CBOX เสรีชน

30 มกราคม, 2552

เผยอีกรายผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ เป็นหญิงสาวอายุ 26

ประชาไท

30 มกราคม 2552 ที่ห้องพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 5 กอง บังคับการปราบปราม นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการเว็บไซต์ประชาไท ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน พ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร พนักงานสอบสวน (สบ2) ตามหมายเรียกพยานในคดีอาญา กรณี “หมิ่นเบื้องสูง” ระหว่าง พ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร ในฐานะผู้กล่าวหา กับ น.ส....... ผู้ต้องหา (ขอสงวนนาม)



ทั้งนี้ นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข ได้เปิดเผยภายหลังการเข้าพบว่า การเข้าพบครั้งนี้เป็นการให้การตามหมายเรียกพยาน ลงวันที่ 26 มกราคม 2552 ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของ ส่วนงานต่างๆ ของเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งได้ให้การไปว่า เว็บไซต์ประชาไทได้มีสองส่วนหลักคือส่วนที่ทำหน้าที่เสนอข่าวที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจำวัน ซึ่งรับผิดชอบโดยกองบรรณาธิการ และส่วนที่เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือเว็บบอร์ดเพื่อส่งเสริมการแลก เปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของประชาไทรับผิดชอบในการดูแล มิให้เกิดการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย ซึ่งบุคลากรในประชาไทได้ให้ความสำคัญและระมัดระวังอยู่แล้ว



นอก จากนี้ บรรณาธิการเว็บไซต์ประชาไท ได้สอบถามกลับไปเพื่อทำความรู้จักผู้ต้องหาว่าเป็นใครมาจากไหน เนื่องจากได้รับหมายเรียกให้เป็นพยาน พนักงานสอบสวนได้เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาที่มีชื่ออยู่ตามหมายเรียกดังกล่าวได้เข้ามาโพสต์ในเว็บไซต์ประชา ไทเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ในชื่อว่า “บ็อฟฟาโล่ บอย” ซึ่งได้สืบสวนพบว่าเป็นเพศหญิง อายุ 26 ปี บุคลิกเรียบร้อย ครอบครัวมีฐานะ ต่อมาได้เข้าทำการจับกุม เมื่อนายชูวัสสอบถามความคืบหน้าทางคดี พนักงานสอบสวนเปิดเผยว่า ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาล ซึ่งในชั้นต้นศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ต่อมาผู้ต้องหาได้ยื่นอุทธรณ์และได้รับการประกันไปในที่สุด



จาก การสอบถามถึงข้อมูลของผู้ต้องหาคดีนี้เพิ่มเติมกับน.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลเว็บบอร์ด นางสาวจีรนุช เปิดเผยว่า ในระบบทะเบียนของประชาไทไม่มีผู้ใช้นามว่า “บ็อฟฟาโล่ บอย” เป็นไปได้ว่า ผู้ต้องหาอายุ 26 ปีรายนี้จะเป็นผู้อื่นที่นำข้อความของผู้ใช้นามว่า “บ็อฟฟาโล่ บอย” มาโพสต์ไว้มากกว่า ซึ่งความชัดเจนคงไม่สามารถหาได้ เนื่องจากคดีในลักษณะนี้เจ้าหน้าที่สอบสวนมักจะเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็น ซึ่งทำให้สาธารณชนตรวจสอบการดำเนินคดีได้ลำบาก



อย่าง ไรก็ตาม ทันทีที่ได้รับหมายเรียกพยาน ประชาไทได้พยายามสืบหาผู้ต้องหารายนี้ และได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวในทัณฑสถานหญิงกลางว่า ผู้ต้องหารายนี้ได้รับการประกันตัวในวงเงิน 2 ล้านบาทไปเมื่อเร็วๆ นี้

'ณัฐวุฒิ'ของขึ้นจวก'เทือก'อย่าเมินคดีม็อบสามานย์

ประชาทรรศน์
30 ม.ค. 2009





'ณัฐ วุฒิ' สีบ'เทือก' ไร้ความชอบธรรมสั่งไล่บี้เสื้อแดง ตอกหน้ารบ.เร่งเอาผิดม็อบโกเต็กซ์ 'สุชาติ' เลือดขึ้นหน้าลั่นยอมไม่ได้ม็อบแดงเดือนเข้ายึดทำเนียบ ด้าน'เสื้อ แดงอุดร' ลั่นพร้อมลงกทม.วันนี้ จัดรถทัวร์ 8 คัน สมทบสนามหลวง'ขวัญชัย' ประกาศจุดยืน ไม่ขอสังฆกรรมสนามหลวง ย้ำไม่ขอตามรอยความเลวพันธมิตรฯ 'เทพเทือก'โว ตรึงกำลังเข้ม นปช.บุกทำเนียบไม่ได้แน่ เร่งสังการผบ.ตร.ห้ามเมินหน้าที่ ดำเนินการตามหลักสากล'พัชรวาท'เรียกทุกหน่วยรับมือคุมม๊อบเสื้อแดง 'ทักษิณ' อาสาเป็นกาวใจ ยกหูเคลียร์ ขวัญชัย-จตุพร!!

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ม.ค.) ที่ทำเทียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่จะเข้ายึดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่รู้สึกเป็นห่วงหรือกังวล แต่ไม่ได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรี กรณีกลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ว่า ได้สั่งการไปยัง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ชัดเจนว่า ต้องไประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเพื่อระดมกำลังมาควบคุมผู้ชุมนุม ไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าผู้ชุมนุมฝ่าฝืนกฏหมายต้องดำเนินการโดยเด็ดขาด ถ้าตำรวจไม่ดำเนินการก็ถือว่าละเลย

สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องขอกำลังทหารเข้ามาช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ได้กำชับกับทางตำรวจไปแล้ว ให้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งถ้ากำลังตำรวจไม่พอ ก็ขอกำลังทหารเข้ามาช่วยดูแลเพิ่มเติม ซึ่งสามารถทำได้เลย และเชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุรุนแรงจนมีผู้ชุมนุมบุกเข้ามาในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งทำให้ทรัพย์สิน เอกสารทางราชการได้รับความเสียหาย เหมือนสมัยการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ต้องดูแลอย่างเข้มแข็ง และเชื่อว่าจะไม่สามารถเข้ามายึดทำเนียบรัฐบาลได้ ซึ่งวันนี้ทาง ผบ.ตร.จะนัดฝ่ายตำรวจ ประชุมวางมาตรการดูแลการชุมนุม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในเวลา 14.00 น.

อย่างไรก็ตามรองนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า ได้กำชับตำรวจให้ทำตามกฎหมาย ตามมาตรฐานสากล ซึ่งตำรวจจะมีแนวทางการทำงานอยู่ และยืนยันไม่ได้มีการสั่งการให้ใช้ความรุนแรง และไม่มีการคาดโทษหากผู้ชุมนุมบุกเข้ามาในทำเนียบรัฐบาล แต่จะไม่ยอมให้ตำรวจละเลยไม่รักษากฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องมีการจับกุมผู้ชุมนุมที่บุกเข้ามาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำอย่างนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องไปถามรัฐบาลที่แล้ว เมื่อตนมาเป็นรัฐบาลก็มีวิธีการของตน ซึ่งถ้ามีอะไรที่ทำผิดกฎหมาตำรวจต้องจับกุม ถ้าไม่จับก็จะจัดการกับตำรวจ

'ณัฐวุฒิ' 'เทพเทือก'จี้เอาผิดม็อบโกเต็กซ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. และผู้ร่วมดำเนินรายการความจริงวันนี้ กล่าวตอบโต้นายสุเทพ ว่าไม่มีความชอบธรรมจะพูดจาหรือดำเนินการใดๆ ต่อกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งตนยืนยันว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมกันนั้น รักประชาธิปไตยและประเทศไทยไม่น้อยไปกว่านายสุเทพ นอกจากนี้ยังกล่าวต่อ ให้นายสุเทพใช้เวลาในการดำเนินการทางกฎหมายเอาผิดกับกลุ่มคนที่สร้างความ เสียหายให้กับประเทศก่อนหน้านี้จะดีกว่า

อีกทั้งนายณัฐวุฒิยังกล่าวเสริมอีกว่า ได้รับข้อมูลมาว่า หากผู้ประกอบการรถเช่า หรือรถทัวร์ต่างจังหวัด ที่ให้บริการกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมาชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ อาจจะมีปัญหาในการออกใบอนุญาตผู้ประกอบการรถเช่า ทั้งนี้ยังมีการส่งกำลังทหารเข้าไปแทรกแซง เพื่อกดดันให้กลุ่มคนเสื้อแดงลังเลใจในการเข้าร่วมชุมนุม


'ขวัญชัย'ยันไม่ตามรอยพันธมิตรฯ

ด้านนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรัดอุดร ได้โทรศัพท์สายตรงมาจาก จ.สุพรรณบุรี ผ่านคลื่นชมรมคนรักอุดร เอฟเอ็ม97.50เมกะเฮริตซ์ เพื่อแสดงจุดยืน โดยขอสงวนท่าทีไม่นำสมาชิกชมรมคนรักอุดรเข้ากรุงเทพมหานครในวันที่ 31 ม.ค.นี้ พร้อมย้อนถามว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ได้ไปยึดและชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้วคนเสื้อแดงจะไปเลียนแบบพันธมิตรฯ ทำไม และในการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ตนเองไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองและส.ส. โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้คุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม ให้กำลังใจให้รักษาฐานที่ จ.อุดรธานี เอาไว้และรักษามาตรฐานคนเสื้อแดงเหมือนอดีตที่เคยทำมา

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้นายขวัญชัยจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นจัตุรถาภรณ์ช้างเผือก ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช ได้ขอให้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประจำสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

'ทักษิณ'เป็นกาวใจโทรฯเคลียร์ผสานเสื้อแดง

ขณะนี้ นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้ออกอากาศผ่านทางคลื่น FM 97.50 เมกกะเฮริตซ์ ทำความเข้าใจกับ สมาชิกชมรมคนรักอุดร ขอร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้เป็นตัวกลางประสานรอยร้าวระหว่างผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์กับ นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ที่มีการปะทะคารมกันทางสื่อมวลชน ซึ่งไม่เป็นผลดีในภาพรวมของคนเสื้อแดง ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวานนี้ ได้พูดคุยกับ นายขวัญชัย และ นายจตุพร แล้ว

เสื้อแดงอุดรฯยกทัพ 600 คนเข้ากทม.

ฟากชมรมคนรู้ใจ จ.อุดรธานี ได้ส่งคนเสื้อแดงจาก จ.อุดรธานี เข้ามาสมทบยังกรุงเทพฯแล้ว โดยเป็นรถทัวร์จำนวน 8 คัน บรรจุได้กว่า 400 คน และจะเดินทางออกจาก จ.อุดรธานี ในค่ำวันนี้อีก 200 คน เพื่อไปสมทบกับคนเสื้อแดง ที่สนามหลวงเพื่อเร่งรัดให้รัฐบาลดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ และให้ปลด นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่ไม่ได้ต้องการไปไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะแต่อย่างใด

ท้ายสุดนี้นายวันชัย เงินศรี แกนนำและผู้ประสานงานคนเสื้อแดง จ.อุดรธานี กล่าวว่า ได้มีประชาชนลงชื่อเป็นจำนวนมากที่แจ้งความประสงค์จะเดินทางลงกรุงเทพฯใน ครั้งนี้ ซึ่งหลังเสร็จงานนี้สิ้นแล้วแล้วคนรู้ใจอุดรธานีจะตั้งเวที ที่ สนามทุ่งศรีเมือง โดยจะเชิญ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายชูพงษ์ ถี่ถ้วน แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) มาปราศรัยใหญ่ที่ จ.อุดรธานี

ชาวลำปางขนไข่เข้ากรุง

ด้านประชาชนชาวลำปางกว่า 200 คน ได้สวมเสื้อแดงเตรียมขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟนครลำปาง เพื่อจะเดินทางไปกับขบวนรถไฟที่ 102 เชียงใหม่ - กรุงเทพมหานคร เป็นขบวน รถไฟฟรี 6 โบกี้ โดยทุกคนจะสวมเสื้อแดงเพื่อแสดงพลัง และไปร่วมกับชุมนุมกับกลุ่ม นปช. ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เดินทางมีอายุประมาณ 35 - 45 ปี และ นำสัมภาระเป็นเสื้อผ้า และเครื่องใช้ส่วนตัว ซึ่งสามารถพักค้างแรมได้ประมาณ 3 - 4 วัน

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตามรายงานของตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง มีประชาชนชาวลำปางเดินทางไปร่วมชุมนุมครั้งนี้ ไม่ต่ำกว่า 1,200 คน สำหรับกิจกรรมของกลุ่มคนเสื้อ ประกาศให้ประชาชนโดยทั่วไปที่สถานีรถไฟให้ทราบว่า การเข้าร่วมชุมนุมและเดินทางครั้งนี้ ไม่มีการพกอาวุธ หรือสิ่งของผิดกฎหมาย แต่ว่าชาวเสื้อแดงลำปางส่วนใหญ่นำไข่ไก่ติดตัวไปด้วย และแกนนำประกาศขอให้กลุ่มคนเสื้อแดงทุกคน ดูแลรักษาไข่ของตนเองให้ดี เพื่อไม่ให้ไข่เกิดแตก เพื่อจะใช้ในการชุมนุมครั้งนี้

ผบ.ตร.เรียกทุกหน่วยถกด่วนรับมือเสื้อแดง

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเวลา 14.00 น.ของวันนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. จะเข้าร่วมรับฟังการประชุมซักซ้อมทำความเข้าใจแผนปฏิบัติดูแลความสงบเรียบ ร้อยรักษาความปลอดภัยของตำรวจนครบาล ในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ที่นัดรวมพลชุมนุมใหญ่วันเสาร์นี้ ที่ท้องสนามหลวง พร้อมประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ภายหลัง พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) มีหนังสือคำสั่งเรียกประชุมนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รับผิดชอบงานความมั่นคง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 ผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ผู้บังคับการตำรวจจราจร และผู้บังคับการอำนวยการ ในฐานะผู้ควบคุมกำลังพล เพื่อวางแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากเป็นภารกิจหน้าที่ของตำรวจนครบาลโดยตรงในการดูแลความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่รับผิดชอบ ทั้งนี้ตัวแทนจากกองทัพ แม่ทัพภาคที่ 1 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตัวแทนจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล และปลัด กทม. พร้อมคณะทำงาน เข้าประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารดังกล่าวด้วย

ขณะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงจะมีการชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลในวัน ที่ 31 ม.ค.2551 ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีจริงหรือไม่ เนื่องจากจนถึงขณะนี้ตนยังไม่ได้รับการประสานจากแกนนำ อย่างไรก็ตาม ในเวลา 14.00 น.จะมีการประชุมหารือ เพื่อวางมาตรการในดูแลรักษาความปลอดภัย โดยเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของกทม. ทหาร มาร่วมหารือ ทั้งนี้ การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุม หากชุมนุมโดยปราศจากอาวุธก็สามารถทำได้ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ แต่หากจะมาปิดล้อมสถานที่ราชการ หรือขัดขวางการทำงานของรัฐบาลเราคงยอมไม่ได้ ส่วนกำลังจะใช้จำนวนเท่าไหร่นั้น ต้องรอผลสรุปในที่ประชุม

นปช.บุกสถานฑูตเวียดนาม

นายวีระ มุสิกกพงษ์ พร้อมด้วย นายจักรภพ เพ็ญแข และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. ได้ยื่นหนังสือกับ เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตเวียดนาม ซึ่งเป็นสถานทูตแห่งสุดท้ายที่กลุ่มคนเสื้อแดง ยื่นคัดค้านการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน โดย นายวีระ กล่าวว่า จนและแกนนำคนอื่น ๆ ได้ทำหน้าที่ชี้แจงตามสถานทูตต่างๆ ในประชาคมอาเซียน อย่างครบถ้วนแล้ว โดยหลังจากนี้ไป ตนจะกลับไปเตรียมงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีการชุมนุมใหญ่ที่ท้องสถานหลวง ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่า การชุมนุมในวันพรุ่งนี้ จะมีประชาชนมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก

กลาโหม แจงทหารไม่แทรกแซง

ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่วันพรุ่งนี้ (31 ม.ค.) ว่า หากตำรวจต้องการให้ทหารช่วยก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลกำลังทำงานและเดินหน้าไปด้วยดี จึงขอฝากประชาชนทุกฝ่ายช่วยกันทำให้ประเทศเดินต่อไปได้ด้วยความเรียบร้อยสัก ระยะหนึ่ง ซึ่งหากมีอุปสรรคอะไรค่อยมาว่ากัน


เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายจตุพร ระบุว่า กองทัพบกส่งทหารเข้าไปแทรกซึมอยู่ในกลุ่มเสื้อแดงนั้น พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า ทหารไม่ทำเช่นนั้น ทหารจะไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของใคร แต่เรื่องติดตามสถานการณ์ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องดูแลอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความสงบในประเทศให้มากที่สุด ต่อข้อถามว่าเกรงหรือไม่ว่าจะเกิดการปะทะกันหากใช้กฎหมายเข้มงวด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราพยายามไม่ให้เกิดการปะทะกัน คนไทยด้วยกันต้องพูดจากัน ไม่มีเสื้อเหลืองเสื้อแดง และคิดว่าไม่น่ามีมือที่สาม

'นกคุ่ม' ยันรบ.ไม่ปรารถนาความรุนแรง

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าทางเจ้าหน้าที่คงจะมีการเตรียมการประเมินและมีแผนรองรับสถานการณ์อยู่ แล้ว และรัฐบาลไม่ต้องการใช้ความรุนแรง ซึ่งมาตรการในการดูแลความปลอดภัยเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงที่ต้องดูแล รับผิดชอบ อีกทั้งทางกลุ่มเสื้อแดงเองก็ได้ประกาศว่าจะเคลื่อนไหวโดยที่จะไม่ทำอะไรให้ ผิดกฎหมาย ดังนั้นการที่จะมีการบุกทำเนียบคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะการเข้ามาในทำเนียบเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในฐานบุกรุกสถานที่ราชการ ซึ่งคนที่เป็นแกนนำก็เคยกล่าวหาคนอื่นว่าบุกรุกทำลายสถานที่ราชการและแจ้ง โทษฐานเป็นกบฎอีกด้วย ฉะนั้นวันนี้แกนนำคงจะรู้ว่าแนวคิดที่เคยกล่าวหาคนอื่นไว้อย่างไรก็คงไม่ทำ อย่างนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการบุกรุกเข้ามาจริงจะมีการสลายการ ชุมนุมหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่คงมีแผนอยู่แล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร ความจริงรัฐบาลไม่ปราถนาที่จะใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นและไม่ใช้ความรุนแรงใน การสลายการชุมนุมอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่เองก็ต้องรักษากฎหมายไว้อย่างเคร่งครัด ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือทางแกนนำยังมีเวลาที่จะพิจารณาว่าสิ่งที่ทำนั้น เป็นประโยชน์ของบ้านเมืองหรือเป็นเพียงตอบสนองความต้องการของคนบางคนเท่า นั้นโดยที่ไม่คำนึงถึงความเสียหาย

ขู่DTVห้ามสร้างแรงกระเพื่อม

เมื่อถามว่า จะมีการถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงผ่านดีทีวี และมีการเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุมจะมีการดูแลอย่างไร นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตามปกติแล้วการเสนอข่าวสื่อทุกฝ่ายก็ทำอยู่แล้ว แต่หากเป็นไปในลักษณะมีการปลุกระดมกัน ตามที่ข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงออกมาคือมีวิทยุชุมชนหลายที่ที่กำลังใช้วิธี การปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จในการสร้างความเข้าใจผิดและปลุกระดม ประชาชน ซึ่งในเรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงก็ติดตามอยู่

ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับวันที่ 31 ม.ค.นี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกังวลใจ เนื่องจากขณะนี้บ้านเมืองกำลังเดินไปได้ด้วยดี ก็อย่าไปทำอะไรที่กระทบกับความสงบเรียบร้อย แต่เรื่องวิทยุชุมชนที่ดำเนินการไม่ถูกต้อง สัปดาห์หน้าตนได้เชิญทางอนุกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ไว้ แล้ว อีกทั้งเมื่อวานก็ได้มีข้อมูลวิทยุชุมชนที่มีการปลุกระดม และมีเทปให้ฟัง และตนได้ฟังเอง ซึ่งก็มีข้อความชัดเจน ที่ส่งมาจาก จ.อุดรธานี ก็มีข้อมูลมาเรื่อยๆ ส่วนในกรุงเทพฯกับปริมณฑลในตอนนี้มีคนกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด

ผู้สื่อข่าวถามว่าในส่วนของ DTV มีการถ่ายทอดสดการชุมนุมตลอด 24 ชั่วโมงตรงนี้จะดำเนินการหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า หากดำเนินการไปโดยไม่มีอะไรผิดกฎหมายคงไม่เป็นไร แต่หากผิดกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายรักษากฎหมายต้องไปดำเนินการ แต่เท่าที่ฟังจากนายอดิศร เพียงเกษ แถลงข่าวเมื่อวาน (29 ม.ค.) ก็พูดว่าจะทำหน้าที่สื่อตามปกติ ซึ่งตนก็อยากให้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่อยากให้มีอะไรแอบแฝงในลักษณะที่ทำให้ก็ไม่ควรที่จะทำให้เกิดความเสีย หายกับบ้านเมืองขึ้นมาก่อน

งบกลางปีติดลบ 'คลัง'ก้มหน้าถังแตก 3แสนล้าน!!

ประชาทรรศน์
30 ม.ค. 2009

คลังก้มหน้ายอมรับ กระเป๋าใกล้แบน เผยยอดเม็ดเงินรายได้รัฐไม่เข้าเป้าตกฮวบร้อยละ16 ขาดทุนยับ 3 แสนล้าน กรรมาธิการประชาธิปัตย์ ไล่บี้กรณ์แจงตัวเลขให้ชัด ปลัดคลังแนะทางออกเร่งรบ.ใช้มาตรการกระตุ้นเศราฐกิจ

ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552 โดยมีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่ประธานการประชุม ในวันนี้(30 ม.ค.) นั้นโดยที่ประชุมได้พิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงการคลัง ซึ่งนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง และคณะเข้าชี้แจง โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องอัดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้ทันในเดือนก.พ. และมี.ค.นี้ เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ มิเช่นนั้นเศรษฐกิจไทยอาจติดลบถึงร้อยละ 3
โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552 พบว่ารัฐจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณร้อยละ 16 ซึ่งกระทรวงการคลังคาดการณ์รายได้ตลอดปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 132,000 ล้านบาท แต่มีการเบิกจ่ายงบลงทุนเพียงร้อยละ7.9 โดยมีการตั้งรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังสำหรับงบกลางปีไว้จำนวน12,900 ล้านบาท จากรายได้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และรายได้จากผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมาธิการฯทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างซักถามถึงสาเหตุของการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เช่น งบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และงบประมาณของกรมทางหลวงชนบท ที่ผู้รับเหมาต่างยังไม่ได้รับเงิน ขณะที่นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ ในฐานะกรรมาธิการจากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้กระทรวงการคลังชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทุกคนทราบ เชื่อว่าเหตุที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายงบลงทุนต่างๆ เป็นเพราะประเทศไทยไม่มีเงินคงคลัง มีแต่เพียงตัวเลขลอยๆ เท่านั้น จึงอยากทราบว่าความจริงขณะนี้เงินคงคลังเหลืออยู่จำนวนเท่าใด


อย่างไรก็ตามนายศุภรัตน์ กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้เม็ดเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้า ดังนั้นการบริหารเงินคงคลังต้องทำด้วยความรอบคอบ ซึ่งสิ้นเดือนธ.ค. 2551 มีเงินคงคลังเหลืออยู่ 52,000 ล้านบาท โดยสาเหตุที่เงินคงคลังเหลืออยู่ไม่มากเนื่องจากที่ผ่านมาลดการกู้ยืมเงิน จากต่างประเทศ เพื่อเป็นการลดภาระการจ่ายดอกเบี้ย

ท้ายสุดนี้หากตัวเลขต่างๆ ไม่เพียงพอ ก็ยังสามารถกู้เงินจากต่างประเทศได้อีก ทั้งนี้กรอบการกู้ยืมเงินมีกฎเกณฑ์ไว้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่อาจต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาใช้ให้เร็วขึ้น เพราะขณะนี้การขาดดุลงบประมาณทั้งประจำปี และกลางปีมีจำนวนกว่า 340,000 ล้านบาท

คปส.ย้ำชัดล้างบางวิทยุชุมขัดรธน.ชี้3ทางออกรัฐบาล!

ประชาทรรศน์
30 ม.ค. 2009

คปส.สุดทน!เสนอ 3 ทางออก!ให้รัฐบาลยุติส่งสัญญาณจับกุมวิทยุชุมชน-เปิดโอกาสให้กลไกอิสระทำ หน้าที่ปราศจากฝ่ายการเมืองแทรกแซง-พร้อมสนับสนุนให้กำกับดูแลกันเอง ย้ำชัดขัดรธน.-นโยบายแถลงต่อรัฐสภา

จากกรณีที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จ้องปิดสถานีวิทยุชุมชนบางแห่งที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล โดยอ้างว่ามีการร้องเรียนและมีหลักฐานการกระทำความผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญของ วิทยุชุมชนจำนวน 5 แห่ง ที่อยู่ใน 3-4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ลำพูน และอุดรธานี พร้อมทั้งมอบให้เลขาฯกทช.ประชุมเพื่อพิจารณาร่างระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อดำเนินการเอาผิดกับวิทยุชุมชนที่ทำผิดกฎหมายอย่างจริงจังนั้น

วันนี้ (30 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ได้เรียกร้องให้หยุดส่งสัญญาณจับกุมวิทยุชุมชน การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารของประชาชน ถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของรัฐในอันที่จะสนับสนุนให้ประชาชนได้รับ สิทธิพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ดังนั้น การที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กำกับดูแลเรื่องสื่อได้ออกมาส่งสัญญาณให้มีการจับกุมวิทยุชุมชนที่มีความคิด เห็นแตกต่าง หรือคัดค้านการดำเนินงานของรัฐบาล ซึ่งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ(คปส.) เห็นว่าเป็นท่าทีผิดปกติของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลนี้มีนโยบายสำคัญแถลงต่อรัฐสภาว่าจะสนับสนุน ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และจะจัดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองให้สื่อมีเสรีภาพ ปราศจากการแทรกแซง และมีความรับผิดชอบกับสังคมตลอดจนจะดำเนินการตามแนวนโยบายด้านกฎหมายอย่าง ถูกต้องเป็นธรรม

ซึ่งประการสำคัญ คือ ในขณะนี้มีกลไกที่เป็นอิสระจากรัฐบาล ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ คือ อนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ซึ่งมีอำนาจตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์และออกใบอนุญาตชั่วคราวให้กับวิทยุ ชุมชนและกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลและหน่วยงานรัฐ เช่น กรมประชาสัมพันธ์ จึงไม่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการสื่อวิทยุและโทรทัศน์โดยตรง แต่เป็นหน้าที่ของกลไกอิสระตามกฎหมาย ซึ่งไม่ควรถูกแทรกแซงการทำหน้าที่จากทุกภาคส่วน

ดังนั้นคปส. จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาล ดังต่อไปนี้ 1.ให้รัฐบาลยุติการส่งสัญญาณจับกุมวิทยุชุมชน และมีความอดทน อดกลั้นต่อคำวิพากษ์วิจารณ์และการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่ออกมาคัดค้าน การทำงานของรัฐบาล โดยให้คำนึงถึงสิทธิพื้นฐานในการสื่อสารของประชาชนภายใต้ระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย

2.ให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้กลไกอิสระได้ทำหน้าที่ โดยไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือยับยั้งฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลให้ไม่สามารถใช้สิทธิที่ จะสื่อสารความเห็นที่แตกต่างได้ และกระบวนการในการกำกับดูแลวิทยุชุมชนที่เกิดขึ้นให้เป็นหน้าที่ของกลไก อิสระตามที่กฎหมายบัญญัติ

3.ให้รัฐบาลสนับสนุนการกำกับดูแลกันเองในกลุ่มวิทยุขนาดเล็ก โดยเปิดเวทีให้วิทยุชุมชน วิทยุธุรกิจท้องถิ่น ทุกกลุ่มได้ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์ กติกา จรรยาบรรณ ในการกำกับดูแลกันเอง หากรัฐบาลวิตกกังวลว่าจะมีการใช้สิทธิการสื่อสารที่กระทบต่อความมั่นคงของ สังคมหรือเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญรองรับ

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ รองเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (คปส.) ในฐานะอนุกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กล่าวถึงกรณีที่นายสาทิตย์ ประกาศกวาดล้างวิทยุชุมชนที่มีปัญหา ว่า เข้าใจว่าไม่ว่าพรรคที่เข้ามาเป็นรัฐบาลย่อมต้องการจัดการกับสื่อ แต่ขณะนี้รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจรัฐบาลในการปิดสถานีวิทยุชุมชนแล้ว เนื่องจากหลังจากที่สนช.ยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ออกพ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ทำให้อำนาจที่เคยอยู่กับกรมประชาสัมพันธ์และสำนักนายกรัฐมนตรีถูกโอนย้ายไป อยู่ที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) โดยมีอนุกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ทำหน้าที่วางขอบเขต หลักเกณฑ์กติกา ในการดูแลวิทยุชุมชนระหว่างรอการจัดตั้งคณะกรรมการสื่อสารแห่งชาติ(กสช.)ที่ จะรับช่วงต่อในอนาคต

“รัฐบาลปิดวิทยุชุมชนเองไม่ได้ เพราะจะขัดรัฐธรรมนูญ ม.47 ดังนั้นรัฐบาลอาจจะทำโดยใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือใช้กฎหมายอาญา เข้าไปจัดการซึ่งก็ต้องตีความว่ามาตรการเหล่านี้จะขัดกับรัฐธรรมนูญ ม.45 ที่คุ้มครองเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความเห็นหรือไม่” น.ส.สุภิญญา กล่าว

ส่วนที่นายสาทิตย์จะหารือกับอนุกรรมการฯนั้น น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า อนุกรรมการฯชุดดังกล่าวเป็นองค์กรอิสระ อยู่ภายใต้กทช.ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาล ดังนั้นการที่รัฐมนตรีจะเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นแม้ว่าสามารถทำได้แต่ก็ต้อง ระวังว่าจะไม่เป็นการแทรกแซงหรือกดดันการทำงานของอนุกรรมการฯ

บิ๊กบัง ย้ำชัด!ไม่คิดเล่นการเมือง

ประชาทรรศน์
30 ม.ค. 2009

อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ยืนยันยังไม่คิดเล่นการเมืองและตั้งพรรคการเมือง โปรยยาหอมปชป.น่าจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเรียบร้อย ปัด กระแสข่าวคมช.อยู่เบื้องหลังสกัดกั้น'ทักษิณ'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้(30มค.)พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และอดีตผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางไปเป็นประธานประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารผ่านศึก เนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก 3 กุมภาพันธ์ 2552 ทั้งนี้ได้ให้สัมภาษณ์โดยยืนยันว่า ยังไม่คิดเรื่องการเมือง และเรื่องการตั้งพรรคการเมือง เคยบอกนานแล้วว่า ต้องมีหลายองค์ประกอบ ไม่เหมือนการตั้งบริษัท

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และอดีตผู้บัญชาการทหารบก กล่าว ยืนยันว่า ยังไม่คิดเรื่องการเมือง และเรื่องการตั้งพรรคการเมือง เคยบอกนานแล้วว่า ต้องมีหลายองค์ประกอบ ไม่เหมือนการตั้งบริษัท

อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และอดีตผู้บัญชาการทหารบก ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้การเมืองไทยดีขึ้น รัฐบาลโดยพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นแกนนำที่ดี สถานการณ์บ้านเมืองเรียบร้อยขึ้นเป็นลำดับ ส่วนบทบาทผบ.ทบ.คนปัจจุบัน นั้นตนมองเห็นว่า กองทัพมีความเข้มแข็งดี

ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวนั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงทราบดีว่า ควรทำอย่างไร เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เคยระบุว่า ตัดสินใจผิดที่แต่งตั้ง พล.อ.สนธิ เป็นผู้บัญชาการทหารบก เพื่อมาปฏิวัตินั้น พล.อ.สนธิ กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า เรื่องผ่านไปแล้ว อย่าไปพูดถึง พร้อมปฎิเสธกระแสข่าวว่าคมช.อยู่เบื้องหลังกองทัพเคลื่อนไหวสกัดกั้น พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงกระแสข่าวเดินทางไปพบพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต่างประเทศ