผ่นดินไทย เพราะไทยกับพม่ามิได้มีปัญหาใดๆ เป็นพิเศษระหว่างกันในช่วงนั้นเลย เพียงเพื่อการแสดงออกว่าอำมาตย์ไทยต้องการเป็นศัตรูตลอดชาติกับพม่าและไม่ ยอมให้นายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกมาอย่างท่วมท้นคนใดเข้ามาเปลี่ยนสภาพ ศัตรูให้กลายเป็นมิตรเป็นอันขาด

ฆ่าคนเขาตายเป็นเบือเพียงเพื่อเอาใจใครบางคนที่ถูกฝังชิปไว้ในหัวให้เกลียดเพื่อนบ้านราวกับคนที่มีปัญหาทางจิตเข้าขั้นอาละวาด

ไม่ต่างอะไรนักจากความเกลียดชังเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออกอย่างในขณะนี้

กรรมสิทธิ์เรื่องปราสาทพระวิหารและอาณาบริเวณกลับกลายเป็นเรื่องรอง

เรื่องหลักคือความแค้นอันสุนทรที่เป็นแผลเรื้อรังมาหลายสิบปีและยังเสียหน้า อย่างสาหัสมาจนทุกวันนี้ จนถึงขั้นสั่งการให้ “สร้างเรื่อง” ให้จงได้ โดยเริ่มจากการจุดไฟใส่ประเด็นโดยพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง ตามด้วยการทำงานของทหารบางส่วนในกองทัพภาคที่ ๒ เพื่อสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง เช่น วางกับระเบิดในพื้นที่ทับซ้อน เคลื่อนกำลังเข้าประชิดชายแดน เป็นต้น

ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ถึง กับเอาทหารชุดดำจำนวนหนึ่งใส่เฮลิคอปเตอร์ไปไล่ยิงชาวบ้านของฝ่ายตรงข้ามจน เกิดข่าวว่าเด็กหนุ่มอายุเพียง ๑๖ กับ ๑๗ ปีต้องตกเป็นเหยื่อและคนหนึ่งถูกเผาทิ้งจนหาศพแทบไม่ได้

พอผู้นำฝ่ายเขาต่อว่าต่อขานแรงๆ ก็เอาท่อนคำพูดที่ฟังแล้วสะเทือนใจที่สุดมาฉายแล้วฉายอีกให้คนไทยทั้งประเทศโกรธ

เพราะคนทำเขารู้ดีว่าเรื่องของความรักชาตินั้นทะลุทะลวงได้ทั้งฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลือง

ใครกำลังจะถึงคราวเคราะห์เหมือนอำมาตย์ไทยในช่วงนี้ อาจต้องคิดถึงเล่ห์กระเท่แบบนี้ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

เรื่องพม่านั้นจบลงตรงที่ว่า คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีขอย้ายผู้นำฝ่ายทหารฐานที่ปฏิบัติการขนาดนี้แล้วยัง ไม่แจ้งผู้บังคับบัญชา แต่กลับถูกห้ามและสั่งให้ไปโยกย้ายเอาในช่วงก่อนเดือนตุลาคมซึ่งเป็นฤดู กาลปกติธรรมดาเพื่อรักษาหน้า นายกรัฐมนตรีคนนั้นก็เลยต้องกลืนเลือด

ตอนหลังไม่ยอมอนุมัติงบเติมน้ำมันให้กับรถถังที่ไปปฏิบัติภารกิจหาเรื่อง เพื่อนบ้านกลับมาก็ถูก “โกรธ” จากผู้มีอำนาจตัวจริงของประเทศอย่างหนัก

เห็นไหมครับว่าผู้ปฏิบัติการลับครั้งนั้นเขากล้าทำเพราะอะไร

ก็เพราะเขาได้รับคำสั่งโดยตรงมาให้ทำ และคนที่สั่งก็อยู่ในฐานะที่ปกป้องคุ้มครองคนที่ทำได้ ไม่ว่าจะขัดนโยบายของรัฐบาลหรือจะผิดกฎหมายกี่ข้อกี่กระทงก็ตาม

เรื่องกัมพูชาไม่มีอะไรเล่าเพิ่มเติม นอกจากจะบอกว่านี่แหละคือนโยบายต่างประเทศที่สม่ำเสมอและต่อเนื่องของระบอบ อำมาตยาธิปไตยไทย

ดูกันเอาเองเถิดครับ.


-----------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าว สารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)


เสื้อแดงปฏิบัติการฝ่าด่านขับไสนายกฯหุ่นเชิด


เรื่อง-ภาพโดย kompong
ที่มา บอร์ดประชาไท10 ตุลาคม 2552

วันนี้ (10ต.ค.)กลุ่มเสื้อแดงอุบลฯทุกกลุ่มร่วมกับพี่น้องเสื้อแดงจากศรีสะเกษ ยโสธร อุดรธานีของคุณขวัญชัย วันนี้เรารวมพลังเป็นหนึ่งเพื่อไปต้อนรับนายกมาร์ค ที่ศูนย์ภูมิปัญญาชาวบ้าน ในบริเวณสหกรณ์ปากมูลจำกัด อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลฯ

หนุ่มมาร์คได้ให้คนไปพายายไฮมารอรับเงิน4.9ล้านที่ นี่แล้ว สาเหตุที่ไม่ไปมอบเงินให้ที่บ้านยายไฮก็เพราะว่า อำเภอนาตาลบ้านแกไม่ใช้ถิ่นของปชป.

วันนี้มีทุกรสชาติเหนื่อยสุดๆเลย แต่ก็คุ้ม ไอ้มาร์คหนีแบบหางจุกตูดเลย

หก โมงเช้า เราเตรียมตัวออกเดินทางจากหน้าศาลากลางจังหวัด มุ่งหน้าไปอำเภอพิบูลมังสาหาร จุดหมายคือสหกรณ์ปากมูล จำกัด ซึ่งอยูห่างจากตัวเมืองอุบลประมาณ 60 กม.


ขบวนเริ่มเคลื่อน




เจอด่านแรกมองเห็นแต่ไกลอยู่หัวสะพานข้ามแม่น้ำมูล อ.พิบูลฯ

เริ่มมีการผลักดันกันพอเป็นพิธี สักพักตำรวจก็ปล่อยให้ผ่านไปด้วยดี

จุดนี้คือด่านที่โหดที่สุดในวันนี้ มีรถห้องขัง 3 คัน รถสิบล้อบรรทุกหินและทรายอย่างละคัน

ผ่านด่านรถสิบล้อมาได้ด้วยความทุลักทุเล แต่ก็ไม่เกินความสามารถของคนเสื้อแดง

ด่านที่สองอยู่กลางสะพาน


ปลายสะพานยังมีอีกด่าน


หลังจากผ่านด่านบนสพานมาแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย เหลืออีกประมาณ10ก.ม.

ก่อนจะถึงเป้าหมายไม่ถึง2ก.ม. เจอด่านอีก

ที่สุดเราก็ถึงจุดหมาย แต่ไอ้คุณมาร์คขึ้นฮ.หนีไปแล้ว


คน นี้ดูท่าทางจะเป็นการ์ดของเขา เห็นยืนสังการอยู่ในกรง ชาวบ้านส่วนใหญ่ทยอยกลับไปมากแล้ว แต่เสียงเครื่องขยายยังประกาศอยู่เป็นระยะว่า เรามาปกป้องสถาบัน

เสื้อน้ำเงินภูมิใจไทย จะอยู่กันเป็นกลุ่มๆ

ทำกิจกรรมเสร็จเราก็เดินทางกลับที่ตั้ง แล้วจะไปต่อที่ยโสธร ส่วนผมวันนี้ไปใหนต่อไม่ไหวแล้วเมื่อยสุดๆเลย ขอบคุณครับทุกท่าน