เดลินิวส์
ผมว่าใครก็ตามที่เห็น “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตั้งหน้าตั้งตาการทำงานโดยมุ่งไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็คงอดเห็นใจไม่ได้ จะถูกหรือผิด อีกไม่นานก็คงจะเห็นผลกันแล้วครับ ถ้าผลงานออกมาดีชาวบ้านก็มีโอกาสกลับมาทำงานใหม่ แต่ล้มเหลวหรืองานออกมาไม่เป็นตามเป้า ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามารับผิดชอบต่อ
วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นอย่างนี้ละครับ ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่นอกจากรัฐบาลจะแสดงฝีมือในการทำงานแล้ว การให้ความร่วมมือของข้าราช การ หรือเจ้าหน้าที่รัฐก็มีความสำคัญ
บังเอิญมีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในจ.ปราจีนบุรี ระบายความในใจให้ฟัง เกี่ยวกับการใช้งบหลวงเดินทางไปดูงานต่างประเทศ พร้อมยังส่งเอกสารรายละเอียดของโครงการมาให้ดูเสร็จสรรพ เรื่องมีอยู่ว่าทาง จ.ปราจีนบุรี จัดโครงการ “อบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
โดย ให้นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ท้องถิ่นละ 3 คน) รวมทั้งหมด 210 คน พร้อมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เดินทางไปศึกษาดูงานโครงการดังกล่าวที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยแบ่งการเดินทางเป็น 2 รุ่น ช่วงกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
ต้นเรื่องของโครงการนี้มี หลังบ้านของข้าราชการระดับบิ๊กบางคน ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว เข้ามาช่วยเขียนแผนโครงการให้ โดยองค์กรส่วนท้องถิ่นจ่ายค่าลงทะเบียนในการไปศึกษา ดูงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยงบประมาณของท้องถิ่น คนละ 95,000 บาท เบ็ดเสร็จแล้วงานนี้ถลุงงบประมาณของแผ่นดินไป ประมาณ 20 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นเงินไม่มาก แต่ ในยามที่ประเทศชาติถังแตก ต้องหาทางกู้เงินจากต่างประเทศมาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ ผมว่าใครก็ตามที่รับทราบรายละเอียดเรื่องนี้ คงปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้
แต่น่าจะเป็นคำถามที่ทำให้หลายคนรับไม่ได้คือ ผู้บริหารของเทศบาล และ อบต.หลายคน กำลังจะครบวาระในการปฏิบัติ หน้าที่ในปี 2552 มีโอกาสได้ไปดูงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ด้วย ผมอยากถามว่าเมื่อไปดูงานเรียบร้อยแล้ว จะนำความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้พบเห็นในต่างประเทศ มาพัฒนาท้องถิ่นทันหรือไม่ เพราะใกล้จะครบวาระในการดำรงตำแหน่งพอดี หรือมีญาณวิเศษรู้ล่วงหน้าว่า จะได้กลับมาทำงานในหน้าที่เดิมอีก
และ ถ้าย้อนไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2552 ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี “นายกฯอภิสิทธิ์” นั่งหัวโต๊ะ เพิ่งมีมติให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต้องการเดินทางไปราชการในต่างประเทศ เพื่อฝึกอบรมหรือจัดประชุมสัมมนา หากยังไม่ได้ อนุมัติให้งดเว้นหรือชะลอไปก่อน หรือโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้ปรับแผน เป็นการดูงานหรือจัดสัมมนาในประเทศแทน
แต่ก็เปิดช่องว่ากรณี ที่มีข้อตกลงหรือพันธกรณีกับองค์ กร หรือหน่วยงานอื่นในต่างประเทศ และได้รับอนุมัติก่อนหน้านี้ที่จะมีมติครั้งนี้ให้ดำเนินการต่อไปได้ แต่ยามนี้บ้านเมืองกำลังประสบปัญหา ผมคิดว่าข้าราชการทุกฝ่ายต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี และใช้งบประมาณให้คุ้มค่าดีที่สุด
ไม่รู้ว่า ฯพณฯ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย จะสนใจเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการนี้บ้างหรือเปล่า เพราะงบประมาณ 20 ล้านบาท ดูเหมือนไม่มาก แต่ถ้าหากมาหาคำตอบจากงานนี้ ผมกลัวว่า ในอนาคต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ต่าง ๆ จะเลียนแบบบ้างซิครับ
งานนี้ผมไม่รู้ว่า “พี่เบิร์ด” จะคิดอย่างไร ขนาด ททท. อุตส่าห์ทุ่มเงินให้ไปกว่า 60 ล้านบาท เพื่อรณรงค์ไม่ให้คนไทยเที่ยวในต่างประเทศ แต่ดูเหมือนยังช่วยดึงข้าราชการให้ดูงานในประเทศไม่ได้ ถ้าหากเป็นอย่างนี้ สงสัย “นายกฯอภิสิทธิ์” ต้องเรียกเงินคืนแล้วมั้งครับ.
ผมว่าใครก็ตามที่เห็น “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตั้งหน้าตั้งตาการทำงานโดยมุ่งไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็คงอดเห็นใจไม่ได้ จะถูกหรือผิด อีกไม่นานก็คงจะเห็นผลกันแล้วครับ ถ้าผลงานออกมาดีชาวบ้านก็มีโอกาสกลับมาทำงานใหม่ แต่ล้มเหลวหรืองานออกมาไม่เป็นตามเป้า ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามารับผิดชอบต่อ
วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นอย่างนี้ละครับ ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่นอกจากรัฐบาลจะแสดงฝีมือในการทำงานแล้ว การให้ความร่วมมือของข้าราช การ หรือเจ้าหน้าที่รัฐก็มีความสำคัญ
บังเอิญมีสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในจ.ปราจีนบุรี ระบายความในใจให้ฟัง เกี่ยวกับการใช้งบหลวงเดินทางไปดูงานต่างประเทศ พร้อมยังส่งเอกสารรายละเอียดของโครงการมาให้ดูเสร็จสรรพ เรื่องมีอยู่ว่าทาง จ.ปราจีนบุรี จัดโครงการ “อบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
โดย ให้นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ท้องถิ่นละ 3 คน) รวมทั้งหมด 210 คน พร้อมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เดินทางไปศึกษาดูงานโครงการดังกล่าวที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยแบ่งการเดินทางเป็น 2 รุ่น ช่วงกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
ต้นเรื่องของโครงการนี้มี หลังบ้านของข้าราชการระดับบิ๊กบางคน ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว เข้ามาช่วยเขียนแผนโครงการให้ โดยองค์กรส่วนท้องถิ่นจ่ายค่าลงทะเบียนในการไปศึกษา ดูงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยงบประมาณของท้องถิ่น คนละ 95,000 บาท เบ็ดเสร็จแล้วงานนี้ถลุงงบประมาณของแผ่นดินไป ประมาณ 20 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นเงินไม่มาก แต่ ในยามที่ประเทศชาติถังแตก ต้องหาทางกู้เงินจากต่างประเทศมาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ ผมว่าใครก็ตามที่รับทราบรายละเอียดเรื่องนี้ คงปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้
แต่น่าจะเป็นคำถามที่ทำให้หลายคนรับไม่ได้คือ ผู้บริหารของเทศบาล และ อบต.หลายคน กำลังจะครบวาระในการปฏิบัติ หน้าที่ในปี 2552 มีโอกาสได้ไปดูงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ด้วย ผมอยากถามว่าเมื่อไปดูงานเรียบร้อยแล้ว จะนำความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้พบเห็นในต่างประเทศ มาพัฒนาท้องถิ่นทันหรือไม่ เพราะใกล้จะครบวาระในการดำรงตำแหน่งพอดี หรือมีญาณวิเศษรู้ล่วงหน้าว่า จะได้กลับมาทำงานในหน้าที่เดิมอีก
และ ถ้าย้อนไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2552 ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี “นายกฯอภิสิทธิ์” นั่งหัวโต๊ะ เพิ่งมีมติให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต้องการเดินทางไปราชการในต่างประเทศ เพื่อฝึกอบรมหรือจัดประชุมสัมมนา หากยังไม่ได้ อนุมัติให้งดเว้นหรือชะลอไปก่อน หรือโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้ปรับแผน เป็นการดูงานหรือจัดสัมมนาในประเทศแทน
แต่ก็เปิดช่องว่ากรณี ที่มีข้อตกลงหรือพันธกรณีกับองค์ กร หรือหน่วยงานอื่นในต่างประเทศ และได้รับอนุมัติก่อนหน้านี้ที่จะมีมติครั้งนี้ให้ดำเนินการต่อไปได้ แต่ยามนี้บ้านเมืองกำลังประสบปัญหา ผมคิดว่าข้าราชการทุกฝ่ายต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี และใช้งบประมาณให้คุ้มค่าดีที่สุด
ไม่รู้ว่า ฯพณฯ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย จะสนใจเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการนี้บ้างหรือเปล่า เพราะงบประมาณ 20 ล้านบาท ดูเหมือนไม่มาก แต่ถ้าหากมาหาคำตอบจากงานนี้ ผมกลัวว่า ในอนาคต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ต่าง ๆ จะเลียนแบบบ้างซิครับ
งานนี้ผมไม่รู้ว่า “พี่เบิร์ด” จะคิดอย่างไร ขนาด ททท. อุตส่าห์ทุ่มเงินให้ไปกว่า 60 ล้านบาท เพื่อรณรงค์ไม่ให้คนไทยเที่ยวในต่างประเทศ แต่ดูเหมือนยังช่วยดึงข้าราชการให้ดูงานในประเทศไม่ได้ ถ้าหากเป็นอย่างนี้ สงสัย “นายกฯอภิสิทธิ์” ต้องเรียกเงินคืนแล้วมั้งครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น