CBOX เสรีชน

30 มีนาคม, 2552

กระทู้สำคัญที่จับผิดกรณีปีย์และทรอำมาตย์ทั้ง ๗ (ราโชมอนยุคใหม่)

กระทู้ ปีย์โกหก ! ของคุณ V for Victory ในราชดำเนินที่ถูกลบในเวลาไม่ถึงครึ่งชม., อยากเอามาโพสต์ที่นี่ให้เพื่อนๆพิจารณา


สืบเนื่องจากข่าวการให้คำสัมภาษณ์ของ ปีย์ มาลากุล ซึ่งมีเนื้อข่าวว่า

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?...00&catid=01

เจ้าบ้าน"ปีย์ มาลากุล"เปิดตัวยัน"สุรยุทธ์" ถก"3บิ๊กตุลาการ"ปัดวางแผนล้ม"แม้ว"แค่เพื่อนฝูงดินเนอร์

" ปีย์ มาลากุลฯ"เจ้าของบ้านเชิญ"สุรยุทธ์-บิ๊กตุลาการ-พัลลภ"กินข้าว เปิดตัว ยืนยัน ไม่มีการพูดเรื่องรัฐประหารโค่นล้ม"ทักษิณ" แค่ถกเรื่องขั้นตอนกฎหมายแก้วิกฤตบ้านเมืองหลังในหลวงทรงมีพระราชดำรัส เผยเชิญเพื่อนฝูงมาพบกันเป็นประจำ รวมทั้ง"แม้ว"ด้วย

นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา( ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพล..อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.)ระบุเป็นเจ้าของ บ้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พบกับตุลาการระดับสูงเพื่อวางแผนโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549) ให้สัมภาาณ์"มติชนออนไลน์" เมื่อวันที่ 28 มีนาคมโดยยืนยันว่า ในการพูดคุยกัน 7 คนที่บ้านประกอบด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ พล.อ.พัลลภ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา นายปราโมทย์ นาครทรรพ และ ตน ไม่มีการพูดเรื่องการวางแผนรัฐประหารหรือโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เป็นการเชิญคนที่สนิทสนมและเป็นเพื่อนมารับประทานอาหารที่บ้านเพื่อพูด คุยถึงปัญหาบ้านเมืองซึ่งทำเป็นปกติอยู่แล้ว

นายปีย์กล่าวว่า การเชิญเพื่อนและคนที่มีความสนิทสนมมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านเป็นประจำ อยู่ก็เพื่อให้เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังเพราะต้องการทันสถานการณ์เนื่องจาก มีอาชีพเป็นนักข่าวซึ่ง ในช่วงเวลาดังกล่าวหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส กับตุลาการศาลปกครองสูงสุดและผู้พิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง จึงได้เชิญนายอักขราทร ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ รวมทั้งนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี)มารับประทานอาหารที่บ้านในวันที่ 6 พฤษภาคม 2549 เพื่อคุยว่า จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างไรตามที่ทรงมีพระราชดำรัส จากนั้นได้โทรศัพท์ชวน พล.อ.สุรยุทธ์ พล.อ.พัลลภ และนายปราโมทย์ ซึ่งมีความสนิทสนมกันอยู่แล้วว่า อยากจะมาฟังหรือไม่

นายปีย์กล่าว ว่า ในวันที่ 6 พฤษภาคม ปรากฏว่า พล.อ.สุรยุทธ์ มาถึงบ้านที่สุขุมวิท 103เป็นคนแรก จึงนั่งคุยกัน จากนั้นอีกประมาณ 15 นาที นายอักขราทร นายชายชัย และนายจรัญ ภักดีธนากุล ซึ่งตอนนั้นเป็นเลขาธิการประธานศาลฎีกา(ปัจจุบันเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) มาถึงพร้อมกัน โดยพล.อ.พัลลภและนายปราโมทย์ เดินเข้ามาบ้านพร้อมกัน จากนั้นจึงนั้นจึงขึ้นนั่งโต๊ะอาหารรูปทรงกลม โดย พล.อ.สุรยุทธ์นั่งขวามือของตน พล.อ.นั่งทางซ้ายมือ ส่วนตุลาการทั้ง 3 คน นั่งตรงกันข้ามเพื่อที่จะได้ซักถามสะดวก

นายปีย์กล่าวว่า ตนถามว่า ทางฝ่ายตุลาการว่า จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งทั้งนายอักขราทรและนายชาญชัยก็อธิบายว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสอย่างไรแบ้าง จนเข้าใจ และทางตุลาการมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างไรในทางกฎหมายโดยไม่ได้ลงราย ละเอียดถึงตัวบุคคล แต่พูดถึงขั้นตอนในทางกฎหมายโดยนายอักขราทรและนายชาญชัย เป็นคนอธิบายเป็นหลัก ส่วนนายจรัญพุดน้อยหน่อยซึ่งจำไม่ได้ว่า พูดเรื่องอะไรบ้าง แต่หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องอดีตเก่าๆ เรื่องมโนสาเร่ จนกระทั่งเลิกประมาณ 4 ทุ่มกว่าและตนยังเดินไปส่งพล.อ.สุรยุทธ์และพล.อ.พัลลภ ซึ่งคนทั้งสองไม่เคยอยู่กัน 2 ต่อ2 เพราะมีตนนั่งคั่นอยู่ตรงกลาง เวลามีอะไรต้องคุยผ่านตน

"เรื่องที่เกิดขึ้นมันนานหลายปีแล้ว คนที่มากินข้าวไม่มีใครจำวันที่ได้สักคน ผมอายุ 72 แล้วก็จำไม่ได้ แต่เมื่อมีคนมาให้สัมภาษณ์ก็ต้องเปิดดูบันทึกของเลขาฯ เพราะต้องสั่งอาหารญี่ปุ่นจากโรงแรมดุสิตธานีจึงรู้ว่า เป็นวันนี้ ซึ่งมีแผนผังด้วยว่า ใครนั่งตรงไหนอย่างไร"นายปีย์กล่าว

เมื่อถามว่า ในการพูดคุยมีเรื่องเกี่ยวกับการล้มการเลือกตั้ง หรือไม่ นายปีย์กล่าวว่า มีการพูดถึงการเลือกตั้ง แต่จำไม่ได้ในรายละเอียด เพียงแต่ฝ่ายตุลาการมีการพูดถึงการทำตามขั้นตอนของกฎหมาย

"ยืนยันว่า ไม่มีการพูดเรื่องปฏิวัติ หรือพูดเรื่องตำแหน่ง ไม่มีทหารอยู่สักคนจะพูดเรื่องปฏิวัติได้อย่างไร"นายปีย์กล่าว

เมื่อ ถามว่า ทำไมเชิญพล.อ.พัลลภและนายปราโมทย์เข้าร่วมและร่วมในฐานะอะไร นายปีย์กล่าวว่า มีความสนิทสนมกับคนทั้งสองมานานแล้ว และตอนนั้น พล.อ.พัลลภกำลังดังเรื่องคาร์บอมบ์(คดีวางระเบิดพ.ต.ท.ทักษิณ) ส่วนนายปราโมทย์นั้น เขียนหนังสือเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์และมีความรู้ทางด้านกฎหมายเลยเชิญมา ร่วม

เมื่อถามว่า พล.อ.พัลลภ ระบุว่า มีการประชุมวางแผนที่บ้านนายปีย์ถึง 3-4 ครั้ง นายปีย์ปฏิเสธโดยยืนยันว่า พบเพียงครั้งเดียว

" ผมดู พล.อ.สุรยุทธฺ์ให้สัมภาษณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ที่พล.อ.พัลลภพูดไม่ตรง ก็แปลกใจว่า ทำไม"นายปีย์กล่าวว่า

เมื่อถามว่า เคยสนิทสนมกับพล.อ.พัลลภมาก่อน ทราบสาเหตุหรือไม่ว่า ทำไมถึงพลิกขั้วแบบ 180องศา นายปีย์กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน แต่คิดว่า อาจไม่พอใจ พล.อ.สุรยุทธ์ที่ไม่ได้ตำแหน่งอะไรในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ หรือไม่ได้รับการตอบแทนอะไรบางอย่างซึ่งก้ไม่เข้าใจความคิดของพล.องพัลลภ เช่นกัน

เมื่อถามว่า หลังจากเกิดเหตุที่มีการเปิดโปงกันได้ติดต่อกับพล.อ.พัลลภ พล.อ.สุรยุทธ์ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือ นายปีย์กล่าวว่า ยังไม่ได้ติดต่อกับบุคคลใดทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยมารับประทานอาหารที่บ้านหรือไม่ นายปีย์กล่าวว่า เคยมาหลายครั้งเพราะเคยสนิทสนมกัน ในช่วงก่อนที่จะเป็นนายกฯ ส่วนช่วงเป็นนายกฯไม่ได้มา อาจจะเป็นเพราะไม่มีเวลา แต่หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และกลับจากต่างประเทศมา 2 ครั้ง คุณพญิงพจมาน ชินวัตร



ใจความสำคัญของข่าวนี้คือ

1. มีการรับประทานอาหารกันจริงระหว่างบุคคลดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย ปีย์,สุรยุทธ์,อัคราทร,จรัญ,พัลลภ,ปราโมทย์,ชาญชัย

2. การสนทนาเป็นการสนทนาฉันท์คนรู้จัก หัวข้อการสนทนาคือการพูดคุยปัญหาบ้านเมืองหลังแนวคิดเรื่องตุลาการภิวัตน์ และไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องปฏิวัติ

บทวิเคราะห์



1. มีการรับประทานอาหารกันจริงระหว่างบุคคลดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย ปีย์,สุรยุทธ์,อัคราทร,จรัญ,พัลลภ,ปราโมทย์,ชาญชัย

นี่ เป็น FACT อย่างเดียวที่มีการพูดตรงกันระหว่าง ทักษิณ พัลลภ ปีย์ และ สุรยุทธ์ ดังนั้นการออกมาให้ข่าวเมื่อวานนี้ของปีย์ นับเป็นหมากที่พลาดอย่างมาก ของปีย์ในสายตาผม เพราะข้อมูลทั้งหมด (รวมทั้งคำยืนยันจากพัลลภ, สนธิ (ลิ้ม) ในวีดีโอคลิป , สุรยุทธ์ และปีย์ กลายเป็นลงสลักหลังยืนยันน้ำหนักคำพูดของทักษิณทั้งหมด จะเห็นได้ว่าทุกคนออกมายืนยันหมดว่ามีการนั่ง "ประชุมทานข้าว"กันจริง ซึ่งฝั่งทักษิณบอกว่าเป็นการคุยเพื่อล้มล้างอำนาจรัฐ แต่อีกฝั่งหนึ่งจะบอกว่าเป็นการคุยกันเรื่องปัญหาบ้านเมือง "ฉันท์เพื่อน" ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าจะเป็นการสนับสนุนคำพูดทักษิณว่ามีการพบกันของบุคคล เหล่านี้ "จริง"

2. การสนทนาเป็นการสนทนาฉันท์คนรู้จัก หัวข้อการสนทนาคือการพูดคุยปัญหาบ้านเมืองหลังแนวคิดเรื่องตุลาการภิวัตน์ และไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องปฏิวัติ

ข้อนี้แหล่ะที่เป็นหลักฐานมัดตัวว่าปีย์โกหก

2.1 ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของบุคคลทั้งเจ็ด

จากคำสัมภาษณ์เบื้องต้นมีข้อความจากปากของปีย์เองอย่างเดียวว่ามีความสัมพันธ์ฉันท์เ
พื่อ นกับอัคราทร ซึ่งเป็นตุลาการศาลฎีกา ณ ขณะนั้นคนเดียว แต่คนอื่นนอกเหนือจากนั้น ไม่น่าจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวเมื่อวิเคราะห์ให้ดีน่าจะได้ความสำคัญ (ตามคำให้การของปีย์ )ดังนี้
อัคราทร - ตัวแทนศาลและเป็นเพื่อนของปีย์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าน่าจะถูกเชิญมาคุยกันเรื่อง ตุลาการภิวัตน์

ชาย ชัย + จรัญ - เข้าใจได้ว่ามาพร้อมกับอัคราทร ไม่น่าแปลกใจ แต่ลองสังเกตดูว่า จรัญเองไม่ได้มีความสำคัญนักจนกระทั่งปีย์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจรัญพูดอะไร (หรือไม่อยากให้มัดตัวก็ไม่แน่)

สุรยุทธ์ - ไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับปีย์ แต่โทรไปเรียกให้มานั่งฟังอัคราทรคุยว่าจะใช้ตุลาการภิวัตน์อย่างไร

ปราโมทย์ - อาจจะตีความได้ว่าเป็นคอลัมนิสต์จึงรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าอ่านจากข้างบนจะเห็นได้ว่า "ไม่น่าจะรู้จัก" กันมาก่อน

พัลลภ - ไม่สามารถหาได้ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับปีย์

2.2 หลักฐานล้างคำโกหกว่าสนทนาฉันท์คนรู้จัก

การปรากฎตัวของบุคคลทั้งเจ็ดขึ้นพร้อมกันเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีว่าการสนทนานั้
นไม่ ได้เกิดขึ้นในลักษณะการคุยกันในหมู่คนรู้จักอย่างที่ปีย์กล่าวอ้าง เนื่องจากความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งหมดนั้น ดูแล้วหลวมมาก และไม่น่าจะอยู่ในสถานะที่จะเรียกว่าคุยกันฉันท์เพื่อนได้ จากการที่วิเคราะห์ความสัมพันธ์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าทุกคน "อาจะ" จะอยู่ในสถานะ คนรู้จัก หรืออย่างน้อยก็คนรู้จักของคนรู้จักได้ แต่กับพล.อ.พัลลภนั้น ปีย์ไม่น่าจะรู้จักเลย

2.2.1 โกหกเรื่องพัลลภ

อ่านย่อหน้าข้างล่างใหม่

" เมื่อถามว่า ทำไมเชิญพล.อ.พัลลภและนายปราโมทย์เข้าร่วมและร่วมในฐานะอะไร นายปีย์กล่าวว่า มีความสนิทสนมกับคนทั้งสองมานานแล้ว และตอนนั้น พล.อ.พัลลภกำลังดังเรื่องคาร์บอมบ์(คดีวางระเบิดพ.ต.ท.ทักษิณ) ส่วนนายปราโมทย์นั้น เขียนหนังสือเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์และมีความรู้ทางด้านกฎหมายเลยเชิญมา ร่วม"

จะพบว่าสาเหตุเดียวที่เชิญพัลลภมาเพราะพัลลภกำลังดังเรื่องคา ร์บอมอยู่ ลองย้อนกลับไปดูว่าการสนทนานี้เกิดขึ้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2549 แต่เหตุการณ์คาร์บอมบ์เกิดเมื่อ 24 สิงหาคม 2549

http://board.palungjit.com/archive/index.php/t-65049.html (อ้างอิง)

น่าแปลกที่ปีย์รู้ว่าพัลลภจะดังเรื่องคาร์บอมบ์ก่อนเหตุเกิดตั้งสามเดือน

2.2.2 โกหกเรื่องปราโมทย์

จากเหตุผลในย่อหน้าเดียวกัน ปราโมทย์ถูกเชิญมาร่วมเพราะดังในเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์
จากการสืบค้นพบว่าปราโมทย์เขียนเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์เมื่อ 18 พฤษภาคม 2549

http://th.wikipedia.org/wiki/แผนฟินแลนด์ (อ้างอิง)

น่าแปลกอีกเช่นกันที่ปีย์จะรู้เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ก่อนที่ปราโมทย์จะเขียนตั้ง 12 วัน

2.3 สิ่งที่ขัดแย้งกันเองและบทสรุปของบทสัมภาษณ์

คำ ให้สัมภาษณ์ของปีย์เองกลับขัดแย้งกับความเป็นจริงและตัวมันเอง สิ่งที่ปีย์ต้องตอบให้ได้อย่างแรกคือ พัลลภ และ ปราโมทย์มาปรากฎตัว ณ ที่นั้นได้อย่างไร แน่นอนว่าจากเหตุผลเชิงเงื่อนเวลาข้างต้นแล้ว ไม่น่าจะเชื่อได้ว่าพัลลภและ ปราโมทย์มาปรากฎตัวตามสาเหตุที่ปีย์กล่าวอ้าง เพราะเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นหลังจากการสนทนาทั้งสิ้น หากการสนทนานั้นเกิดขึ้นเพราะต้องการคุยเรื่องตุลาการภิวัฒน์ สามคนที่เป็นตัวแทนจากศาลน่าจะเพียงพอที่จะสนทนาได้แล้ว การที่กล่าวอ้างว่าเชิญปราโมทย์เพราะรู้เรื่องกฎหมาย แล้วต้องตอบให้ได้ว่านักกฎหมายไทยมีตั้งแยะที่เก่งกว่าปราโมทย์ ทำไมไม่เชิญมา ???

สิ่งที่ปีย์ต้องตอบให้ได้คือ ทำไม ปราโมทย์ และ พัลลภ จึงไปอยู่ในที่นั้นได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความไม่ควรของการมีหนึ่งในองคมนตรีไปนั่งคุยอยู่ ณ ที่นั้นด้วย

3. ทฤษฎีสมคบคิดใหม่ ว่าด้วยการสนทนาของบุคคลทั้งเจ็ด วิเคราะห์ความสำคัญของคนทั้งเจ็ดในแง่ตัวแทนกลุ่มบุคคล

อัคราทร + ชายชัย + จรัญ = ตัวแทนศาล
สุรยุทธ = องคมนตรี
ปราโมทย์ = ตัวแทนกลุ่มผู้จัดการและพธม.
พัลลภ = จปร. 7

วิเคราะห์ผลตอบแทนของบุคคลทั้งเจ็ดหลังเหตุการณ์รัฐประหาร

อัคราทร = candidate นายกหลังรัฐประหาร ปัจจุบันประธานศาลปกครองสูงสุด (http://th.wikipedia.org/wiki/อักขราทร_จุฬารัตน)
ชาญชัย = รมต.ยุติธรรม สมัย สุรยุทธ์ ปัจจุบัน องคมนตรี (http://th.wikipedia.org/wiki/ชาญชัย_ลิขิตจิตถะ)
จรัล = ปลัด ยุติธณรม ปัจจุบัน ตลก.ศาลรัฐธรรมนูญ
สุรยุทธ์ = นายกรัฐมนตรี ปัจจุบัน องคมนตรี
ปราโมทย์ = คอลัมนิสต์
พัลลภ = รองผู้อำนวยการ กอ.รมน.

หาก ทั้งเจ็ดคนได้มีการวางแผนล้มล้างรัฐบาลจริง เชื่อได้ว่าบุคคลเกือบทั้งหมดได้รับการสมนาคุณทั้งทางตรงและทางอ้อม คนที่ดูจะได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุดน่าจะเป็นพัลลภเพราะตำแหน่งที่ได้ไม่ได้ มีความแตกต่างจากสมัยทักษิณอยู่เลย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่พัลลภจะออกมาแฉเรื่องนี้ ส่วนปราโมทย์นั้นด้วยความเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้จัดการดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า ผลตอบแทนน่าจะไปตกอยู่ที่สนธิมากกว่า แต่ก็อย่างที่ปรากฎเป็นความจริงต่อมาว่า สนธิโดนหักหลังเรื่องสถานีโทรทัศน์

ให้วิเคราะห์จากเหตุการณ์ทั้งหมดตามลำดับ

- เกิดการประชุมกันของบุคคลทั้งเจ็ด
- มีการตีพิมพ์บทความปฏิญญาฟินแลนด์
- มีการใช้อำนาจศาลสั่งจำคุกกกต.ล้มการเลือกตั้ง
- มีการคาร์บอมบ์ทักษิณ
- มีการปฏิวัติ
- สุรยุทธ์ขึ้นเป็นนายกหลังการปฏิวัติ

ชัดซะไม่รู้จะชัดยังไง!!!!!!!!!!!!!

จาก

http://www.sameskybooks.org/board/index.php?showtopic=27605

28 มีนาคม, 2552

กระเทยเฒ่า

ไอ้เปมเอ๋ย เสยฮูดาก Mark มอเจ็ด
มาร์คไม่ Get กรม่ายรู้ เหย๋ง ๆ
มนตรีเฒ่า มึงเน่าแน่ แก่เส็งเคร็ง
แม่นาคเจ้ง มนตรีเน่า ถึงคราวซวย
คงลงเหว ละคราวนี้ อีกแม่นาค
เอาไอ้Mark มึงคืนไป ไอ้เด็กห่วย
กระเทยเฒ่า มนตรีตุ้ด สุดแสนซวย
ซังกะบ้วย รีบลงรู กรูม่ายเอา ...เว้ย


ปริศนาเลขบัตรประชาชน 13 หลัก



http://www.talkystory.com

อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบได้ที่นี่

โดย ความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “ตัวเลข” ที่เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า “เก้า” ที่พ้องกับคำว่า “ก้าว” อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ “ทำบุญ” อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

สำหรับ ฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย

แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้

สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้

หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่

ประเภท ที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี

ประเภท ที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า

ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9

ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง

การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ

ประเภท ที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9

ประเภท ที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12

ประเภท ที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133

ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7

คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้

ต่อ ไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น

สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น

หลัก ที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ

หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที

สำหรับ เลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ

เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548

ตัว เลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

ทักษิณ เผย ป๋าเปรม คือผู้มีบารมีนอกรธน.



http://www.talkystory.com

พ.ต.ท.ทักษิณ มาในชุดเสื้อสีชมพูโดยมีดอกไม้ตั้งบนโต๊ะ ได้เริ่มขอบคุณแท็กซี่ที่ช่วยคนมาร่วมชุมนุม และที่มาร่วมชุมนุมก็เพื่ออนาคตของลูกหลานไทยต้องการเห็นสังคมไทยมี ประชาธิปไตยที่แท้จริง ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส
ถึงเวลาหรือยังที่ ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ควรจะเห็นประโยชน์ของลูกหลาน เพราะที่ผ่านมานั้นประเทศไทยมีการปฏิวัติบ่อยครั้งทั้งๆที่บางครั้งไม่คิด ว่าจะเกิดก็เกิด แต่เราก็ไม่พูดกันให้ชัดเจน วันนี้เราต้องพูดกันให้ชัดไม่ต้องมัวเกรงใจกันไม่ได้เพราะจะไม่ทำให้ไม่รู้ ความจริง

"ที่ผมจะพูดนี้ไม่ใช่เพื่อผมแต่เพื่ออนาคตของลูกหลาน ก่อนที่ผมจะพูดถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญนั้น จะพูดถึงประวัติศาสตร์ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง มาถึงปลายปี 2548 ก็มีการรวมตัวกันต่อต้านผม โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ช่วยทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นการกระทำนอกระบบ และมีองคมนตรีบางคนไปพูดกับสื่อว่าไม่เราผมแล้ว"

แสดงให้เห็นว่ามีผู้ มีบารมีนอกรัฐธรรนูญ และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ หลังจากนั้นก็มีการเดินสายโจมตีตน โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามายุ่งด้วย

"ณัฐวุฒิ" ซัด "มาร์ค" น่ารังเกียจ



http://www.talkystory.com

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงกับสิ่งที่ตนเคยแสดงความเห็นไว้ว่า ประเทศไทยกำลังเกิดวงจรอุบาทว์ในการแย่งชิงอำนาจ

" เริ่มจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีทั้ง ส.ส. ผู้สมัคร และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมกดดันรัฐบาล ด้วยวิธีนอกกฎหมาย โดยคนในพรรคตั้งแต่ นายชวน หลักภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า ไม่เคยแสดงความเห็นคัดค้าน ขณะที่การเคลื่อนไหวกลุ่มพันธมิตรฯ นับวันยิ่งเหิมเกริม เหยียบย่ำสิทธิเสรีภาพ ไม่เคยถูกขัดขวางจากเหล่าทัพ จนกระทั้งพันธมิตรฯ ยึดสนามบินสร้างความเสียหายเกินกว่าประเมินได้ และรัฐบาลของนายสมชาย ก็พ้นโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"

จากนั้น ก็มีข่าวเชิญชวนแกนนำพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล โดยนายทหารใหญ่ไปหารือที่บ้าน ซึ่งผลการหารือสรุปเชิงบังคับให้เปลี่ยนขั้วไปงสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็น นายกรัฐมนตรี

เราไม่ปฏิเสธการเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เราปฏิเสธขบวนการที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์พร้อมทิ้งหลักการ มารยาทและความสวยงามทางการเมือง สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ทำอยู่ ถือว่าน่ารังเกียจกว่าคนที่เคยถูกตัวเองวิจารณ์ 2 เท่า

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

พัลลภ แฉ สุรยุทธ์ให้ล้ม ทักษิณ



http://www.talkystory.com/

วางแผนล้มรัฐบาลทักษิณเพื่อชาติ จี้แสดงสปิริต “ลาออก”จากองคมนตรีเพื่อปกป้องสถาบัน จวกยับไม่มีสัจจะรับตำแหน่งนายกฯ ปฏิเสธไม่เคยรับเงินแม้ว อ้างได้แค่รองเท้าคู่เดียว
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อ 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเขาไม่เคยเชิญผมเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเชิญผมและประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่มีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ทางด้านรัฐธรรมนูญหรือทางด้านกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร

การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่า การทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใดๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน ทั้งนี้การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.นั่งอยู่ด้วย

พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า อันนี้ผมบอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงผม ผมก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น การประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่า การทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใด ๆ

หลังจากที่ปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พูดง่าย ๆ พวกเราผิดหวังมากและผมก็ผิดหวัง ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูดง่าย ๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสียสัจจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม แต่ท่านอ้างว่าได้ประชุม ได้คุยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดมติในที่ประชุม ซึ่งในการพูดคุยในวันนั้นมีประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น หลังจากนั้นผมไม่ได้พูดจากับ พล.อ.สุรยุทธ์ อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จักทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม และเป็นนายทหารรุ่นน้องสมัยที่ผมเป็น ผบ.ค่ายสฤษดิ์เสนา ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บังคับหมวด

ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า อย่างแรกคือการวางแผนทางด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ซึ่งการที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามผมในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ มีครั้งหนึ่งที่เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ไปพบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จารุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่ง พล.อ.จารุภัทรรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิเสธ

เรื่องแบบนี้ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกออกจากตำแหน่งและล้มการเลือกตั้ง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ดีตั้งแต่ต้นว่าจะมีการล้มรัฐบาล เพราะมีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมด เพียงแต่มาสอบถามผมว่า เรื่องที่รู้มาจริงหรือไม่ เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่จีน

พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า ท่านรู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ ซึ่งไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาทเพราะไว้ใจคนใกล้ตัวและเพื่อน ตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ

ส่วนการลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี ซึ่งการรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อกตัวนายกฯ ซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือ ล็อกตัวนายกฯ

จนถึงขณะนี้ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร เมื่อมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม

ที่ ผมตัดสินใจไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน เกิดสงครามการเมือง มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ผมอยากพบ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือ รัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่เป็นการล็อบบี้กันแบบงูเห่า ผมมองว่า ไม่ถูกต้อง เพราะควรให้เสียงข้างมากตั้งก่อน หากเขาตั้งไม่ได้ ตัวเองจึงจะค่อยตั้ง แต่เป็นการชิงตั้งก่อน

ในฐานะอดีตทหารเก่ามองภาพผู้นำกองทัพตอนนี้อย่างไร

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า ผมเป็นทหารรุ่นพี่ของเขา ผมไม่อยากวิจารณ์ เพราะคนที่เป็นผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้น ผมเหมือนกับ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ผมยึดถือตรงนี้เพราะผมเคารพท่านมาก ผมคิดว่าทหารจะต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน คือยึดถือความมั่นคงของประเทศชาติ และความสันติของประชาชนเป็นหลัก

ผม อยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้นเพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออกในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย

บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท ผมยืนยันได้ว่า ที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ผมจะไปซื้อรองเท้ามาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จ่ายเงินค่าแคดดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว

ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า โทรคุยเมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามว่าผมสบายดีหรือไม่ ผมก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อผม

ดูงานหรือ 'ผลาญงบ'

เดลินิวส์

ผมว่าใครก็ตามที่เห็น “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตั้งหน้าตั้งตาการทำงานโดยมุ่งไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็คงอดเห็นใจไม่ได้ จะถูกหรือผิด อีกไม่นานก็คงจะเห็นผลกันแล้วครับ ถ้าผลงานออกมาดีชาวบ้านก็มีโอกาสกลับมาทำงานใหม่ แต่ล้มเหลวหรืองานออกมาไม่เป็นตามเป้า ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามารับผิดชอบต่อ
 
วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นอย่างนี้ละครับ  ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่นอกจากรัฐบาลจะแสดงฝีมือในการทำงานแล้ว การให้ความร่วมมือของข้าราช การ หรือเจ้าหน้าที่รัฐก็มีความสำคัญ
 
บังเอิญมีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในจ.ปราจีนบุรี ระบายความในใจให้ฟัง เกี่ยวกับการใช้งบหลวงเดินทางไปดูงานต่างประเทศ พร้อมยังส่งเอกสารรายละเอียดของโครงการมาให้ดูเสร็จสรรพ เรื่องมีอยู่ว่าทาง จ.ปราจีนบุรี จัดโครงการ “อบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
 
โดย ให้นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ท้องถิ่นละ 3 คน) รวมทั้งหมด 210 คน พร้อมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เดินทางไปศึกษาดูงานโครงการดังกล่าวที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยแบ่งการเดินทางเป็น 2 รุ่น ช่วงกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
 
ต้นเรื่องของโครงการนี้มี หลังบ้านของข้าราชการระดับบิ๊กบางคน ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว เข้ามาช่วยเขียนแผนโครงการให้ โดยองค์กรส่วนท้องถิ่นจ่ายค่าลงทะเบียนในการไปศึกษา ดูงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยงบประมาณของท้องถิ่น คนละ 95,000 บาท เบ็ดเสร็จแล้วงานนี้ถลุงงบประมาณของแผ่นดินไป ประมาณ 20 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นเงินไม่มาก แต่ ในยามที่ประเทศชาติถังแตก ต้องหาทางกู้เงินจากต่างประเทศมาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ ผมว่าใครก็ตามที่รับทราบรายละเอียดเรื่องนี้ คงปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้
 
แต่น่าจะเป็นคำถามที่ทำให้หลายคนรับไม่ได้คือ ผู้บริหารของเทศบาล และ อบต.หลายคน กำลังจะครบวาระในการปฏิบัติ หน้าที่ในปี 2552 มีโอกาสได้ไปดูงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ด้วย ผมอยากถามว่าเมื่อไปดูงานเรียบร้อยแล้ว จะนำความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้พบเห็นในต่างประเทศ มาพัฒนาท้องถิ่นทันหรือไม่ เพราะใกล้จะครบวาระในการดำรงตำแหน่งพอดี หรือมีญาณวิเศษรู้ล่วงหน้าว่า จะได้กลับมาทำงานในหน้าที่เดิมอีก
 
และ ถ้าย้อนไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2552 ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี “นายกฯอภิสิทธิ์” นั่งหัวโต๊ะ เพิ่งมีมติให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต้องการเดินทางไปราชการในต่างประเทศ เพื่อฝึกอบรมหรือจัดประชุมสัมมนา หากยังไม่ได้ อนุมัติให้งดเว้นหรือชะลอไปก่อน หรือโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้ปรับแผน เป็นการดูงานหรือจัดสัมมนาในประเทศแทน
 
แต่ก็เปิดช่องว่ากรณี ที่มีข้อตกลงหรือพันธกรณีกับองค์ กร หรือหน่วยงานอื่นในต่างประเทศ และได้รับอนุมัติก่อนหน้านี้ที่จะมีมติครั้งนี้ให้ดำเนินการต่อไปได้ แต่ยามนี้บ้านเมืองกำลังประสบปัญหา ผมคิดว่าข้าราชการทุกฝ่ายต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี และใช้งบประมาณให้คุ้มค่าดีที่สุด
 
ไม่รู้ว่า ฯพณฯ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย จะสนใจเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการนี้บ้างหรือเปล่า เพราะงบประมาณ 20 ล้านบาท ดูเหมือนไม่มาก แต่ถ้าหากมาหาคำตอบจากงานนี้ ผมกลัวว่า ในอนาคต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ต่าง ๆ จะเลียนแบบบ้างซิครับ
 
งานนี้ผมไม่รู้ว่า “พี่เบิร์ด” จะคิดอย่างไร ขนาด ททท. อุตส่าห์ทุ่มเงินให้ไปกว่า 60 ล้านบาท เพื่อรณรงค์ไม่ให้คนไทยเที่ยวในต่างประเทศ แต่ดูเหมือนยังช่วยดึงข้าราชการให้ดูงานในประเทศไม่ได้ ถ้าหากเป็นอย่างนี้  สงสัย “นายกฯอภิสิทธิ์” ต้องเรียกเงินคืนแล้วมั้งครับ.


25 มีนาคม, 2552

78ผู้สนับสนุนพันธมิตร! ทั้ง'บริษัท-สินค้า-บุคคล'

ายงานจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล แจ้งว่า เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2551 ได้ทำรายงานถึง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) โดยระบุถึงรายชื่อผลิตภัณฑ์ของบริษัทเอกชน เจ้าของกิจการภาคเอกชน และกลุ่มบุคคล บุคคล ที่สงสัยว่าให้การสนับสนุนทุนในการเคลื่อนไหวแก่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งประกอบด้วย

1.บริษัทสหพัฒนพิบูล (มาม่า)
2.ผงซักฟอกเปา
3.น้ำยาล้างจานไลปอนเอฟ และไลปอนเลมอน
4.ผลิตภัณฑ์ไฮคลาส
5.ผงซักฟอกโปร
6.ผลิตภัณฑ์กำจัดยุงและแมลงคินโช
7.น้ำยาขจัดคราบไคลไฟท์
8.น้ำยาล้างจานโปร
9.น้ำหอมระบายอากาศฮาน่า
10.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ลุค
11.ผลิตภัณฑ์โคโดโม
12.ผลิตภัณฑ์เซนต์ แอนดรูว์
13.ยาสีฟันซอลท์
14.โชกุบุสซึ โมโนกาตาริ
15.ซิสเท็มมา
16.สบู่สมุนไพรฟลอเร่
17.ครีมปกป้องผิวช่วงตั้งครรภ์ ไอนิว
18.ไฮเฮิร์บ (บีเอสซี)
19.น้ำตาลทรายมิตรผล
20.ราชาซอลหอยนางรม
21.ผักกาดดองโชมิ
22.ลอตเต้
23.ขนมปังอบกรอบนิสชิน
24.ผลิตภัณฑ์ อสร.
25.บะหมี่นิชชิน
26.กะทิอร่อยดี
27.เกลือปรุงทิพย์
28.น้ำแร่มองต์เฟลอ
29.ผลิตภัณฑ์กุ๊งกิ๊ง โฟร์มี
30.ผลิตภัณฑ์ควิกเชฟ
31.ผลิตภัณฑ์ริชเชส
32.ผลิตภัณฑ์แม่บ้าน
33.ผลิตภัณฑ์หมีพูห์
34.ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ไอเฮลท์ตี้คิวเทน
35.ครีมโฟมล้างหน้าไบโอนิค
36.โอซาร์ บาลานซ์ เวเฟอร์ดเพิ่มสารอาหาร
37.กระดาษเช็ดหน้าบีเอสซี
38.น้ำนมวังน้ำเย็น
39.น้ำผลไม้มิซุ
40.น้ำผลไม้โมกุ
41.ลูกกลิ้งระงับกลิ่นกายมิสทีน
42.แป้งมิสทีน
43.รองเท้าแพนสตาร์
44.ผลิตภัณฑ์ยาซาร่า
45.การบินไทย
46.เบียร์ช้าง
47.จิตรโภชนา ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลบีแคร์
48.ธนาคารกรุงเทพฯ
49.ธนาคารกสิกรไทย
50.เมืองไทยประกันชีวิต (นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ)
51.เมืองไทยประกันชีวิต (นางนวลพรรณ ล่ำซำ)
52.มหาวิทยาลัยรังสิต
53.โรงพยาบาลกรุงเทพฯ
54.เจเพรส
55.เอกไพลิน ริเวอร์แคว กาญจนบุรี
56.เปาเอ็มวอช
57.ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัดดงมูลเหล็ก
58.เซียงเพียวอิ๋ว
59.จี เน็ต
60.ไออีซี
61.ถั่วตัดกวงเม้ง

ขณะที่กลุ่มบุคคลและกลุ่มคนนั้น ประกอบด้วย

62.นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
63.พรรคประชาธิปัตย์
64.กลุ่ม 40 สมาชิกวุฒิสภา และนางรสนา โตสิตระกูล
65.นายกมล กมลตระกูล คอลัมน์นิสต์และนักวิชาการ
66.นักวิชาการ เอ็นจีโอ กลุ่มอดีตนักการเมือง (ส.ว.) รวมทั้งอดีตรัฐมนตรียุคคณะมนตรีความมั่งคงแห่งชาติ
67.ศ.เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม
68.นางจิระนันท์ ประเสริฐกุล
69.นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
70.นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ
71.นายอภิชาติ ทองอยู่
72.นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
73.นพ.พลเดช ปิ่นประทีป
74.นายประพันธ์ คูณมี
75.นายวิฑูรย์ คูณมี
76.นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
77.นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
78.สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ออกมาระบุว่า จะมีการส่งรายชื่อผู้สนับสนุนทางการเงินแก่ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อทำการตรวจสอบต่อไป เนื่องจากการบุกยึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรฯ เข้าข่ายการก่อการร้ายสากล มีความผิดในมูลฐานเรื่องการฟอกเงิน


ที่มา http://thaiinsider.info/space/content/view/12985/59/

24 มีนาคม, 2552

ทำให้เครื่อง บุตเร็วขึ้น

ลองดูนี่ครับ หากคุณกำลังประสบปัญหา Windows XP บูตช้ามาก เทคนิคระดับมืออาชีพต่อไปนี้ แม้จะดูซับซ้อนไปบ้างแต่รับรองว่าได้ผลอย่างแน่นอน
1. เปิดโปรแกรม Notepad (Start -> Programs -> Accessories -> Notepad)
2. พิมพ์ข้อความ "del c:windowsprefetchntosboot-*.* /q" (ไม่ต้องพิมพ์ เครื่องหมายคำพูด) แล้ว Save เป็นชื่อไฟล์ ntosboot.bat ไว้ในไดเรกทอรี C:
3. คลิกปุ่ม Start -> Run พิมพ์คำสั่ง gpedit.msc แล้ว Enter
4. คลิกเลือกออปชัน Computer Configuration -> Windows Settings -> Scripts (Startup/Shutdown) จากนั้นดับเบิลคลิกที่คำว่า Shutdown ที่ปรากฏ อยู่ในหน้าต่างด้านขวามือ
5. ที่หน้าต่างที่ปรากฏขึ้น คลิกปุ่ม Add –> Browse ตามด้วยการระบุที่อยู่ของไฟล์ ntosboot.bat ซึ่งก็คือ C: แล้วคลิกปุ่ม Open
6. คลิกปุ่ม OK -> Apply -> OK เพื่อปิดหน้าต่าง
7. คลิกปุ่ม Start -> Run พิมพ์คำสั่ง devmgmt.msc แล้ว Enter
8. ดับเบิลคลิกที่รายการ IDE ATA/ATAPI controllers
9. คลิกขวาที่รายการย่อย "Primary IDE Channel" เลือกคำสั่ง Properties
10. คลิกแท็บ Advanced Settings เปลี่ยนออปชันในหัวข้อ Device Type จาก autodetect ให้เป็น none แล้วคลิก OK
11. คลิกขวาที่รายการย่อย "Secondary IDE channel" เลือกคำสั่ง Propertiesแล้วทำซ้ำขั้นตอนที่ 10
12. รีสตาร์ทเครื่องใหม่อีกครั้ง ซึ่งการบูตเครื่องครั้งใหม่จะเร็วขึ้นกว่าเดิม

ทิปจาก คุณกวาง ขอบคุณครับ

Tips Xp

ตัดปัญหาหน้าต่าง Error ชอบผุดๆโผล่ๆ

คลิกที่ Error reporting เลือก Disable error reporting คลิก O.K.

ตัดปัญหา Restore

เลือก System Restore คลิก O.K.
_________________________________

ปิดการทำงานในส่วนของเอฟแฟ็กต์การแสดงผลภาพ

เลือก Advanced คลิก Settings ในส่วนของ Performance ครับ

จะได้หน้าต่าง Performance Options คลิกเครื่องหมายถูกออกให้หมดเหลือ ๔ ช่องสุดท้ายดังภาพ เพื่อให้ยังดูสวยเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ คลิก O.k.
______________________________________

บู๊ตเร็วขึ้น 30 วินาที ตัดปัญหาชอบรีสตาร์ทเอง

เลือก Advaced คลิกที่ Settings ในส่วนของ Startup and Recovery

จะได้หน้าต่าง Startup and Recovery คลิกเครื่องหมายถูกบนสุด และล่างสุดออก ผมเอาออกหมดเลยครับ คลิก O.K.

_______________________________________

ปิดการทำงานของ Autoupdate และโปรแกรมที่ชอบทำงานเอง ยังไม่ได้สั่งเลยนะ

คลิก Start>Run>พิมพ์ msconfig.exe คลิก O.K.

ที่หน้าต่าง System configuration Utility เลือก Services แล้วคลิกเครื่องหมายถูกออก

คลิก WMI ตัวใหญ่ด้านล่างขี้เกียจพิมพ์เต็ม Automatic Updates และ Wireless Zero คลิก Apply

_________________________________

ลดเวลาการประมวลผลโปรแกรมต่างๆ

คลิก Start>Run พิมพ์ regedit คลิก O.K.

ได้หน้าต่าง Registry Editer คลิกที่ +HKEY_CURRENT_USER > +HKEYญCURRENTญUSER >+Control Panel> แล้วคลิกที่โฟล์เดอร์ Desktop จะปรากฎหน้าต่างทางขวามือขึ้นมา คลิกขวาที่ HungAppTimeout เลือก Modify ได้หน้าต่าง Edit String เปลี่ยนค่าเป็น 1000 คลิก O.K.

ที่หน้าต่าง Edit String เปลี่ยนค่าเป็น 1000 คลิก O.K.

คลิกขวา MenuShowDelay เลือก Modify จะปรากฏหน้าต่าง Edit String เปลี่ยนค่าเป็น 0

หน้าต่าง Edit String เปลี่ยนค่าเป็น 0 คลิก O.K.

_____________________________________________

เร่งสปีด Shutdown เร็วขึ้น 4 เท่า

คลิก+HKEYญLOCALญMACHINE\SYSTEM > CurrentControlSet > คลิกที่โฟล์เดอร์ของ Control >จะได้หน้าต่างทางขวามือ คลิกขวาที่ WaitToKillServiceTimeout เลือก Modify ที่หน้าต่าง Edit String เปลี่ยนค่าเป็น 5000 คลิก O.K.

ที่หน้าต่าง Edit String เปลี่ยนค่าเป็น 5000 คลิก O.K.
______________________________

เพิ่มความเร็วในการเปิดหน้าต่าง

โดยการลบค่าการเข้าไปเช็คไฟล์ต่างๆที่สะสมอยู่ คลิก Start > Run > พิมพ์ regedit คลิก O.K. จะได้หน้าต่าง
Registry Editor คลิก +HKEY_LOCAL_MACHINE > +SOFTWARE > +Microsoft > +Windows >
+CurrentVersion > +Explorer > +RemoteComputer > +NameSpace > คลิกขวาที่ +{D6277990-4C6A-11CF-8D87-00AA0060F5BF}
แล้วเลือกคำสั่ง Delete ลบค่านี้ทิ้งไป จะปรากฏหน้าเล็กๆ คลิก o.k. แล้วรีสตาร์ทขึ้นมาใหม่
คลิกที่+HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM > +CurrentControlSet > +Services > +Tcpip >
Parameters คลิกขวาตรงพื้นที่ว่างด้านขวาดังภาพ เลือกคำสั่ง New > DWORD Value ตั้งซื่อว่า MTU
แล้วดับเบิ้ลคลิกเข้าไปที่ DWORD นี้ จะปรากฏหน้าต่าง Edit DWORD Value คลิกเลือก Decimal ที่ช่อง
Value data ใส่ค่า 576 ลงไป แล้วคลิก o.k.

______________________________________

เปิดท่อน้ำปะปา (bandwidth)
คลิกปุ่ม Start > Run พิมพ์ gpedit.msc ลงในช่อง Open คลิก o.k.

จะปรากฏหน้าต่าง Group Policy ขึ้นมา ดับเบิ้ลคลิกไปที่ Administrative Templates

ดับเบิ้ลคลิกที่ Network

ดับเบิ้ลคลิกที่ Qos Packet Scheduler

ดับเบิ้ลคลิกที่คำสั่ง Limit reservable bandwidth

จะได้หน้าต่าง Limit reservable bandwidth Properties คลิกที่แท็บ Setting เลือกช่อง Enabled ที่ช่อง
Bandwidth limit (%) ปรับค่าเป็น 0 แล้วคลิก o.k.

มาร์คลูกแม่

มาร์คลูกแม่แย่แล้วนะลูกจ๋า***แม่คงอ้าแขนอุ้มตุ้มไม่ไหว
อันตัวแม่ก็แย่ร่อแร่ใจ***ต้องเป็นไข้สะท้านหนาวร้าวอุรา
แม่อุ้มมาร์คขึ้นมาแสนลำบาก***คนหมู่มากประณามแม่หลายข้อหา
แม่ดูลูกโดนเขายำในสภา***ถูกตราหน้าน่าอับอายหลายกระทง[big]
มาร์คลูกแม่แย่แล้วนะลูกจ๋า***แม่คงอ้าแขนอุ้มตุ้มไม่ไหว
อันตัวแม่ก็แย่ร่อแร่ใจ***ต้องเป็นไข้สะท้านหนาวร้าวอุรา
แม่อุ้มมาร์คขึ้นมาแสนลำบาก***คนหมู่มากประณามแม่หลายข้อหา
แม่ดูลูกโดนเขายำในสภา***ถูกตราหน้าน่าอับอายหลายกระทง
ลูกของแม่แม่คงไม่เอาไว้***ใครต่อใครรู้กันหมดลดลุ่มหลง
ก่อนที่แม่จะเสียหน้าแลเสื่อมลง***ขอลูกจงไปตามทางอย่างเจ้ามา
ตอนแรกแม่คิดว่าแน่แต่คิดผิด***คนทั่วทิศเขาต่อต้านทั่วทิศา
แม่จะพูดอย่างไรไม่นำพา***คงเพราะว่าเขารู้ทันกับเล่ห์เรา
ขอโบกมือบายบ่ายมาร์คลูกรัก***หมอดูทักประเทศชาติอาจโดนเผา
ประชาชนคนทั้งชาติเขาไม่เอา***ซึ่งตัวเจ้าที่อ่อนหัดพัฒนา
อันตัวแม่แลก็อุ้มตุ้มไม่ได้***จะฉิบหายพังกันสิ้นเขาหมิ่นหนา
แม้ว่าแม่จะรักเจ้าเฝ้ากรุณา**แต่ถึงครามีภัยแล้วแม่ขอแจว(ไปก่อนเอย)

สิบตำลึงทอง --- เว็บไซท์เสรีชน.คอม

22 มีนาคม, 2552

ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ

ณัฐ คือยอดแห่งผู้ เป็นปราชญ์ พี่เอย
วุฒิ ใช่ใบประกาศ สิ่งรู้
ใส คือส่วนสะอาด สุดที่ มองแล
เกื้อใส่ใจมอบผู้ ที่ไช้ ความดี


เพื่อ....???



DSIปัดโยนเรื่องเงิน23ล้านปชป.ให้กกต.

ประชาทรรศน์

โฆษกดีเอสไอ ยัน ส่งมอบหลักฐานเงินอุดหนุนกิจการพรรคการเมือง 23 ล้าน ให้กกต.เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ เมินวิจารณ์ 'สดศรี' เพราะเป็นมารยาทของหน่วยงาน ด้าน 'สารวัตรเหลิม' เล็งยื่นเอกสารเงินบริจาคปชป.ต่อกกต.สัปดาห์หน้า

ภายหลังที่ นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ออก มาเปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งมอบหลักฐานการสอบสวนการใช้เงินของพรรคประชาธิปัตย์ที่เกี่ยวโยงกับ บริษัท เมซไซอะ และเงินสนับสนุนพรรคการเมืองมาให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมตั้งข้อสังเกต ว่า เหตุใดดีเอสไอจึงไม่ดำเนินการสอบสวนต่อให้แล้วเสร็จ

ด้าน พ.ต.อ.ณรัตน์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะ โฆษก DSI กล่าว ถึงกรณีดังกล่าวว่า การส่งมอบหลักฐานให้กกต.ดำเนินการเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะตามกฎหมายกำหนดในทะเบียนพรรคการเมือง จะต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะดำเนินการสอบสวนต่อ ส่วนการที่กกต.บางคนออกมาระบุว่า การส่งเรื่องดังกล่าวให้กกต.เหมือนเป็นการปัดความรับผิดชอบนั้น ตนไม่ขอออกความเห็น เพราะถือว่าเป็นมารยาทของหน่วยงาน นอกจากนี้ ดีเอสไอ ยังแยกส่งเรื่องเงินบริจาค 263 ล้าน กับเงินอุดหนุนกิจการพรรคการเมือง 23 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ ออกเป็น 2 ส่วน ให้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์รวมไปถึง กกต. เพื่อดำเนินการแล้ว

'พงศ์เทพ'ชี้DSIส่งให้กกต.เพราะเกี่ยวโยงพรรคการเมือง

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ. ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในฐานะอดีตรมว.ยุติธรรม โดยกล่าวถึงเรื่องเดียวกัน ว่า ดีเอสไอ ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่ง ดังนั้น ความเห็นหรือข้อกล่าวหา ที่ DSI ส่งให้ทาง กกต.นั้น ต้องถือว่ามีน้ำหนักเพราะผ่านกระบวนการสอบสวนมาแล้ว ส่วนข้อสงสัยที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด DSI ถึงไม่ดำเนินการต่อให้จบ เหตุผลคงเป็นเพราะเรื่องนี้ เกี่ยวโยงกับพรรคการเมือง และการยุบพรรค ซึ่งถือเป็นอำนาจของ กกต. ที่ต้อง

'เหลิม'เล็งยื่นเอกสารเงินบริจาคปชป.ต่อกกต.สัปดาห์หน้า

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าว ว่าในสัปดาห์หน้า จะยื่นเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ส่วนเอกสารหลักฐานจะถึงขั้นยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่นั้น ไม่ขอให้ความเห็น อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ตนไม่ได้คาดหวังกับการทำหน้าที่ของ กกต.มากนัก

"ตนยืนยันว่าข้อมูลที่นำไปยื่นกับ กกต. ไม่ได้เอามาจากดีเอสไอ ตามที่มีการตั้งข้อสังเกต อีกทั้งหากมีการตรวจสอบข้อมูลของตนเองในเชิงลึก จะทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงชัดเจนอย่างแน่นอน" ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าว

IMFเผยศก.โลกหดตัวมากที่สุดในรอบ80ปี

ประชาทรรศน์

นายโรเบิร์ต เซลลิค ประธานธนาคารโลก หรือ เวิร์ลแบงค์ เปิด เผยว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะหดตัวราวร้อยละ 0.7 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 64 ปี ขณะที่การค้าโลกจะหดตัวมากสุดในรอบ 80 ปี ดังนั้นปีนี้จึงเป็นปีที่อันตราย ด้วยเหตุนี้ที่ประชุมจี 20 จะต้องพยายามหาทางช่วยเหลือทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา

“ชุมพล”ติงงดขายเหล้าสงกรานต์ซ้ำเติมปท.“ไทยเบฟ”ส่ายหัวแก้ไม่ตรงจุดนักดื่มซื้อตุน

ก.ท่องเที่ยว ค้านไม่เห็นด้วย มาตรการห้ามขายเหล้าวันสงกรานต์ หวั่นกระทบการท่องเที่ยว ทำนักท่องเที่ยวหดหายยิ่งซ้ำเติมประเทศ ในสภาวะที่ประเทศต้องการรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ด้านสาธารณสุขอ้างผลสำรวจนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยเพราะต้องการดูวัฒนธรรม ไม่ใช่มาดื่ม ยันไม่ใช่นโยบายสกัดท่องเที่ยว อาจเปิดช่องให้ร้านอาหารโรงแรมขายได้ช่วง 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ขณะที่เอกชนค่ายไทยเบฟ ติงแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เหตุคนไทยยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ นักดื่มซื้อมากักตุนก่อนล่วงหน้า

นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงแนวคิดของกระทรวงสาธารณสุขที่จะออกกฎกระทรวงห้ามจำหน่ายเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยระบุว่า อาจส่งผลให้ยอดนักท่องเที่ยวลดลงในสภาวะที่ประเทศต้องการรายได้จากการท่อง เที่ยวเพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมแสดงความเห็นคัดค้านการออกเป็นกฎหมายบังคับ

“ขณะนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ ไม่สมควรที่จะไปห้าม ขอยกเว้นไว้ก่อนในหนึ่งปีนี้ อย่าไปห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันเทศกาลสำคัญ เวลานี้เรามีวิกฤติการท่องเที่ยวมากอยู่แล้ว ถ้าไปห้ามจะทำให้คนไม่มาท่องเที่ยว พอรู้ว่าประเทศไทยจะห้ามจำหน่ายเหล้าเบียร์ก็หนีไปประเทศอื่นดีกว่า เราจะเสียลูกค้าไป”

ส่วนกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเห็นคัดค้านแนวคิดดังกล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา ถือว่าถูกต้องแล้ว ในแง่ผู้ที่ดูแลนโยบายเรื่องการท่องเที่ยวที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการ แก้ไขฟื้นฟูวิกฤติเศรษฐกิจ

สำหรับเหตุผลที่กระทรวงสาธารณสุขหยิบยกขึ้นมาสนับสนุนการออกกฎกระทรวงเรื่อง ดังกล่าว เนื่องจากสาเหตุการเสียชีวิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 80% มาจากการดื่มสุราแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์นั้น มองว่า หากกระทบเรื่องการท่องเที่ยวจะมีผลเสียหายมากกว่า เพราะการท่องเที่ยวคือรายได้ของประเทศชาติที่หาได้รวดเร็ว และสามารถช่วยแก้ภาพลักษณ์ของประเทศได้รวดเร็วด้วยเช่นกัน ดีกว่าจะไปแก้ปัญหาด้านการลงทุนหรือการส่งออก ซึ่งได้ผลช้ากว่า ควรหยิบฉวยอันนี้ก่อนในภาวะประเทศกำลังวิกฤติ

ขณะที่ นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า จากความกังวลของหลายฝ่ายในการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะกระทบต่อการ ท่องเที่ยวนั้นจะไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากในการเสนอการห้ามจำหน่าย ได้เสนอไว้ 2 แนวทาง คือ 1.ห้ามจำหน่าย 3 วัน คือวันที่ 12-14 เมษายน 2.ห้ามจำหน่าย 3 วัน เหมือนกัน แต่ผ่อนปรนให้ร้านอาหารสถานบริการและมินิบาร์ให้ห้องพักตามโรงแรมสามารถ จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ระหว่างเวลา 18.00 -24.00 น.

จากการสำรวจความคิดเห็นนักท่องเที่ยวต่างระบุชัดว่า การมาเที่ยวเมืองไทยช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่ได้ตั้งใจมาเมืองไทยเพื่อดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ต้องการมาดูวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่า ดังนั้น การห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเทศกาลสงกรานต์ จึงเป็นการมุ่งหวังสกัดนักดื่มหน้าใหม่ที่ดื่มแล้วขับ ไม่ใช่สกัดการท่องเที่ยวอย่างที่เป็นกังวลกัน

ต่อกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ออกมาคัดค้านมาตรการดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ถือเป็นเรื่องของความเห็นต่างที่เกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ตนเองจะรีบรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อ พล.ต.สนั่น ซึ่งเชื่อว่าหากได้รับข้อมูลครบทุกด้านอาจจะทำให้เปลี่ยนใจได้ เพราะในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะเป็น จำนวนมาก ปีละไม่ต่ำกว่า 500 ราย และในทุกๆ 20 นาที มีการเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 1 คน ทุกๆ 2 นาที

ฝั่งภาคเอกชน นายชาลี จิตจรุงพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ทำตลาดเบียร์ยี่ห้ออาชา เบียร์ช้าง และเฟดเดอร์บรอย กล่าวว่า นโยบายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อลดการเกิด อุบัติเหตุนั้น บริษัทในฐานะผู้ประกอบการยินดีปฏิบัติตามอยู่แล้ว แม้จะมีผลกระทบต่อการทำธุรกิจบ้างก็ตาม

“การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงสงกรานต์ส่งผลกระทบแน่นอน แต่ถ้าผู้บริโภคอยากจะดื่มก็จะมีการซื้อตุนไว้เอง ในส่วนของบริษัทไม่ต้องปรับตัวอะไร และยินดีปฏิบัติตามข้อกำหนดของภาครัฐทุกอย่าง แต่โดยส่วนตัวนั้นผมมองว่ามาตรการนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด คนไทยยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ควรสอนเรื่องการบริโภคอย่างถูกต้องมากกว่า”

‘เยาวลักษณ์ ชินวัตร’เสียชีวิต‘ทักษิณ’มางานศพพี่สาวไม่ได้!!



นายแพทย์อาทิตย์ เจียรนัยศิลาวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลพระราม 9 แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. เปิดเผยว่า นางเยาวลักษณ์ ชินวัตร หรือคล่องคำนวณการ พี่สาวคนโตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสียชีวิตแล้วที่ โรงพยาบาล เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ของวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา

หลังเข้ามารักษาตัวเพราะป่วยด้วยโรคไต ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2551 โดยมีอาการติดเชื้อในทางเดินกระแสเลือด ซึ่งเชื้อดังกล่าวเป็นเชื้อที่ดื้อยาส่งผลให้อาการของโรคไตทรุดจนทำให้เสีย ชีวิตลงในที่สุด โดยในวันนี้ เวลา 11.00 น. จะมีการแถลงข่าวถึงสาเหตุการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

นางเยาวลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุตรคนโตจากจำนวน 10 คน ของ นายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร สมรสกับ พ.อ.พิเศษ ศุภฤกษ์ คล่องคำนวณการ โดยเป็นคนช่วยดูแลกิจการของครอบครัวชินวัตรมาตั้งแต่ต้น และเป็นนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกของจังหวัดเชียงใหม่ อีกด้วย

'เยาวเรศ'เผย'ทักษิณ'ทราบพี่สาวเสียชีวิตแล้ว

นางเยาวเรศ ชินวัตร กล่าว ภายหลังการเสียชีวิตของ นางเยาวลักษณ์ ชินวัตร พี่สาวคนว่า ขณะนี้ได้โทรศัพท์แจ้งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแล้ว และบอกว่ารู้สึกเสียใจแต่ไม่สามารถเดินทางกลับมาร่วมงานศพได้

ก่อนหน้านี้ ทางแพทย์ได้แจ้งว่าพี่สาวยังคงมีชีวิตได้อีกนานจึงไม่ได้คาดฝันว่าจะด่วนจาก ไปเร็วเช่นนี้ ส่วนศพจะตั้งสวดบำเพ็ญกุศลที่วัดไหนนั้นตนยังไม่ทราบต้องรอพูดคุยกับบรรดา ญาติพี่น้องก่อน

โพลล์เผยปชช.เชื่อข้อมูล'เหลิม'ซักฟอกรบ.มากที่สุด

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เปิดเผยผลสำรวจ เสียงสะท้อนของสาธารณชนต่อควันหลงผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและความนิยม 'มาร์ค'กับ'แม้ว' ระบุ ประชาชนเชื่อถือข้อมูล 'สารวัตรเหลิม'มากที่สุด โดยส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่ควรปรับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกออก ขณะที่หลังเสร็จศึกอภิปราย มีประชาชนกว่าร้อยละ 50 ที่นิยมศรัทธานายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน แต่น้อยกว่าที่เคยศรัทธา 'ทักษิณ'

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจ "เอแบคเรียลไทม์โพลล์" (Real-Time Survey) เรื่อง เสียงสะท้อนของสาธารณชนต่อควันหลงผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและแนวโน้ม ความนิยมศรัทธาต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ พ.ต.ท.ตร.ทักษิณ ชินวัตร กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า ประชาชนที่ถูกศึกษาที่ติดตามรับชม/รับฟังการถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น จากร้อยละ 6.3 ในวันแรก มาอยู่ที่ร้อยละ 17.7 ในวันที่สอง

นอกจากนี้ ประชาชนได้ให้คะแนนความน่าเชื่อถือในข้อมูลของนักการเมืองที่นำมาใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ได้คะแนนสูงสุดอยู่ที่ 4.89 คะแนน รอง ลงมา คือ ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ได้คะแนนอันดับรองลงมา คือ 4.80 คะแนน นอกจากนี้ นายสุนัย จุลพงศธร ได้ 4.75 คะแนน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ 4.69 คะแนน นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุลได้ 4.65 คะแนน นายไพจิต ศรีวรขาน ได้ 4.52 คะแนน และนายสุชาติ สายน้ำเงิน ได้ 4.34 คะแนน

สำหรับประเด็นที่ประชาชนอยากให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ครั้งต่อไป ได้แก่ ร้อยละ 80.0 ระบุเป็นเรื่องมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ร้อยละ 70.7 ระบุแนวทางแก้ปัญหายาเสพติด ร้อยละ 70.1 ระบุปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 67.9 ระบุปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร้อยละ 61.4 ระบุความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และร้อยละ 58.5 ระบุปัญหาชายแดนของประเทศ

ที่น่าพิจารณาคือ ความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าควรถูกปรับออก หรือไม่ควรถูกปรับออกพบว่า อันดับแรก คือ นายกษิต ภิรมย์ ร้อยละ 41.8 เห็นว่าควรปรับออก แต่ร้อยละ 58.4 เห็นว่าไม่ควรปรับออก รองๆลงไป คือ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ร้อยละ 27.6 เห็นควรปรับออก แต่ร้อยละ 72.4 เห็นว่าไม่ควรปรับออก นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ร้อยละ 23.6 เห็นควรปรับออก แต่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.4 เห็นว่าไม่ควรปรับออก นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ร้อยละ 20.4 เห็นควรปรับออก แต่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.6 เห็นว่าไม่ควรปรับออก นายกรณ์ จาติกวณิช ร้อยละ 18.2 เห็นว่าควรปรับออก แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 81.8 เห็นว่าไม่ควรปรับออก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ร้อยละ 15.6 เห็นควรปรับออก แต่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.4 เห็นว่าไม่ควรปรับออกและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 16.5 เห็นว่าควรปรับออก แต่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.5 เห็นว่าไม่ควรปรับออก

นอกจากนี้ ในการสำรวจครั้งนี้พบแนวโน้มความนิยมศรัทธาของประชาชนต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่น่าพิจารณา คือ หลังเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีประชาชนร้อยละ 50.6 ที่นิยมศรัทธานายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งหลักการสำรวจความนิยมสาธารณชนถือว่าอยู่ในโซน B-เนื่องจากเกินร้อยละ 50 มาเพียง 0.6 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าความนิยมศรัทธาของประชาชนที่เคยมีให้กับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงของการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนพฤษภาคม 2544 ที่อยู่ในโซน B+ แต่อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจครั้งล่าสุดนี้ พบว่า ความนิยมศรัทธาของประชาชนที่ถูกศึกษาต่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ อยู่ที่ร้อยละ 23.6 หรืออยู่ในโซน D+

พท.เล็งยื่นกล่าวโทษ'มาร์ค'ละเว้นปฎิบัติหน้าที่เชือด!'กษิต'

นาย พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส. พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ได้น่าพอใจ โดยในสัปดาห์หน้าพรรคจะนำหลักฐานของ ร.ต.อ.เฉลิม เรื่องเงินบริจาคพรรค ประชาธิปัตย์ ไปยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้จะยื่นดำเนินการกล่าวโทษกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ สภ.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีไม่ดำเนินคดีกับ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งมีส่วนร่วมในการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ของรัฐบาลนั้น โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว ว่า เป็นการตำน้ำพริกละลายมหาสมุทร เพราะรัฐบาลคิดแต่กู้เงินเอามาแจกอย่างเดียว จึงต้องให้ฉายารัฐบาลว่า "ถ้าประชาธิปัตย์มา ประชาชนต้องเป็นหนี้"

คลิปอภิปลายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ 2009/03/19-20 UnconfidenceDebate

2009-03-19UnconfidenceDebate



เฉลิม1 49นาที >> WMV 54.65Mb , MP3 8.47Mb

เฉลิม2 60นาที >> WMV 66.41Mb , MP3 10.30Mb

เฉลิม3 64นาที >> WMV 71.59Mb , MP3 11.10Mb

นายกอัปยศอภิสิทธิ์,กอร์ปศักดิ์,ประมวล 31นาที >> WMV 34.14Mb ,MP3 5.29Mb

จตุพร 60นาที >> WMV 66.07Mb , MP3 10.25Mb

จตุพร- นายกอัปยศอภิสิทธิ์ 59นาที >> WMV 65.30Mb , MP3 10.13Mb


สุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล 48.24นาที >> WMV 53.56Mb , MP3 8.31Mb

สุชาติ พลายแก้ว,นายกอัปยศอภิสิทธิ์,กร,สุรพงษ์ โต 53นาที >> WMV 58.69Mb , MP3 9.11Mb

สุนัย แฉมันส์หยดติ๋งๆ อภิปรายเต็มไปด้วยการประท้วง สส.ปชป. อับอายทนยอมรับความจริงๆไม่ได้



สุนัย 1 59.27นาที >> WMV 65.80Mb , MP3 10.20Mb

สุนัย 2 59.32นาที >> WMV 65.88Mb , MP3 10.21Mb

สุนัย 3 45.12นาที >> WMV 50.03Mb , MP3 7.76Mb


ร้อยโทชวรินทร์ 68.30นาที >> WMV 75.9Mb , MP3 11.77Mb

นายกอัปยศอภิสิทธิ์,จุรินทร์ 27.28นาที >> WMV 30.41Mb , MP3 4.72Mb

วุฒิพงศ์ ฉายแสง & นายกอัปยศอภิสิทธิ์ 40.53นาที >> WMV 45.26Mb , MP3 7.02Mb

นิคม เชาว์กิตติโสภณ,ประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัยvs
นายกอัปยศอภิสิทธิ์,จุรินทร์ 72.20นาที >> WMV 80.03MbMb , MP3 12.42Mb


อภิปรายรมต.ต่างประเทศ กษิต (ผู้ก่อการร้ายยึดสนามบิน)



ประชา ประสพดี 54.51นาที >> WMV 60.70Mb , MP3 9.42Mb

ธเนศ เครือรัตน์ 34นาที >> WMV 37.64Mb , MP3 5.84Mb
=========================================================

2009-03-20UnconfidenceDebate



ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ 45.53นาที >> WMV 50.08Mb , MP3 7.88Mb

นิพนธ์ ,บัญญัติ 40.58นาที >> WMV 45.35Mb , MP3 7.03Mb

Newborn Shining Star ปะทะคารมกับสส.ปชป. สส.ปชปจำใจต้องถอนคำพูด
ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาแทบร่วง เสียหน้าสุดๆ



วิสาระดี เตชะธีรววัฒน์ 52.06นาที >> WMV 57.66Mb , MP3 8.95Mb


ฐิติมา ฉายแสง 48.34นาที >> WMV 53.74Mb , MP3 8.34Mb
ไอ้โจรสมเกียรติ ทนยอมรับความจริงไม่ได้ลุกขึ้นยืนมาโต้แต่ก็เจอ เธอสวนกลับ
ไอ้โจรสมเกียรติหน้าแหก หาที่นั่งไม่เจอ

สมคิด บาลไธสง 38.33นาที >> WMV 42.68Mb , MP3 6.62Mb
คลิปนี้สัญญาณดาวเทียมกระตุกประมาณ 3นาที และได้ออกไปแล้ว

จตุพร 53.39นาที >> WMV 59.37Mb , MP3 9.21Mb
ไอ้โจรสมเกียรติ ยอมรับว่าเป็นโจรก่อการร้ายสากล แถมยังพูดจาโอหัง
คลิปนี้สัญญาณดาวเทียมกระตุกประมาณ 1นาที และได้ออกไปแล้ว

อภิปรายไม่ไว้ใจ รมต.คลังเด็กอนุบาลกร



สุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล 55.11นาที >> WMV 61.07Mb , MP3 9.48Mb
คลิปนี้สัญญาณดาวเทียมกระตุกประมาณ 1นาที และได้ออกไปแล้ว

ประเสริฐ จันทร์รวงทอง 25.12นาที >> WMV 27.90Mb , MP3 4.33Mb

สถาพร มณีรัตน์ 23.05นาที >> WMV 25.56Mb , MP3 3.96Mb

วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล 24.24นาที >> WMV 27.02Mb , MP3 4.19Mb

===================================================

ประเกียรติ์ นาสิมมา 21.36นาที >> WMV 23.91Mb , MP3 3.71Mb

คมเดช ไชยศิวามงคล 14.26นาที >> WMV 15.99Mb , MP3 2.47Mb

อนุดิษฐ์ นาครทรรพ 34.03นาที >> WMV 37.69Mb , MP3 5.85Mb
นังหญิงกัลยา โส ลุกขึ้นโต้มีการประท้วงตามมาติดๆ

=====================================================

ไอ้โจรจี้สนามบินกษิต 63นาที >> WMV 70.52Mb , MP3 10.94Mb

นายกอัปยศอดสูมาร์ค 46.45นาที >> WMV 51.74Mb , MP3 8.03Mb

สส.หลายท่านประท้วงมาร์ค
โดยเฉพาะกรณีปิดสนามบิน ไอ้โจรสมเกียรติร่วมแจม
33.56นาที >> WMV 37.56Mb , MP3 5.83Mb

=========================================================

กอร์ปศักดิ์&กร 9+57นาที >> WMV 75.78Mb , MP3 11.76Mb

ไพจิต ศรีวรขาร 33นาที >> WMV 36.71Mb , MP3 5.69Mb

พงศ์พันธ์ สุนทรชัย 26.23นาที >> WMV 29.21Mb , MP3 4.53Mb

==================================================

ศักดา,ชวลิต,ขจิต,มาร์ค 43.10นาที >> WMV 47.78Mb , MP3 7.41Mb

บุญจง 25.22นาที >> WMV 28.09Mb , MP3 4.36Mb

เฉลิมสรุป 52.28นาที >> WMV 58.06Mb , MP3 9.01Mb



รับไม่อั้นกับตำแหน่งเซ็นเซอร์เว็บไซต์

Liberal Thai

Web Censorship Now Thailand’s Largest Employer
๒๐ มีนาคม ๒๕๕๒ - กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย

กรุงเทพ - นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ไปบรรยายที่หอการค้าอเมริกันเมื่อวานนี้ ประกาศด้วยความภาคภูมิใจในผลงานที่ได้สร้างงานภาครัฐเพิ่มอีก ๒๕๐,๐๐๐ ตำแหน่งในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๒ งานนี้รวมไปถึงตำแหน่งงานเซ็นเซอร์เว็บไซต์ที่กระทรวงไอซีที ๒๔๗,๐๐๐ ตำแหน่ง

งาน ที่สร้างขี้นมาอีก ๓,๐๐๐ ตำแหน่ง เป็นอุตสาหกรรมจากการนำขวดน้ำพลาสติก จากตีนตบ และจากรองเท้าแตะนำกลับมาใช้ใหม่ อัตราการว่างงานของไตรมาสนี้ได้ลดลงถึงร้อยละ ๔.๒ เต็มๆ

กระทรวง ไอซีทีได้จ้างงานในหน่วยงานเพิ่มขี้นประมาณร้อยละ ๐.๔ ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด งบประมาณใหม่ ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท ได้จัดสรรเพื่อการสร้างตึกใหม่ เพื่อรับจำนวนคนงานที่เพิ่มขี้น และค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์พีซี ซื้อ T3 เพื่อเชื่อมต่อกับ กสท โทรคมนาคม อึก ๒๕๐,๐๐๐ บาท

ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมต.กระทรวงไอซีทีได้อธิบายว่า “ไม่มีคำว่ามากไป ในการใช้จ่ายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของกษัตริย์” เธอกล่าวต่อว่า

“คน ไทยที่มีความจงรักภักดีถึง ๒๔๗,๐๐๐ คน ได้เฝ้าจับตาดูเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติตลอด ๒๔ ชั่วโมงทุกวัน เรารู้สึกปลอดภัยมากขี้น และเป็นการสร้างงานที่ดีสำหรับประชาชน ที่อาจจะไปทำงานฟาร์มหรือโรงงานที่ได้ค่าแรงน้อยกว่า ซึ่งมีชาวพม่าและกัมพูชาทำงานนั้นแทน”

แปลและเรียบเรียง - chapter 11
ที่มา: http://facthai.wordpress.com/2009/03/20/web-censorship-thailands-largest-employer-not-the-nation/


ประชาธิปัตย์ไม่ยอมทำความเข้าใจในเรื่องพวกก่อการร้าย

Liberal Thai



Thai Democrats can’t see insurgency for what it is
Zachary Abuza - ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๒
New Straits Times

ตั้งแต่ รัฐประหารเดือนกันยายน ๒๕๔๙ จนถึงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว นักการเมืองศักดินาทางกรุงเทพแทบจะไม่สนใจกับการลุกฮือของสามจังหวัดทางใต้ คือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และบางส่วนของสงขลาซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม

การรณรงค์เรื่องความรุนแรงในภาคใต้ว่ามีคนถูกฆ่าตายมากกว่า ๓,๖๐๐ คน และสองเท่าของจำนวนนี้ซึ่งได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๔๗

รัฐบาล และหน่วยงานความมั่นคงได้ดำเนินการผิดพลาด เบื้องหลังของความล้มเหลว การเร่งประกาศกฎอัยการศึก การเอาแต่ใช้กำลัง หน่วยงานข่าวกรองที่อ่อน การไม่ทำความเข้าใจในกลุ่มใหม่ๆและองค์กรต่างๆของกลุ่มที่ติดอาวุธ การแข่งขันกันเองของหน่วยงานรักษาความมั่นคง และความล้มเหลวที่จะสร้างความปลอดภัยอย่างเพียงพอ

ผล ที่ได้คือความล้มเหลวในด้านสวัสดิการทางสังคม ด้านกฏหมายและการปราบปราม การทำลายล้างกลุ่มชนชาวพุทธสยามจากชายแดน และการขาดความมั่นใจจากหน่วยงานรัฐบาล

กลุ่ม ที่มีขนาดใหญ่ของประเทศไทยทางใต้ คือกลุ่มที่จะแยกดินแดนเป็นอิสระ แต่รัฐบาลได้ปฎิเสธถึงการดำเนินงานที่ผิดพลาด ที่มีต่อกลุ่มติดอาวุธชาวอิสลามและกลุ่มแบ่งแยกดินแดน

ตั้งแต่ วันที่ ๑๕ ธันวาคม จนวันนี้ครบ ๓ เดือน นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เคยประกาศว่าการแก้ปัญหาในเรื่องกลุ่มติดอาวุธซึ่งตั้งขี้นเป็น ปีที่หกแล้ว เป็นงานสำคัญอันดับต้นๆของรัฐบาล

อภิสิทธิ์ ให้คำมั่นสัญญาว่า จะทบทวนต่อระเบียบปฎิบัติของหน่วยงานราชการ และปรับปรุงสายการบังคับบัญชาในทางใต้ให้มีประสิทธิภาพขี้น อภิสิทธิ์เมื่อไม่ต้องห่วงเรื่องการทำรัฐประหาร เพราะมีทั้งกองทัพและราชวงศ์หนุนหลังอยู่ เขาได้สัญญาว่า จะจัดตั้งฝ่ายพลเรือนให้มากขี้นเพื่อมาดูแลและสั่งการ

อภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้มีความผูกพันล้ำลึกกับภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงดั้งเดิม เขาได้พูดซ้ำเหมือนคำสัญญาที่ล้มเหลวของอดีตนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่จะสนับสนุนให้มีการประนีประนอมกัน

นี่ ไม่ใช่ลางดีสำหรับทางภาคใต้ และคาดว่าแทบจะไม่มีความก้าวหน้าภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ พวกเขายังคงไม่ยอมเข้าใจว่าการก่อความไม่สงบเพื่ออะไร และยังไม่ยอมรับรู้ว่า มีเป้าหมายเพื่อจัดตั้งรัฐอิสลามอิสระ

เป็น เวลาถึงห้าปีมาแล้ว ผู้ซึ่งรับผิดชอบในการก่อความรุนแรงไม่ได้มีการพูดคุยกับรัฐบาล สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องมาสมานฉันท์

แม้ ว่าพวกเขาไม่ชนะ แต่ก็ไม่แพ้เช่นกัน แม้ว่าผู้นำของกลุ่มก่อการร้ายได้ถูกจับไปบ้างก็ตาม แต่ความสามารถในการสั่งการทั้งสี่จังหวัดภาคใต้ ยังคงอยู่เป็นปกติทุกวัน

ใน ๘๕ วันแรกของรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่สามารถหยุดความรุนแรงลงได้ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม มีผู้ถูกฆ่าตาย ๘๘ คน ซึ่งเป็นตำรวจ ๕ นาย ทหาร ๙ นาย และพลลาดตระเวณ ๑๔ นาย และอาสาสมัครดูแลหมู่บ้านและพลเรือนอีก ๖๐ คน

ในช่วงเวลานี้ มี่คนได้รับบาดเจ็บ ๑๓๙ คน เป็นตำรวจ ๓๑ นาย ทหาร ๕๓ นาย พลลาดตระเวณ ๙ นาย และอาสาสมัครดูแลหมู่บ้านและพลเรือน ๔๖ คน

ยังมีการระเบิด ๓๔ ครั้ง พยายามที่จะทำการระเบิด ๗ ครั้ง และถูกตัดหัว ๗ คน ซึ่งศพ ๖ ศพได้ถูกเผาไฟ

ตัวเลขที่อ้างนี้ได้มาจากสื่อ และความรุนแรงทางใต้นี้ ยังคงเกิดขี้นเป็นประจำแต่ไม่มีการรายงานข่าว

อภิสิทธิ์ สัญญาเมื่อคราวที่เดินทางไปภาคใต้ว่า “ใช้กำลังทหารน้อยลง มุ่งเน้นเรื่องมาตราการ” และให้คำมั่นว่าจะยกเลิกกฎอัยการศึก แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีอะไรเกิดขี้น

ถ้า อภิสิทธิ์ต้องการที่จะแก้ไขเรื่องความขัดแย้ง สำหรับเขาแล้วไม่มีที่ไหนที่จะเริ่มต้นได้ดีไปกว่า การเอานโยบายการกักตัวผู้ต้องสงสัย และขั้นตอนการพิจารณาคดีมาปรับปรุงใหม่

ขั้นตอนไม่เพียงแต่ล้มเหลว แต่ได้นำไปสู่ความล้มเหลวในการร่วมมือกันระหว่างกองทัพ ตำรวจ และศาล

ภาย ใต้กฎอัยการศึก ผู้ต้องสงสัยถูกจองจำไว้ ๓๐ วันโดยไม่ต้องมีการพิจารณาคดี หลังจากนั้นจึงจะมีการตั้งข้อหาหรือต้องปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยไป

การ กักกันตัวได้มีจำนวนพุ่งสูงขี้นในปี ๒๕๕๐ แต่คดีส่วนใหญ่ตำรวจไม่สามารถทำคดีส่งฟ้องพวกเขาได้ กองทัพบกพยายามจะขยายขอบเขตของกฎอัยการศึก ด้วยการเปิดรับสมัครบุคคลใน “โครงการณ์ฝึกอบรมวิชาชีพ” ซึ่งต่อมาศาลได้มีคำสั่งห้าม

ผู้ ต้องสงสัยประมาณ ๑,๕๔๔ คนที่ถูกจับระหว่างเดือนมกราคม ๒๕๔๗ จนถึงเดือนธันวาคมที่แล้ว ศาลได้ตัดสินไปเพียง ๑๕๓ คดี(ร้อยละ ๑๐) ข้อกล่าวหาต่อผู้ที่ถูกกักกันมากกว่าร้อยละ ๗๐ ได้ถูกยกฟ้อง ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับกองทัพ

ส่วน หนึ่งของปัญหาคือ การที่ตำรวจขาดความสามารถในการรวบรวมหลักฐานตามกระบวนการทางกฎหมาย ความจริงที่ว่าความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน หรือพยานไม่ให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่

เป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อเรื่องนี้ได้เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ ๒ เรื่อง

* เรื่อง แรก เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม องค์การนิรโทษกรรมสากลได้ตีพิมพ์รายงานที่เลวร้าย ของการใช้วิธีการทารุณกรรมอย่างเป็นระบบของทหารบกของไทย โดยอ้างถึงคดีของผู้ถูกกักขัง ๓๔ คน

รายงานก่อนหน้านี้ได้เน้นคำว่า “หายตัวไป”

ในขณะที่อภิสิทธิ์ปฎิเสธการถูกกล่าวหาเรื่องการทรมานอย่าง “เป็นระบบ” ชาวมุสลิมทางใต้ก็ได้ประณามการปกป้องเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ที่ได้นำไปสู่การล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน

การ ปกป้องเจ้าหน้าที่ผู้ที่ละเมิดกฎหมาย ได้ถูกยกเลิกในหลายๆคดี เช่นเมื่อเดือนธันวามคมที่แล้ว เมื่อศาลได้มีการตัดสินว่าทหารกระทำผิดในการทารุณกรรมและฆ่าอิหม่ามที่อยู่ ในการคุมขังถึงตาย

แต่เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ได้มีการยกฟ้องคดีของเจ้าหน้าที่ ๖ คน ที่ถูกกล่าวหาว่าทำการทารุณกรรมที่กรือแซะเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๗

* เรื่อง ที่สอง ฝ่ายความมั่นคงไม่พอใจต่อการที่ศาลไม่สามารถ หรือไม่ต้องการที่จะตัดสินผู้ถูกคุมขังว่าได้กระทำผิด ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากกระแสเรื่องการกล่าวหาในการทำวิสามัญฆาตกรรม

ตัวอย่าง เช่นเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ครูสอนศาสนาที่ได้ถูกคุมขังจากฝ่ายความมั่นคง และศาลได้ตัดสินว่าไม่ผิดเนื่องจากขาดหลักฐาน ได้ถูกยิงตายหน้าสุเหร่าที่ปัตตานี ก่อให้เกิดการลุกฮือขึ้นในกลุ่มชาวมุสลิม

เจ้า หน้าที่หลายฝ่ายมีความไม่พอใจต่อระบบศาลในปัจจุบัน มีการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งศาลเกี่ยวกับความมั่นคง เพื่อเร่งการตัดสินตามขั้นตอนของศาลให้เร็วขี้น ศาลดังกล่าวอาจจะใช้ไปถึง การควบคุมต่อการกล่าวหาที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของฝ่ายกองกำลัง ความมั่นคง

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจะต้องยุติการให้ความคุ้มครองแบบครอบคลุมต่อกองกำลังความมั่นคง

- นักเขียนเป็นอาจารย์สอนคณะรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไซมอนคอ ลเลจที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายในไทย “การสมคบคิดของความเงียบ” ที่จะตีพิมพ์ในปีนี้

แปลและเรียบเรียง - chapter 11
ที่มา: http://www.nst.com.my/Current_News/NST/Sunday/Columns/2504958/Article/index_html


2 โจรป่วนใต้ควงอาก้า ถล่มผช.ผญบ.ยะลาดับ

เมื่อ เวลา 16.15 น.วันนี้ (21 มี.ค.) พ.ต.ท.ศุภวัฒน์ ชินรี สารวัตรเวร สภ.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา รับแจ้งเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มมีผู้บาดเจ็บ ที่บ้านปาแตรายอ หมู่ 2 ต.เกะรอ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วพร้อมด้วย พ.ต.อ.ชัยทัต อินทนูจิตร รอง ผบก.ภ.จ.ยะลา พ.ต.อ.นรินทร์ บูสะมัญ ผกก.สภ.รามัน สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเดินทางไปที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 19/2 หมู่ 2 ต.เกะรอ พบกองเลือดเปรอะอยู่บนคันดินคูน้ำที่เพิ่งขุด พบปลอกกระสุนปืนอาก้าตกกระจายเกลื่อนหน้าบ้านเก็บรวบรวมไว้ได้นับสิบปลอก

ส่วน ผู้บาดเจ็บชื่อ นายอูมา บองอ อายุ 34 ปี เจ้าของบ้านถูกกระสุนเต็มลำตัวอาการสาหัสถูกนำส่งโรงพยาบาลรามัน แล้วจึงตามไปสอบสวน ปรากฏว่านายอูมา ทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจในเวลาต่อมา



จาก การสอบสวนทราบว่า นายอูมา เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ หรือ ผรส. ก่อนเกิดเหตุนายอูมากำลังขุดร่องคูระบายน้ำหน้าบ้าน มีคนร้าย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าไม่ทราบหมายเลขทะเบียนขับขี่มาจอดหน้าบ้าน ตะโกนเรียกนายอูมาทำทีมีธุระ จังหวะเดียวกันคนซ้อนท้ายได้ใช้อาวุธปืนอาก้ายิงถล่มจนนายอูมาล้มลงนอนแน่ นิ่ง คนร้ายเข้าใจว่าตายแล้วจึงได้ขับขี่ จยย.หลบหนีมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาบูโดอย่างรวดเร็ว ส่วนสาเหตุเชื่อว่ามาจากสถานการณ์ความไม่สงบ

สถาบันพระปกเกล้า สมุนอำมาตย์ อย่าสะเออะมาเป็นคนกลางปฎิรูปการเมือง



ผมได้ยิน ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปฎิรูปการเมือง แล้วผมรู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง


พวก คุณคิดว่าประชาชนไทยโง่นักหรือครับ ที่จะไม่รู้ว่า วิกฤติการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทยครั้งนี้ใครเป็นตัวกลาง ใครเป็นคู่กรณี ใครเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งทางการเมือง

ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ไม่ได้เป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย หรือความขัดแย้งระหว่าง กลุ่ม พธม. กับกลุ่มคนเสื้อแดง แต่เป็นความขัดแย้งระหว่าง "อำมาตรยาธิปไตย" กับ "ระบอบประชาธิปไตยแบบมวลชน" นักการเมืองไม่ใช่สาเหตุแห่งการขัดแย้งครั้งนี้ นักการเมืองทั้งหลายเป็นเพียงแต่คนแสดงบนเวทีเท่านั้น แต่ไม่ใช่คู่กรณี

คู่ กรณี คือ คนที่เขารู้กันทั่วประเทศ แต่ห้ามพูดนั่นแหละ หากไม่ยอมรับความจริง คิดว่าชาวบ้านโง่ แล้วพยายามหลอกตัวเองว่าเป็นกลาง มันก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ได้



สถาบันพระปกเกล้านั้น เป็นองค์กรที่เป็น "ตัวแทนของอำมาตรยาธิปไตย" โดยแท้ เป็นแหล่งซ่องสุมของบริวารอำมาตย์โดยตรง และ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโน คือ ลูกสมุนสำคัญของอำมาตรยาธิปไตยเลยทีเดียว การเสนอตัวเองมาเป็นคนกลางเพื่อแก้วิกฤติการณ์ทางการเมือง คือ "ความหน้าด้าน" อย่างเห็นได้ชัด ยังหลงตัวเองอยู่อีกหรือว่า ไม่มีใครรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมการเมืองครั้งนี้ของอำมาตรยาธิปไตย



ตอน นี้ผมไม่คิดว่าประเทศไทยจะมีคนกลางแล้ว และสังคมไทย ไม่มีผู้ใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพอีกต่อไป ดังนั้น การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ตัวการแห่งความขัดแย้งทั้งหลาย ที่เป็น "ตัวการจริงๆ " จะต้องแสดงความจริงใจออกมาก่อนว่าต้องการแก้ไขปัญหาครั้งนี้



การเสนอตัวเองเข้ามาของ สถาบันพระปกเกล้า ผมแทบจะมองออกเลยว่า รัฐธรรมนูญที่ออกมาจะเป็นอย่างไร มันคงเป็นรัฐธรรมนูญ "ระบอบ 70/30 " แบบเนียนๆ นั่นแหละครับ เป็นรัฐธรรมนูญที่ สงวนอำนาจของอำมาตยาธิปไตยเอาไว้ และไม่เคารพในอำนาจของปวงชนอย่างแท้จริง คงมีองค์กรอิสระที่ท้ายสุดแล้วที่มาขององค์กรเหล่านี้ คือ ตัวแทนของอำมาตยาธิปไตย ที่เข้ามา "ขัดขวางอำนาจของปวงชน" นั่นเอง แทบจะเดาได้เลยว่ามันจะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร



รัฐ ธรรมนูญที่ไม่เคารพในอำนาจของปวงชน ให้อำนาจพวกที่มาจาก การแต่งตั้ง หรือจะเรียกอย่างโก้หรูว่า "สรรหา" ที่จริงก็ สรรหามาจากกลุ่มอำมาตรยาธิปไตยนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนนัก รัฐธรรมนูญแบบนี้ ก็คงไม่ต่างจาก รธน.ปี 50 ที่มาจาก คมช. นั่นแหละ



อัน ที่จริงแล้ว ตัวของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโนเอง ก็ไม่ได้มีเกียรติหรือศักดิ์ศรีเพียงพอที่จะเข้ามาเป็นคนนำการปฎิรูปการ เมืองครั้งนี้ การยื่นหนังสือถึงนักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้เข้าไปร่วมมือกันปฎิรูปการเมืองนั้น ผมไม่คิดว่า “นักวิชาการในมหาวิทยาลัย” ยุคนี้จะมีเกียรติพอที่จะเป็นผู้นำในการปฎิรูปทางการเมือง เพราะคนเหล่านี้ แท้ที่จริงแล้วก็ขายตัวให้กับอำมาตยาธิปไตย ไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่ ว่าจะเป็นอธิการบดีนิด้า หรือ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนเหล่านี้ “ไร้เกียรติในทางวิชาการ” แทบทั้งสิ้น เพราะพวกเขาเข้าไปสยบต่อ คณะรัฐประหาร สยบต่ออำมาตยาธิป แต่ยังจะเสนอหน้าเข้ามาปฎิรูปทางการเมือง

ความขัดแย้งทางการเมืองไทยครั้งนี้ ในความคิดเห็นของผมแล้ว มันไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางชนชั้นเท่านั้น แต่มันคือ การพัฒนาการทางการเมือง ของสังคมที่กำลังเคลื่อนตัวจากสังคมเกษตรกรรม เข้าสู่ความเป็นสังคมอุตสาหกรรม ประชาชนทั่วไปที่มีสิทธิในการเลือกตั้ง เริ่มเรียนรู้ในอำนาจของตน และเลือกตั้งตามผลประโยชน์ของชนชั้นตน เช่น คนรากหญ้าก็เลือกพรรคที่มีนโยบายสนับสนุนพวกเขา เหมือนการทุ่มคะแนนให้กับพรรคไทยรักไทย ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นต้น

ใน ขณะเดียวกัน สังคมไทยที่มีการโปรประกันดากันมาหลายทศวรรษ เกี่ยวกับ “ความศักดิ์สิทธิ์” บารมี หรือที่ ประเทศจีนยุคเหมาเซตุง เคยโปรประกันดายกยอเหมาเซตุง จนเลิศเลอ รวมๆ แล้วเรียกว่า “ลัทธิบูชาตัวบุคคล” หลายทศวรรษมานี้ ประเทศไทยเหมือนอาณาจักรทางศาสนาของยุโรปในยุคกลางเลยทีเดียว ที่มีการบูชาพระเจ้า ใครขัดแย้งต่ออาณาจักรทางศาสนา ก็โดนกฎหมายเล่นงาน ไม่ต่างจาก “ลัทธิเผาแม่มด” ในยุคกลางมากนัก

สังคมเริ่มยุคอุตสาหกรรม ปะทะเข้ากับ “อาณาจักรจิตวิญญาณเก่าที่กำลังตาย” ก็เลยเกิดเป็น วิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้น

ผมอาจเขียนวกวนไปบ้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนเผา เหมือนแม่มดในยุคกลางโดนเผา แต่แฟนๆ ที่ติดตามผมก็คงรู้ว่า ผมพูดถึงอะไร

นั่นแหละครับคือ “ต้นตอรากฐานของความขัดแย้ง” หากยังไม่ยอมรับความจริง มันไม่มีทางแก้ไขได้หรอก

ความ พยายามในการที่จะปฎิรูปการเมืองของสถาบันพระปกกล้า คงล้มเหลว เข่นเดิม เหมือนที่ ดร.โคทม อารียา เคยพยายามที่จะเริ่ม “สานเสวนา” เพื่อความปรองดองแห่งชาติ เมื่อสองสามเดือนที่แล้วมา ที่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะไม่มีใครร่วมมือด้วย และคนที่เป็นตัวกลางของความขัดแย้ง พอจะกล่าวนามได้คนหนึ่งคือ “พล.อ.ป.” ก็ไม่ได้เข้ามาเจรจาด้วย

ทีจริงไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ไม่ว่าใครริเริ่ม หากไม่ยอมรับความจริงว่า ความ ขัดแย้งครั้งนี้ เกิดขึ้นระหว่าง “อำมาตยาธิปไตย” กับ “ประชาธิปไตยแบบมวลชน” แล้วพยายามที่จะหลอกตัวเอง “กันใครบางคนบางกลุ่ม” ที่เป็นตัวกลางของความขัดแย้งออกไป

ผม ไม่ค่อยกังวลนักกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ เพราะผมเชื่อว่า สุดท้ายสังคมจะมีทางออกของมันเอง สังคมไทยมาสู่ยุคที่ “ดักแด้” ต้องกลายเป็น “ผีเสื้อ” โบยบินไป มันถึงเวลาที่ ดักแด้ต้องลอกคราบแล้ว จะดิ้นรนขัดขวางอย่างไร มันก็ไม่มีทางที่จะปิดกั้นการพัฒนา หรือ กันไม่ให้ดักแด้ลอกคราบไปได้

สุดท้าย ประชาชนจะชนะ และอำมาตยาธิปไตยคงเสื่อมสลายไป มันคือพัฒนาการของสังคม

สถาบันบางสถาบันหากไม่ปรับตัว ก็คงล่มสลายไปกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้

ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า “วิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2009” จะ เป็นตัวการที่ทำลายอำมาตรยาธิปไตย ลงไปอย่างราบคาบ สังคมที่เคลื่อนเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม คงไม่มีสถาบันใดที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จะสามารถอยู่ได้ต่อไปได้

สื่อที่พยายามออกมาตีปิ๊ปให้สถาบันพระปกเกล้า ไม่ได้ประเมินตัวเองเลยว่า ยุคปี 2009 นี้ สื่อกระแสหลักได้เสื่อมลงไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีใครเขาเชื่อสื่อกันอีกต่อไปแล้ว ความไม่เป็นกลาง และไปสยบแทบเท้าของอำมาตยาธิปไตยบวกพวกศักดินา ทำให้สื่อกระแสหลักหมดสิ้นคุณค่าต่อสังคมไปนานแล้ว

ปัจฉิมลิขิต

นักการ เมืองไม่ได้เป็นตัวการของปัญหา นักการเมืองแบบทักษิณกำลังปกครองประเทศไปได้ดี ประชาชนมีความหวัง อยู่พวกอำมาตย์+ศักดินา ก็ใช้ทหารเป็นเครื่องมือ ทำลายรัฐธรรมนูญ สุดท้ายก็ทำลายความสามัคคี และเสถียรภาพทางการเมืองของคนไทยไปอย่างย่อยยับ

นักการเมืองไม่ได้โกงกินชาติมากไปกว่าพวกอำมาตยาธิปไตย ที่สูบเลือดสังคมมานาน แต่นักการเมืองคือ ตัวแทนของประชาชน และประชาชนสามารถเปลี่ยนได้ แต่พวกอำมาตย์ ประชาชนเปลี่ยนไม่ได้ พวกนี้รวยกว่านักการเมืองมากนัก

คนที่สร้างความแตกแยกให้กับคนไทยมาสามปีกว่านี้ คือพวกอำมาตย์นั่นแหละ ไม่ใช่นักการเมือง

เกียรติกรแจงงดโหวตกษิต หวั่นชนวนเสื้อแดงลุกฮือ



นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวภายหลังปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ (21 มี.ค.) ว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ รู้สึกแคลงใจที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจน้อยกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคนอื่น 9 คะแนน เพราะถือว่าเป็นการแปรปรวนเล็กน้อย เนื่องมาจากเหตุผล 3 ปัจจัย คือ1.นายกษิตประกาศชัดว่าจะยืนหยัดตรงกันข้ามกับระบอบทักษิณจนชีวิตจะหาไม่ 2.ได้ทำหน้าที่จัดการกับสิ่งพะรุงพะรังกับพ.ต.ท.ทักษิณอย่างเข้มข้น เช่น การยึดพาสปอร์ต และการติดตามส่งผู้ร้ายข้ามแดน และ3.เป็น พวกที่ยืนอยู่คนละพวกกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคลื่อนไหวมาตลอด ซึ่งเป็นเรื่องติดตัวมาก่อนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พรรคร่วมรัฐบาลจึงตั้งธงเอาไว้ว่าจะไม่ลงคะแนนให้



"ส่วนการที่พรรคร่วมรัฐบาลกดดันให้ปรับนายกษิตออก อาจส่งผลทำให้เกิดการล้างระบอบทักษิณยากลำบากขึ้น ถ้า สังคมให้รางวัลกับนายกษิตแบบนี้ พันธมิตรฯจะรู้สึกเสียใจ แต่คงไม่เคลื่อนไหวอะไร เพราะเข้าใจนายกษิตดีว่าไม่ได้ต้องการอะไร ขณะนี้ภาระของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ยังไม่สิ้นสุดเกี่ยวกับการล้างระบอบทักษิณ แต่หากรัฐบาลจะคิดอย่างไรกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พันธมิตรรับได้หมด" นายสมเกียรติ กล่าว



ด้าน นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหลังการโหวตลงคะแนนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ตนได้โหวต งดออกเสียงให้นายกษิต ตามที่ได้ประกาศไว้แล้วตามเอกสิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 126 ให้ส.ส.สามารถใช้เอกสิทธ์ส่วนตัวได้ ขอชี้แจงว่า จำเป็นต้องโหวตไม่เป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ของพรรค แม้ตนจะเป็นส.ส.สังกัด พรรคเดียวกัน เพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ เนื่องจากถ้านายกษิตยังนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต่อไป กลุ่มคนเสื้อแดงก็ใช้กรณีของนายกษิตเป็นข้ออ้างหลักในการรวมตัวชุมนุม สำหรับพื้นที่อื่นตนไม่ทราบแต่ในจ.ปราจีนบุรีชาว บ้านที่เลือกตนเข้ามา เขาฝากบอกมาเช่นนี้ และตนก็ได้ยึดหลักตามที่นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรกซึ่งเป็นคนจังหวัดปราจีนบุรียึดถือมาโดยตลอด คือ ยึดถือความถูกต้องเป็นหลักใหญ่



ผู้สื่อข่าวถามว่า มีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางส่วนไม่พอใจที่นายเกียรติกร นอกจากเป็นส.ส.แล้ว ยังมีสถานะเป็นวิปพรรคร่วมรัฐบาลด้วย แต่กลับโหวตลงมติด้วยการงดออกเสียงหนุนรัฐมนตรีของพรรค ซึ่งไม่เหมาะสม เกรงหรือไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวให้ออกจากการเป็นวิปรัฐบาล นายเกียรติกรกล่าวว่า การที่ตนย้ายเข้ามาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์คนเดียวก็ชี้ชัดแล้วว่า ไม่ติดยึดตำแหน่งหรือเก้าอี้ใดๆ ดังนั้นการจะปลดตนออกจากการเป็นวิปรัฐบาลก็ไม่เป็นไร หากผู้ใหญ่ในพรรคเห็นเช่นนั้น เพราะส่วนตัวก็ยังยืนยันทำหน้าที่ต่อไปโดยยึดหลักความถูกต้องเป็นธรรม และพร้อมที่จะเหตุผลต่างๆที่โหวตลงมติเช่นนี้ในที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในวันอังคารที่ 24 มี.ค.นี้

"เสื้อแดง"ซัด"ฝ่ายมั่นคง"เขียนแผน "ตากสิน"เองหวังฟันงบฯ รบ.เล็งสกัดม็อบปิดทำเนียบอยู่แค่สนามหลวง

รัฐบาลเล็งสกัดม็อบปิดทำเนียบ ห้ามเคลื่อนพ้นสนามหลวง อ้างช่วงปลายเดือน มี.ค.มีงานกาชาด เชื่อเจตนาสร้างสถานการณ์รุนแรง "เสื้อแดง"โอ่มองข้ามไล่"มาร์ค" ประกาศล้างอำนาจคนชักใยรัฐบาล ตำรวจเตรียมจับ 20 แกนนำพันธมิตร คดียึดสนามบินสุวรรณภูมิ ชี้โทษสูงถึงขั้นประหารชีวิต

เล็งสกัดเสื้อแดงไว้ที่"สนามหลวง"
รัฐบาล เตรียมสกัดกลุ่มเสื้อแดงที่ประกาศชุมนุมใหญ่วันที่ 26 มีนาคมนี้ โดยให้ชุมนุมอยู่บริเวณท้องสนามหลวง ไม่ให้เคลื่อนมาปิดทำเนียบรัฐบาล โดยอ้างว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการจัดงานกาชาด บริเวณพระบรมรูปทรงม้า ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศชุมนุมยืดเยื้อ เพื่อชำระล้างอำนาจคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล
ทั้งนี้ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เจ้าของไอเดียจัดพื้นที่ควบคุม (โซนนิ่ง) ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ว่า ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ จะมีการจัดงานกาชาดบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า จึงหวังว่าผู้นำม็อบจะมีวุฒิภาวะ และไม่ทำให้ประชาชนลำบาก เพราะนี่คืองานการกุศล ซ้ำที่ผ่านมาแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ได้ใช้สิทธิตรวจสอบรัฐบาลในรัฐสภาอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือ กลุ่มคนเสื้อแดงควรชุมนุมอยู่ที่ท้องสนามหลวง ไม่ควรเคลื่อนขบวนมาปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เพราะทำให้ทั้งผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่เหนื่อยเปล่าๆ การชุมนุมอยู่ที่สนามหลวงก็ยื่นข้อเรียกร้องได้เหมือนกัน
ผู้สื่อข่าว ถามว่า หากแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนมาทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสกัดได้หรือไม่ นายถาวรกล่าวว่า ต้องไม่ให้เลยสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถ้ามีการเคลื่อนขบวนจริงคงคุมลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ใช้กำลัง หรือความรุนแรง

รัฐบาลประเมินสถานการณ์รุนแรง
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 26 มีนาคม และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะโฟนอิน ว่าตอนนี้ทุกคนก็ทราบว่าปัญหาเศรษฐกิจก็รุนแรงอยู่แล้ว คิดว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการที่จะเดินหน้า ก็อยากจะให้ทุกคนได้คิดถึงตรงนี้
เมื่อถามว่า เห็นอย่างไรกับกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ออกมาเรียกร้องพลังเงียบให้ออกมาแสดงพลังอยากเห็นบ้านเมืองสงบ
นาย อภิสิทธิ์กล่าวว่า "ผมคิดว่าจริงๆ แล้วความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ก็ต้องการให้บ้านเมืองสงบ เดินไปข้างหน้า ก็ขอให้แสดงออกกันได้ แต่ว่าต้องเป็นการแสดงออกอย่างสงบ สันติ"
นายสา ทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันจุดยืนเดิมว่า หากชุมนุมเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถทำได้ แต่ถ้าชุมนุมทำให้เกิดความเสียหาย เช่น บุกรุกสถานที่ราชการ รัฐบาลคงยอมไม่ได้ ทั้งนี้เท่าที่ฟังเจตนาของกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งใจจะยกระดับการชุมนุม และทำให้สถานการณ์เกิดความรุนแรง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องดูแลต่อไป โดยรัฐบาลจะประเมินสถานการณ์การชุมนุมเป็นระยะๆ

"จตุพร"เล็งล้มอำนาจคนชักใย
นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การชุมนุมใหญ่ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ จะเป็นการชุมนุมยืดเยื้อ เพื่อที่จะขับไล่รัฐบาล และจะมีการปฏิบัติยุทธการดาวกระจายไปตามจุดต่างๆ โดยการชุมนุมครั้งนี้จะไม่เหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา ในครั้งนั้นเห็นแก่หน้าตาของประเทศ เพราะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม
"ประเทศนี้เป็นอำมาตยาธิปไตย หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะไม่สามารถบริหารประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ และการขับไล่รัฐบาลในครั้งนี้ เรามองข้ามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯไปแล้ว เพราะต้องการที่จะชำระล้างอำนาจคนที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งในขณะที่การบริหารภายใต้รัฐบาลเดิมที่ดื้อดึง ไม่ยอมทำตามก็ถูกปฏิวัติ แต่รัฐบาลใหม่ยอมอยู่ภายใต้การชักใย อยู่ภายใต้การกดขี่ทุกรูปแบบ สามารถที่จะอยู่บริหารประเทศได้ ซึ่งการชำระล้างประเทศนั้นจะดำเนินการทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และกระบวนการยุติธรรมมีมาตรฐานมากกว่าที่เป็นในปัจจุบัน" นายจตุพรกล่าว
นาย จตุพรกล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สนามกีฬา 700 ปี จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 22 มีนาคมนี้ จะมีการฉายวิดีโอเทป พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อปราศรัยต่อประชาชน ไม่ใช่รูปแบบของการสนทนาเหมือนที่ผ่านมา และจะพูดถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ส่วนการโฟนอินนั้นไม่มี แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะชมทางอินเตอร์เน็ต

ซัดฝ่ายมั่นคงรัฐบาล เขียนแผนตากสินของบฯ
" พ.ต.ท.ทักษิณ จะวิดีโอลิงก์มาที่ จ.เชียงใหม่ เป็นครั้งแรก และจะใช้วิดีโอลิงก์แบบนี้ในทุกที่ เพราะผู้ชุมนุมจะได้เห็นท่านและท่านก็จะได้เห็นเรา โดยจะเป็นการพูดในลักษณะการปราศรัยมากกว่าการสนทนา" นายจตุพรกล่าว
ผู้ สื่อข่าวถามถึง "แผนตากสินไ ที่จะล้มรัฐบาล นายจตุพรกล่าวว่า "ไม่มี เป็นพวกฝ่ายความมั่นคงเขียนเองเออเองเพื่อนำไปสู่การตั้งงบประมาณ การที่บอกว่าเราไปประชุมที่นั่นที่นี่นั้น ขอให้บอกมาเลยว่าเป็นที่ไหนจะได้ฟ้องได้ถูกตัว ที่ตั้งชื่อแบบนี้ก็แค่ให้ตื่นเต้นเท่านั้น
ส่วนกรณี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เรียกร้องให้พลังเงียบออกมาจัดการกับกลุ่มเสื้อแดงนั้น นายจตุพรกล่าวว่า ถ้าพลังเงียบออกมาก็น่าจะออกมาเพื่อจัดการกับ พล.อ.อนุพงษ์มากกว่า เพราะ พล.อ.อนุพงษ์ สนุกกับการใช้งบฯเพียงอย่างเดียว แต่หน้าที่รักษาความสงบของประเทศกลับไม่ยอมทำ
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจบการอภิปราย เชื่อว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะการเมืองจะเกิดสุญญากาศ แม้ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จะมีการนำเรื่องเก่ามาพูด แต่เป็นการเชื่อมโยงให้ประชาชนได้เห็นภาพ และเชื่อว่าในการชุมนุมในวันที่ 26 มีนาคมนี้ คนเสื้อแดงจะมาร่วมชุมนุมมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

เสื้อแดงเชียงรายไม่ปิดสนามบิน
น. ส.จีรนันท์ จันทวงศ์ แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย จ.เชียงราย กล่าวถึงงานความจริงวันนี้สัญจร ซึ่งจะจัดที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในวันที่ 21 มีนาคม ว่าการชุมนุมจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 17.00 น. โดยมีการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ และมีแกนนำเข้าร่วมหลายคน เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คาดว่าจะมีกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าร่วมงานจำนวนมาก
"สำหรับวันที่ 23 มีนาคม ซึ่งนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จะไปปฏิบัติราชการที่ จ.เชียงรายนั้น คงจะไปต้อนรับกันที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยไม่ไปปิดปากทางสนามบิน เพราะมีการขอร้องกันเอาไว้แล้ว นอกจากนี้จะตามไปที่ศาลากลางจังหวัดด้วย โดยจะไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ แต่ใช้ตีนตบไปต้อนรับ"


"เชียงใหม่51"เก้อปาไข่ใส่"สุเทพ"
นา ยมหวรรณ กะวัง หรือ ดีเจนก คลื่น 105.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ประธานกลุ่มคนรักทักษิณแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 22 มีนาคม ว่าแกนนำผู้จัดรายการความจริงวันนี้เป็นผู้จัดงาน แต่ประสานกลุ่มเสื้อแดง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนมาร่วมงาน โดยคาดมีผู้มาร่วมงาน 10,000 คน และ พ.ต.ท.ทักษิณจะมีวิดีโอลิงค์ ในช่วงเวลา 19.00-20.00 น. ส่วนปัญหาความแตกแยกกับกลุ่มรักษ์เชียงใหม่ 51 ได้จบลงแล้ว หลัง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ญาติสนิท พ.ต.ท.ทักษิณ เจรจาไกล่เกลี่ย
วันเดียวกัน กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 กว่า 80 คน รวมตัวหน้าทางเข้าสนามบินเชียงใหม่ หลังได้รับแจ้งข่าวว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาร่วมงานแต่งงานคนในตระกูลนิมมานเหมินท์ ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล แมนดาริน ดาราเทวี โดยเตรียมนำไข่ไก่กว่า 10 แผง มารอต้อนรับ แต่ต้องรอเก้อ เนื่องจากนายสุเทพไม่ได้เดินทางมาตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ส่วน ที่ จ.ชลบุรี กลุ่มเสื้อแดงประมาณ 50 คน นำรูปวาดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลักษณะปากห้อยและมีรองเท้าฟองน้ำ 1 ข้างติดอยู่ พร้อมข้อความว่า �ระบอบอภิสิทธิ์� รวมทั้งนำไข่ต้มในขันโตกขนาดเล็ก มามอบให้นายพิสิษฐ บุญช่วง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เพื่อฝากให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีกำหนดเดินทางมาทำพิธียกช่อฟ้าศาลารวมใจภักดีแผ่นดิน ที่วัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี วันที่ 21 มีนาคม

เล็งจับ20พธม.ยึดสุวรรณภูมิ
ด้าน ความคืบหน้าการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้สอบพยานต่างๆ เสร็จแล้ว รวมทั้งอธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน อีก 2-3 สัปดาห์คาดว่าจะรู้ว่าใครทำผิดอะไรบ้าง เบื้องต้นมีผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดกว่า 20 คน ซึ่งตำรวจมีภาพที่แกนนำขึ้นปราศรัยบนเวทีก็ดูว่าใครผิดอะไรบ้าง และจากหลักฐานที่มีเชื่อว่าสามารถดำเนินคดีได้ ในฐานความผิดบางประการเกี่ยวกับการเดินอากาศยาน มีโทษสูงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
เมื่อถามว่า ในจำนวนผู้ที่ทำผิดมีนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมอยู่ด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.ฉลองกล่าวว่า ก็รวมๆ ทั้งหมด ไม่เฉพาะเจาะจงว่าใคร ก็เป็นไปตามภาพที่มีการขึ้นไปพูดปราศรัยบนเวที ใครเข้าไปเกี่ยวข้องมีหลักฐานไปถึงก็ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ต้องหารือกับพนักงานสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ด้วย เพราะมีความเชื่อมโยงในคดีบุกยึดสนามบินดอนเมือง โดยจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเสนอ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนดูแล บช.น.และ บช.ภ.1 ว่าหลักฐานต่างๆ เพียงพอหรือไม่อย่างไร และจะได้หารือร่วมกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป