วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11523 มติชนรายวัน (ดึงข้อความมาจาก Sameskyboard.com)
เมื่อทรายไทยจะไปสิงคโปร์
โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ก่อนเริ่มเรื่อง ผมขอทำความเข้าใจกับคุณๆ อันดับแรก ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ใช่คนตะกั่วป่า แม้ผมจะลงไปแถวนั้นบ่อยครั้ง แต่ผมไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น ไม่เคยรับทราบความลำบากครั้งน้ำท่วม อันดับที่สอง การอ่านเรื่องนี้มีความเสี่ยง ผู้อ่านควรพิจารณาด้วยตัวเองก่อนปักใจเชื่อ เพราะผมคือผู้ร่ำเรียนเรื่องทะเลมาบ้าง แต่ผมไม่ใช่ทะเล หลายครั้งที่ผมบอกกับทะเลบอกไม่เหมือนกัน
ขอเริ่มเรื่องจากข้อมูลใน "มติชน" กล่าวถึงกรณีขุดทรายที่ปากแม่น้ำตะกั่วป่า จำนวน 21 ล้านคิวบิกเมตร โดยใช้เวลา 5 ปี โดยมีบริษัทแห่งหนึ่งรับอาสา อบต.บางนายสี ขุดให้ฟรีๆ โดยระบุว่า จะนำไปใช้ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยผ่านการอนุมัติของผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา มีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ตามระเบียบ ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีระบุว่า หากทรายมีซิลิการ์ออกไซด์ไม่เกินร้อยละ 75 สามารถส่งออกนอกประเทศได้ โดยหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จะเริ่มทำการขุดทรายประมาณเดือนธันวาคม (รายละเอียดที่ www.matichon.co.th)
ผมขอตั้งประเด็น เริ่มจากทำไมเขาถึงลงทุนขุดให้ฟรี? ผมพอทราบข่าว สิงคโปร์กำลังต้องการทรายจำนวนมาก เพื่อนำไปถมทะเลในการพัฒนาพื้นที่ จึงต้องนำเข้าทรายจากต่างประเทศ แต่ที่น่าสงสัย ทำไมเค้าต้องลงทุนมาขุดมาขนไปจากประเทศไทย ทำไมไม่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มีทะเลมีทรายมากกว่าบ้านเราไม่รู้กี่สิบเท่า แถมยังอยู่ติดกัน ค่าแรงก็ไม่ได้แตกต่าง ค่าขนส่งก็ถูกกว่าเพียบ แล้วทำไม?
คุณอาจได้คำตอบง่ายๆ ก็เพราะอินโดนีเซียไม่ยอมให้ขุด ตอบเช่นนี้ย่อมมีคำถามต่อ แล้วทำไมอินโดนีเซียถึงไม่ยอม ทั้งที่สมัยก่อน เขาก็เคยขายทรายให้สิงคโปร์มาพอควร แล้วมาบัดนี้ ทำไมจึงเลิกเสีย?
คำตอบอาจเป็นประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม อาจเป็นประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สิงคโปร์กำลังต้องการขยายสนามบินเพื่อเป็นฮับของเอเชียในย่านนี้ อินโดนีเซียอาจกลัวว่าจะเป็นคู่แข่งมั้ง ไม่เหมือนบางประเทศที่ไม่กลัว เราสร้างได้ นายก็สร้างได้ เราแถมทรายให้นายมาสร้างแข่งกับเราด้วย
มาสู่ประเด็นที่สอง อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อทรายหายไป? ผมไม่อาจยืนยันว่าสิ่งที่ผมจะเล่าต่อจากนี้ มันต้องเกิดแน่ เพราะทะเลยากแท้หยั่งถึง เอาเป็นว่า ผมคาดเดาจากสิ่งที่เรียนมาและจากประสบการณ์ก็แล้วกันครับ
ผมเคยพูดคุยกับเพื่อนผู้อยู่ตะกั่วป่า เค้าบอกว่า เดิมทีแม่น้ำลึกกว่านี้ แต่พอหลังสึนามิ ทรายมีมากขึ้น แม่น้ำตื้นเขินจนแทบจะเตะฟุตบอลกันได้แล้ว แต่เมื่อลองถามไปถามมา สึนามิอาจเป็นเหตุหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้น แม่น้ำก็เริ่มตื้นกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน
นั่นคือบางสิ่งที่เราอาจเข้าใจผิด ไม่ใช่เฉพาะเพื่อนของผม แต่รวมถึงคุณๆ ในทุกภูมิภาค เราเข้าใจว่า ธรรมชาติต้องเหมือนเดิม แต่โลกเราเปลี่ยนไปทุกวัน โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลที่มีกระบวนการต่างๆ เช่น ฤดูนี้สันทรายอยู่ตรงนี้ ฤดูนั้นสันทรายย้ายไปอยู่ตรงนั้น การตื้นเขินของแม่น้ำตะกั่วป่า อาจไม่เกี่ยวข้องจากการกระทำของมนุษย์ แต่เป็นเหตุที่ต้องเกิดตามธรรมชาติอยู่แล้ว ยิ่งถ้าพิจารณาจากเกาะทรายยักษ์สองแห่งที่อยู่ใกล้เคียง ได้แก่ เกาะคอเขาและเกาะพระทอง เดิมทีเคยเป็นสันทราย ขยายตัวจนกลายเป็นเกาะทรายใหญ่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย อีกหลายร้อยปีผ่านไป สองเกาะอาจเชื่อมต่อกัน หรือเชื่อมกับแผ่นดินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งก็เป็นได้
ปัญหาคือเราเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ เราก่อสร้างสร้างฐาน ทำกิจกรรมนานัปการ เช่น สร้างบ้านสร้างรีสอร์ทบนเกาะคอเขา บางส่วนเราอาจเก็บรักษาไว้ เช่น เกาะพระทองเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีโครงการสำคัญหลายโครงการเข้าไปเกี่ยวข้อง
เมื่อเราขุดทรายจำนวนมากไปจากพื้นที่ คำถามคือจะมีอะไรเกิดขึ้น? ทดลองเองก็ได้ครับ คุณลองไปริมทะเลหรือริมแม่น้ำ เสร็จแล้วก็ขุดหลุมทรายในแอ่งน้ำตื้นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือทรายรอบด้านจะเริ่มไหลลงมาแทนที่ ยิ่งขุดยิ่งไหล จนทรายที่อยู่ห่างออกไปเริ่มยวบ หรือหากขี้เกียจทดลอง โทร.ถามเพื่อนๆ ผู้มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำ บริเวณที่มีการขุดทรายเยอะๆ เค้าคงตอบคุณได้
สิ่งที่ผมคาดไว้ คือทรายอื่นย่อมไหลลงมาแทนที่ทรายที่หายไป ทรายบางส่วนอาจมาจากทะเล แต่ทรายอีกบางส่วนอาจมาจากชายฝั่ง ทั้งเกาะทรายและหาดทรายหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียง จะกระทบถึงไหน ผมไม่อาจบอกได้ แต่เหตุที่เกิดขึ้นในทะเล ผลมักไม่เกิดเฉพาะตรงนั้น บางทีผลอาจไปไกลหลายโยชน์ ใครอยากเห็นตัวอย่าง ขอเชิญไปเที่ยวหาดแถวมาบตาพุด เรื่อยไปจนถึงหาดแสงจันทร์ ปากน้ำระยอง เขื่อนหินทรงประหลาดที่ยื่นไปอยู่ในทะเล เป็นคำตอบที่ชัดเจนเกินคำอธิบาย
ผมไม่ยืนยันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ผมเพียงสงสัย หากเกิดขึ้นใครผู้ใดจะรับผิดชอบ? หากทรายเกิดหาย ชายฝั่งถูกกัดเซาะ ห่างออกจากจุดเกิดเหตุสิบยี่สิบกิโลเมตร ใครจะเป็นผู้ชดใช้ทะเล ชดใช้คนทำมาหากินกับทะเล ผมทราบจากข่าวว่า โครงการทำ EIA ผ่านการอนุมัติของท่านผู้ว่าฯ แต่ผมก็เคยเห็นโครงการที่ทำ EIA มาแล้วบางโครงการ เกิดปัญหาขึ้น ถึงตอนนั้น แล้วไงครับ? คำถามยังคงกลับมาที่เดิม ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? ใครจะไปเป็นผู้บอกกับเต่าทะเลว่า ขอโทษจ้ะ หาดที่เธอวางไข่หายไปหมดแล้ว ใครจะเป็นผู้บอกกับคนทำรีสอร์ทว่า โทษทีฮะที่ทำสระน้ำคุณพี่ลงไปอยู่ในทะเล ใครจะเป็นผู้บอกลุงประมงพื้นบ้าน กุ้งหอยปูหายไปเพราะทรายมันหายจ้ะ ลุงอดทนหน่อยนะ สักวันมันก็คงกลับมาเอง ช่วงนี้ก็กินข้าวกับน้ำปลาไปพลางก่อน
ในทางกลับกัน หากเรามองในมุมของคนตะกั่วป่า ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แน่นอนว่าพวกเขาพวกเธอมีปัญหา แต่การแก้ปัญหาโดยสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่ น่าลองทำไหมหนอ เรามีทางออกทางอื่นหรือไม่? ผมพอจะเข้าใจแนวคิดของท่านนายก อบต. เพราะมีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ จะแก้ไขยังไงก็ไม่เป็นผล ด้วยงบประมาณและความช่วยเหลือจำกัด แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะเนี่ย?
ปัญหานี้จึงวนเวียนเหมือนงูกินหาง เป็นอะไรที่ผมคิดว่าอยู่เหนือกำลังของท้องถิ่น ถึงเวลาที่ภาครัฐส่วนกลางต้องเข้าไปช่วยเหลือ อย่าคิดว่าต้องใช้งบประมาณมากมาย ผมแอบกระซิบข้อมูลที่ผู้บริหารภาครัฐทราบอยู่แล้วอีกครั้งก็ได้ เฉพาะเงินที่สิงคโปร์เสนอให้อินโดนีเซีย เพื่อใช้ในการดูแลปัญหาผลกระทบจากการดูดทราย (ไม่ใช่ค่าทราย) เมื่อคิดจากปริมาณทราย 21 ล้านคิวบิกเมตร เป็นเงินตัวเลขสิบหลัก เน้นอีกหน เลขสิบหลัก หน่วยเป็นบาท ขนาดนั้นอินโดนีเซียยังเซย์โน แล้วถ้าเกิดปัญหาในทะเลพังงา แหล่งท่องเที่ยวเอย อุทยานแห่งชาติเอย เขตความหลากหลายชีวภาพเอย เผลอๆ ยังเกี่ยวกับการเสนออันดามันเป็นมรดกโลก ตัวเลขสิบหลัก...จะใช้แก้ปัญหาไหวไหมหนอ
บทสรุปสุดท้าย ในเมื่อคนท้องถิ่นสนับสนุน สิงคโปร์แฮปปี้ รัฐบาลไทยไม่รู้ไม่ชี้ แล้วข้าพเจ้าจะไปหาเรื่องใส่ตัวทำไมวุ้ย สู้สอนหนังสือ ทำวิจัยส่งผลงานไปตีพิมพ์วารสารวิชาการต่างประเทศ ยิ่งตอนนี้เค้ามีงบฯไทยเข้มแข็งให้มหาวิทยาลัยวิจัยยิ่งดีใหญ่ หรือไม่ก็เขียนหนังสือเรื่องท่องเที่ยว ไปทำ CSR เรื่องสิ่งแวดล้อมเรื่องโลกร้อน ไปพูดให้คนอื่นฟัง ได้ตังค์ทั้งนั้น
ปัญหาคือผมระลึกคำพูดสุดท้ายที่ ดร.สุรพล สุดารา ครูของผมสั่งเสียไว้ "ธรณ์ต้องไม่เงียบ" หากไม่ทราบไม่เป็นไร แต่ทราบแล้วมีหนทางบอกต่อแล้ว...ไม่บอก ผมทำไม่ได้ จึงต้องขออภัยหากสร้างความเดือดร้อนหรือขุ่นเคืองใจให้ผู้อื่น
เพราะผมดันลืมไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งผมเคยมีคุณครูครับ
หน้า 8
http://www.matichon....&day=2009-09-27
เมื่อทรายไทยจะไปสิงคโปร์
โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ก่อนเริ่มเรื่อง ผมขอทำความเข้าใจกับคุณๆ อันดับแรก ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ใช่คนตะกั่วป่า แม้ผมจะลงไปแถวนั้นบ่อยครั้ง แต่ผมไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น ไม่เคยรับทราบความลำบากครั้งน้ำท่วม อันดับที่สอง การอ่านเรื่องนี้มีความเสี่ยง ผู้อ่านควรพิจารณาด้วยตัวเองก่อนปักใจเชื่อ เพราะผมคือผู้ร่ำเรียนเรื่องทะเลมาบ้าง แต่ผมไม่ใช่ทะเล หลายครั้งที่ผมบอกกับทะเลบอกไม่เหมือนกัน
ขอเริ่มเรื่องจากข้อมูลใน "มติชน" กล่าวถึงกรณีขุดทรายที่ปากแม่น้ำตะกั่วป่า จำนวน 21 ล้านคิวบิกเมตร โดยใช้เวลา 5 ปี โดยมีบริษัทแห่งหนึ่งรับอาสา อบต.บางนายสี ขุดให้ฟรีๆ โดยระบุว่า จะนำไปใช้ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยผ่านการอนุมัติของผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา มีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ตามระเบียบ ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีระบุว่า หากทรายมีซิลิการ์ออกไซด์ไม่เกินร้อยละ 75 สามารถส่งออกนอกประเทศได้ โดยหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จะเริ่มทำการขุดทรายประมาณเดือนธันวาคม (รายละเอียดที่ www.matichon.co.th)
ผมขอตั้งประเด็น เริ่มจากทำไมเขาถึงลงทุนขุดให้ฟรี? ผมพอทราบข่าว สิงคโปร์กำลังต้องการทรายจำนวนมาก เพื่อนำไปถมทะเลในการพัฒนาพื้นที่ จึงต้องนำเข้าทรายจากต่างประเทศ แต่ที่น่าสงสัย ทำไมเค้าต้องลงทุนมาขุดมาขนไปจากประเทศไทย ทำไมไม่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มีทะเลมีทรายมากกว่าบ้านเราไม่รู้กี่สิบเท่า แถมยังอยู่ติดกัน ค่าแรงก็ไม่ได้แตกต่าง ค่าขนส่งก็ถูกกว่าเพียบ แล้วทำไม?
คุณอาจได้คำตอบง่ายๆ ก็เพราะอินโดนีเซียไม่ยอมให้ขุด ตอบเช่นนี้ย่อมมีคำถามต่อ แล้วทำไมอินโดนีเซียถึงไม่ยอม ทั้งที่สมัยก่อน เขาก็เคยขายทรายให้สิงคโปร์มาพอควร แล้วมาบัดนี้ ทำไมจึงเลิกเสีย?
คำตอบอาจเป็นประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม อาจเป็นประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สิงคโปร์กำลังต้องการขยายสนามบินเพื่อเป็นฮับของเอเชียในย่านนี้ อินโดนีเซียอาจกลัวว่าจะเป็นคู่แข่งมั้ง ไม่เหมือนบางประเทศที่ไม่กลัว เราสร้างได้ นายก็สร้างได้ เราแถมทรายให้นายมาสร้างแข่งกับเราด้วย
มาสู่ประเด็นที่สอง อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อทรายหายไป? ผมไม่อาจยืนยันว่าสิ่งที่ผมจะเล่าต่อจากนี้ มันต้องเกิดแน่ เพราะทะเลยากแท้หยั่งถึง เอาเป็นว่า ผมคาดเดาจากสิ่งที่เรียนมาและจากประสบการณ์ก็แล้วกันครับ
ผมเคยพูดคุยกับเพื่อนผู้อยู่ตะกั่วป่า เค้าบอกว่า เดิมทีแม่น้ำลึกกว่านี้ แต่พอหลังสึนามิ ทรายมีมากขึ้น แม่น้ำตื้นเขินจนแทบจะเตะฟุตบอลกันได้แล้ว แต่เมื่อลองถามไปถามมา สึนามิอาจเป็นเหตุหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้น แม่น้ำก็เริ่มตื้นกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน
นั่นคือบางสิ่งที่เราอาจเข้าใจผิด ไม่ใช่เฉพาะเพื่อนของผม แต่รวมถึงคุณๆ ในทุกภูมิภาค เราเข้าใจว่า ธรรมชาติต้องเหมือนเดิม แต่โลกเราเปลี่ยนไปทุกวัน โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลที่มีกระบวนการต่างๆ เช่น ฤดูนี้สันทรายอยู่ตรงนี้ ฤดูนั้นสันทรายย้ายไปอยู่ตรงนั้น การตื้นเขินของแม่น้ำตะกั่วป่า อาจไม่เกี่ยวข้องจากการกระทำของมนุษย์ แต่เป็นเหตุที่ต้องเกิดตามธรรมชาติอยู่แล้ว ยิ่งถ้าพิจารณาจากเกาะทรายยักษ์สองแห่งที่อยู่ใกล้เคียง ได้แก่ เกาะคอเขาและเกาะพระทอง เดิมทีเคยเป็นสันทราย ขยายตัวจนกลายเป็นเกาะทรายใหญ่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย อีกหลายร้อยปีผ่านไป สองเกาะอาจเชื่อมต่อกัน หรือเชื่อมกับแผ่นดินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งก็เป็นได้
ปัญหาคือเราเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ เราก่อสร้างสร้างฐาน ทำกิจกรรมนานัปการ เช่น สร้างบ้านสร้างรีสอร์ทบนเกาะคอเขา บางส่วนเราอาจเก็บรักษาไว้ เช่น เกาะพระทองเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีโครงการสำคัญหลายโครงการเข้าไปเกี่ยวข้อง
เมื่อเราขุดทรายจำนวนมากไปจากพื้นที่ คำถามคือจะมีอะไรเกิดขึ้น? ทดลองเองก็ได้ครับ คุณลองไปริมทะเลหรือริมแม่น้ำ เสร็จแล้วก็ขุดหลุมทรายในแอ่งน้ำตื้นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือทรายรอบด้านจะเริ่มไหลลงมาแทนที่ ยิ่งขุดยิ่งไหล จนทรายที่อยู่ห่างออกไปเริ่มยวบ หรือหากขี้เกียจทดลอง โทร.ถามเพื่อนๆ ผู้มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำ บริเวณที่มีการขุดทรายเยอะๆ เค้าคงตอบคุณได้
สิ่งที่ผมคาดไว้ คือทรายอื่นย่อมไหลลงมาแทนที่ทรายที่หายไป ทรายบางส่วนอาจมาจากทะเล แต่ทรายอีกบางส่วนอาจมาจากชายฝั่ง ทั้งเกาะทรายและหาดทรายหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียง จะกระทบถึงไหน ผมไม่อาจบอกได้ แต่เหตุที่เกิดขึ้นในทะเล ผลมักไม่เกิดเฉพาะตรงนั้น บางทีผลอาจไปไกลหลายโยชน์ ใครอยากเห็นตัวอย่าง ขอเชิญไปเที่ยวหาดแถวมาบตาพุด เรื่อยไปจนถึงหาดแสงจันทร์ ปากน้ำระยอง เขื่อนหินทรงประหลาดที่ยื่นไปอยู่ในทะเล เป็นคำตอบที่ชัดเจนเกินคำอธิบาย
ผมไม่ยืนยันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ผมเพียงสงสัย หากเกิดขึ้นใครผู้ใดจะรับผิดชอบ? หากทรายเกิดหาย ชายฝั่งถูกกัดเซาะ ห่างออกจากจุดเกิดเหตุสิบยี่สิบกิโลเมตร ใครจะเป็นผู้ชดใช้ทะเล ชดใช้คนทำมาหากินกับทะเล ผมทราบจากข่าวว่า โครงการทำ EIA ผ่านการอนุมัติของท่านผู้ว่าฯ แต่ผมก็เคยเห็นโครงการที่ทำ EIA มาแล้วบางโครงการ เกิดปัญหาขึ้น ถึงตอนนั้น แล้วไงครับ? คำถามยังคงกลับมาที่เดิม ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? ใครจะไปเป็นผู้บอกกับเต่าทะเลว่า ขอโทษจ้ะ หาดที่เธอวางไข่หายไปหมดแล้ว ใครจะเป็นผู้บอกกับคนทำรีสอร์ทว่า โทษทีฮะที่ทำสระน้ำคุณพี่ลงไปอยู่ในทะเล ใครจะเป็นผู้บอกลุงประมงพื้นบ้าน กุ้งหอยปูหายไปเพราะทรายมันหายจ้ะ ลุงอดทนหน่อยนะ สักวันมันก็คงกลับมาเอง ช่วงนี้ก็กินข้าวกับน้ำปลาไปพลางก่อน
ในทางกลับกัน หากเรามองในมุมของคนตะกั่วป่า ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แน่นอนว่าพวกเขาพวกเธอมีปัญหา แต่การแก้ปัญหาโดยสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่ น่าลองทำไหมหนอ เรามีทางออกทางอื่นหรือไม่? ผมพอจะเข้าใจแนวคิดของท่านนายก อบต. เพราะมีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ จะแก้ไขยังไงก็ไม่เป็นผล ด้วยงบประมาณและความช่วยเหลือจำกัด แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะเนี่ย?
ปัญหานี้จึงวนเวียนเหมือนงูกินหาง เป็นอะไรที่ผมคิดว่าอยู่เหนือกำลังของท้องถิ่น ถึงเวลาที่ภาครัฐส่วนกลางต้องเข้าไปช่วยเหลือ อย่าคิดว่าต้องใช้งบประมาณมากมาย ผมแอบกระซิบข้อมูลที่ผู้บริหารภาครัฐทราบอยู่แล้วอีกครั้งก็ได้ เฉพาะเงินที่สิงคโปร์เสนอให้อินโดนีเซีย เพื่อใช้ในการดูแลปัญหาผลกระทบจากการดูดทราย (ไม่ใช่ค่าทราย) เมื่อคิดจากปริมาณทราย 21 ล้านคิวบิกเมตร เป็นเงินตัวเลขสิบหลัก เน้นอีกหน เลขสิบหลัก หน่วยเป็นบาท ขนาดนั้นอินโดนีเซียยังเซย์โน แล้วถ้าเกิดปัญหาในทะเลพังงา แหล่งท่องเที่ยวเอย อุทยานแห่งชาติเอย เขตความหลากหลายชีวภาพเอย เผลอๆ ยังเกี่ยวกับการเสนออันดามันเป็นมรดกโลก ตัวเลขสิบหลัก...จะใช้แก้ปัญหาไหวไหมหนอ
บทสรุปสุดท้าย ในเมื่อคนท้องถิ่นสนับสนุน สิงคโปร์แฮปปี้ รัฐบาลไทยไม่รู้ไม่ชี้ แล้วข้าพเจ้าจะไปหาเรื่องใส่ตัวทำไมวุ้ย สู้สอนหนังสือ ทำวิจัยส่งผลงานไปตีพิมพ์วารสารวิชาการต่างประเทศ ยิ่งตอนนี้เค้ามีงบฯไทยเข้มแข็งให้มหาวิทยาลัยวิจัยยิ่งดีใหญ่ หรือไม่ก็เขียนหนังสือเรื่องท่องเที่ยว ไปทำ CSR เรื่องสิ่งแวดล้อมเรื่องโลกร้อน ไปพูดให้คนอื่นฟัง ได้ตังค์ทั้งนั้น
ปัญหาคือผมระลึกคำพูดสุดท้ายที่ ดร.สุรพล สุดารา ครูของผมสั่งเสียไว้ "ธรณ์ต้องไม่เงียบ" หากไม่ทราบไม่เป็นไร แต่ทราบแล้วมีหนทางบอกต่อแล้ว...ไม่บอก ผมทำไม่ได้ จึงต้องขออภัยหากสร้างความเดือดร้อนหรือขุ่นเคืองใจให้ผู้อื่น
เพราะผมดันลืมไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งผมเคยมีคุณครูครับ
หน้า 8
http://www.matichon....&day=2009-09-27