CBOX เสรีชน

25 มกราคม, 2552

พระเพลิงเผาวอดรับตรุษจีน 3 จุดซ้อน

ประชาทรรศน์
25 ม.ค. 2009

พระเพลิงพิโรธ เผา 3 จุดช้อนรับเทศกาลตรุษจีน ขณะที่ เศรษฐกิจพ่นพิษ ย่านเยาวราช ผู้ประกอบการค้าของเซ่นไหว้ โวย ยอดขายลดลงมากกว่าทุกปี เหตุประชาชนงดการใช้จ่าย ขณะที่ ผู้ว่าฯกทม.เตือนประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการจุดธูปเทียน

วันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ของจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 26 มกราคม 2552 ชาวไทยเชื้อสายจีนทุกบ้านจะประกอบพิธีไหว้เจ้าหรือเรียกว่า "ไป่ปุงเฒ่ากงม่า" และจะเริ่มก่อนวันตรุษจีนหรือชิวอิด ซึ่งชาวจีนเชื้อว่าเป็นวันที่เทพเจ้าแห่งโชคลาภจะออกเดินทางมาท่องโลก เพื่อให้ลาภกับมนุษย์ที่ทำกรรมดี โดยในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 00.01 น.- 06.00 น. ของวันที่ 25 มกราคม 2552 ชาวไทยเชื้อสายจีนจะทำการไหว้เจ้าด้วยของคาว 3 อย่าง ประกอบด้วย ไก่ต้ม เป็ดพะโล้ หมูสามชั้นต้มสุก และไข่ต้มย้อมสีแดง ส่วนผลไม้ 5 อย่างประกอบด้วย ส้มทองหรือไต้กิม มีความหมายว่าความดี แอปเปิ้ลหรือผิงก้วย หมายความว่าการอยู่เย็นเป็นสุข กล้วยหอมหรือเก็งเจีย หมายความว่าโชคลาภมหาศาล สาลี่หรือซั่วตังไล้ หมายถึงเงินทองไหลมาเทมา องุ่นหรือผู่ท้อ หมายความว่าความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ นอกจากนี้คนไทยเชื้อสายจีนยังนิยมไหว้ขนมมงคลที่มีความหมายอีกอย่างคือ ขนมเข่ง

ส่วนตอนสายจะเป็นการไหว้บรรพบุรุษ การไหว้ในวันนี้จะเป็นการไหว้เพื่อขอพรจากบรรพบุรุษให้คุ้มครอง และทำมาค้าขึ้นอยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี ถัดจากวันไหว้คือวันตรุษจีนวันที่ทุกคนจะได้รับแตะเอียหรืออั่งเปา และร้านค้าทุกร้านก็จะเริ่มหยุดทำการค้า ซึ่งจะเปิดทำการค้าอีกครั้งก็เป็นวันจันทร์ซึ่งตรงกับวันที่ 29 มกราคมนี้

เยาวราช ผู้ค้าบ่นอุบยอดขายเครื่องเซ่นไหว้ลดฮวบ!

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศวันจ่ายในเทศกาลตรุษจีน ที่ย่านเยาวราช เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ประชาชนทยอยเดินทางไปซื้อของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แต่ไม่คึกคักนัก ในขณะที่ผู้ประกอบการร้านขายของเซ่นไหว้ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ต้องการลดการใช้จ่ายของฟุ่มเฟือยไม่จำเป็น อีกทั้งจำนวนผู้บริโภคก็น้อยกว่าทุกปีถึงร้อยละ 50 ขณะที่การซื้อขายทองคำย่านเยาวราชพบว่าเงียบเหงา และร้านค้าทองไม่ได้สั่งซื้อทองคำมาเตรียมขายในช่วงเทศกาลตรุษจีนมากนัก แต่คาดว่าเมื่อถึงช่วงตรุษจีน หรือมีการแจกอั่งเปา วันที่ 25-26 มกราคมนี้ น่าจะมีลูกค้าซื้อทองแท่ง ทองรูปพรรณเป็นของขวัญให้ผู้ใหญ่ และเป็นรางวัลแก่ตัวเองเพิ่มขึ้น

เตือนระวังไฟไหม้จากการจุดธูปเทียน

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าสักการะศาลเจ้าเก่าแก่ประจำกรุงเทพมหานคร ภายในศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เนื่องในเทศกาลตรุษจีน และเปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งมีการจัดงานบริเวณไชน่าทาวน์ ย่านเยาวราช ตนคาดว่า จะทำให้มีเงินสะพัดนับ 100 ล้านบาท เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของไทย

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังฝากให้ชาวไทยเชื้อสายจีน ระมัดระวังตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน โดยเฉพาะต้องดับธูป เทียน ก่อนเดินทางออกจากบ้านทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งล่าสุดได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ย่านรองเมือง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน

สั่งคุมเข้มสกัดเพลิงไหม้

ด้าน นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่าได้สั่งการให้สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำรถดับเพลิงไปเตรียมพร้อมไว้ ตามจุดเสี่ยงต่างๆ ทั่วกรุงเทพ เพื่อป้องกันเพลิงไหม้ เช่น ตลาดสดหรือศาลเจ้าสำคัญๆ นอกจากนี้ ยังได้ระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงทุกเขต ให้เตรียมพร้อมในช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วย

ด้านศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา เตือนชาวไทยเชื้อสายจีน ให้เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ในการจุดธูปเทียนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยขอให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ดับธูปเทียนสนิทแล้วก่อนออกจากบ้านเรือน หลังพิธีไหว้ ในวันนี้เสร็จสิ้นลง นอกจากนั้นขอให้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าในบ้านเรือนให้เรียบร้อยก่อนหากจะเดิน ทางออกจากบ้านเพื่อเยี่ยมญาติ หรือ ท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทั้งนี้เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากพบว่าในแต่ละปีจะเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีนและพบ ว่าสาเหตุส่วนใหญ่คือการจุดธูปเทียนทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็ตามหลายหน่วยงานได้มีการเตรียมความพร้อมด้วยการจัดเจ้าหน้าที่เข้า เวรยามตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อออกให้ความช่วยเหลือประชาชนกรณีเกิดเพลิงไหม้หรือสาธารณภัยอื่น ๆ

อุตรดิตถ์-นครสวรรค์ตรุษจีนคึกคัก

ส่วนบรรยากาศเทศกาลตรุษจีนที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่เช้าของวันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นไหว้สำหรับคนไทยเชื้อสายจีน บรรดาผู้ประกอบการร้านค้าในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์นอกจากจะออกมาตั้งโต๊ะ ไหว้เจ้าที่หน้าบ้านของตนแล้ว ยังได้ถือโอกาสพาครอบครัวนำหมู เป็ด ไก่ ผลไม้ และขนมมงคลต่างๆ นำถวายและกราบไหว้สิ่งศักดิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์ อันประกอบด้วยหลวงพ่อเพ็ชร วัดท่าถนน และอนุสาวรีย์ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก วีรบุรุษผู้กล้าของเจ้าจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลสำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ของคนไทยเชื้อสายจีน และเป็นการขอบคุณที่ปกป้องคุ้มครองให้ดำเนินชีวิตอยู่ผืนแผ่นดินไทยอย่างมี ความสุข และเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ธุรกิจการงาน

ขณะที่ ชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดนครสวรรค์ออกมาตั้งโต๊ะไหว้เจ้าหน้าบ้านกันแต่ เช้า ในขณะที่ตามศาลเจ้า เมืองปากน้ำโพผู้คนก็ออกมาไหว้เจ้าหนาแน่นเช่นกัน

บรรยากาศในวันไหว้ของชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดนครสวรรค์เป็นไปด้วยความ คึกคัก ผู้คนออกมาไหว้เจ้ากันตั้งแต่เช้ามืดเวลา 05.00 น. ที่ผ่านมา โดยการออกมาตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้บริเวณริมฟุตปาตหน้าบ้านของตัวเอง ทำให้บรรยากาศตามท้องถนนในเมืองนครสวรรค์เต็มไปด้วยโต๊ะเครื่องเซ่นเต็มสอง ข้างทาง ในขณะที่ตามศาลเจ้าต่างๆในจังหวัดนครสวรรค์ทั้งที่เป็นศาลเจ้าประจำและศาล เจ้าชั่วคราวที่จัดขึ้นเพื่อเทศกาลตรุษจีน ก็มีผู้คนนำเครื่องเซ่นไหว้ ทั้งหมูไก่และผลไม้ออกมาไหว้เจ้าอย่างหนาแน่นเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามปีนี้เครื่องเซ่นไหว้ มีปริมาณน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากชาวไทยเชื้อสายจีนต่างพากันประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี

เพลิงไหม้กลางกรุงวันเดียว 3 จุดซ้อน

ขณะที่สถานการณ์เพลิงไหม้ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลา 00.30 น. วันนี้ (25 ม.ค.) ร.ต.ท.จรูญ สังขารา พนักงานสอบสวน(สบ.1) สน.ปทุมวัน รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน เหตุเกิดที่บ้านเลขที่ 849/49 ซ.จุฬา 9 แขวงและเขตปทุมวัน กทม. จึงประสานรถดับเพลิงจากสำนักป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง รองผบก.น.6 พ.ต.อ.ไพศาล ลือสมบูรณ์ ผกก.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.อุดม เปี่ยมศักดิ์ รองผกก.สส. เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

โดยที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น ปลูกติดกันกว่า 10 คูหา ชั้นล่างเป็นร้านขายเสื้อผ้ากีฬา โดยต้นเพลิงอยู่บริเวณชั้นที่ 2 กำลังลุกลามขึ้นไปบนชั้น 3 มีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงทำการตัดกระแสไฟฟ้า ก่อนระดมฉีดน้ำดับเพลิง โดยใช้เวลา 20 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบชั้นที่ 2และ 3 ของอาคารพาณิชย์ดังกล่าวถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งหมด ขณะเดียวกันบริเวณทางลงบันไดชั้น 3 พบศพผู้เสียชีวิตถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโกทราบชื่อต่อมาคือ นางสายพิณ ยศศิริ อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารพาณิชย์ที่เกิดเหตุ

เผยวินาทีรอดตาย

จากการสอบสวนนางอำพา กาดิ๊บ อายุ 60 ปี มารดาผู้ตายให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองพร้อมด้วยผู้ตาย นายบุญธรรม ยศศิริ ลูกเขย และหลานชาย-หญิงอีก 2 คน ได้นอนพักผ่อนอยู่ที่บริเวณชั้น 3 ระหว่างนั้นได้กลิ่นเหม็นไหม้ จึงสะดุ้งตื่น และเห็นเปลวไฟ พร้อมทั้งกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมาจากชั้น 2 จึงรีบปลุกลูกหลานให้รีบตื่น โดยตนเองพร้อมด้วยนายบุญธรรมและหลานทั้งสองคน ได้เปิดหน้าต่างเหล็กดัดหนีออกทางระเบียงด้านหน้า จึงรอดมาได้ ส่วนผู้ตายคาดว่าพยายามหนีลงทางบันได จึงถูกไฟคลอกเสียชีวิตดังกล่าว

ด้านนายบุญธรรม กล่าวว่า ตนเป็นเจ้าของร้านสกรีนเสื้อกีฬา ชื่อร้านศิริสปอร์ต 2 อยู่ที่ซ.จุฬา 4 สำหรับอาคารดังกล่าวได้เช่ามาจากสำนักทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกำลังหมดสัญญาในปีนี้ โดยชั้นล่างได้ให้คนอื่นมาเช่าเปิดเป็นร้านขายเสื้อผ้ากีฬา ส่วนชั้น 2 เป็นที่สกรีนเสื้อกีฬา และเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในการสกรีน ส่วนชั้น 3 เป็นที่พักอาศัย ก่อนเกิดเหตุตนพร้อมด้วยภรรยาและลูกอีก 2 คน ได้นอนอยู่บริเวณชั้นที่ 3 หลังเกิดเพลิงไหม้ตนได้อุ้มลูกชายวัย 5 ขวบ ปีนหนีออกทางหน้าต่างเหล็กดัดด้านหน้า และพยายามกลับเข้าไปช่วยภรรยา แต่เนื่องจากเพลิงได้โหมลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับมีกลุ่มควันหน้าแน่นจึงไม่สามารถเข้าไปได้

ตำรวจคาดไฟฟ้าลัดวงจร

ขณะที่ พ.ต.อ.วัลลภ กล่าวว่า เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ ต้องรอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน แต่อาจเป็นไปได้ว่าน่าจะมาจากไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องสภาพสายไฟที่ค่อนข้างเก่า เช่นเดียวกับตัวอาคารที่ปลูกสร้างมานาน สำหรับศพผู้ตายได้มอบให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูนำส่งชันสูตรที่แผนก นิติเวช รพ.จุฬาลงกรณ์เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จุดเกิดเหตุเป็นชุมชนมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ส่วนใหญ่จะประกอบกิจการร้านค้าขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา รวมถึงร้านรับสกรีนเสื้อกีฬา ขณะเกิดเหตุทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกดังกล่าวเกิดความแตกตื่นต่างพากัน วิ่งหนีตายอย่างอลหม่าน เพราะเกรงไฟจะลุกลาม โชคดีที่เจ้าหน้าที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ อย่างรวดเร็ว จึงฉีดน้ำดับเพลิงและสกัดเพลิงอยู่ในวงจำกัด ทั้งนี้เป็นน่าสังเกตว่าหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประชาชนส่วนใหญ่ต่างพากัน จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหตุเพลิงไหม้ในปีนี้เหมือนเป็นอาถรรพณ์ เพราะตั้งแต่เริ่มต้นปีมาก็เกิดเหตุเพลิงไหม้มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย และยังคงมีเหตุการณ์เพลิงไหม้สร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สิน เรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง

พระเพลิงเผาบ้านย่านบางซื่อวอด

ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 08.15 น. ร.ต.ท.หญิงนุชรี ล่องแก้ว ร้อยเวร สน.ประชาชื่น รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่ 26/1 หมู่ 25 ซอยหมู่บ้านสินสุขเพลส ถนนพิบูลสงคราม แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.จึงรุดไปไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยรถดับเพลิงจากสำนักป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.ประชาชื่น

ซึ่งที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้สูง 2 ชั้น เจ้าหน้าที่พบกลุ่มควันพวยพุ่งออกมา จากชั้นที่ 2 ของตัวบ้าน และมีเพลิงจำนวนมากกำลังลุกลามจากชั้นที่ 2 ลงมาชั้นที่ 1 เจ้าหน้าที่ต้องใช้รถน้ำกว่า 10 คัน ทำการสกัดกั้นไม่ให้เพลิงลุกลาม และสามารถควบคุมเพลิงได้ โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งบ้านได้รับความเสียหายทั้งหลัง พื้นที่เพลิงไหม้ประมาณ 104 ตารางเมตร

จากการสอบสวนทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ น.ส.พัศณี พันธุไพโรจน์ อายุ 57 ปี ต้นเพลิงเกิดจากห้องนอนชั้นที่ 2 ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าอาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร

ไฟช็อตเผาวอดบ้านย่านพหลโยธิน

ต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น.ของวันเดียวกัน ร.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดชะพันธ์ ร้อยเวร สน.พหลโยธิน รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเลขที่ 93/1 ซอยพหลโยธิน 24 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.จึงประสานหน่วยบรรเทาสาธารณภัย แล้วรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.พหลโยธิน

โดยที่เกิดเหตุเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ สูง 2 ชั้น ปลูกอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวาเจ้าหน้าที่พบกลุ่มควันและแสงเพลิงเกิดขึ้นบนชั้นที่ 2 ของตัวบ้าน เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้รถน้ำประมาณ 10 คันเพื่อทำการสกัดกั้นไม่ให้เพลิงลุกลาม เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงควบคุมเพลิงไว้ได้ ตัวบ้านได้รับความเสียหายบริเวณชั้นที่ 2

จากการสอบสวนทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ นายพิทักษ์ ณรงค์เดชกุล ซึ่งก่อนเกิดเหตุนั่งไหว้เจ้าอยู่ที่ชั้นล่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังคล้ายไฟฟ้าช็อตกระทั่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น: