CBOX เสรีชน

13 กันยายน, 2552

19 กันยายน 49 3 ปีรัฐประหารไทยได้อะไร....เสียอะไร

19 กันยายน 49 3 ปีรัฐประหาร ไทยได้อะไร....เสียอะไร

http://www.norporchorusa.com/index.php?option=com_fireboard&Itemid=67&func=view&catid=2&id=430

คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะนายทหารประกอบด้วย ผบ.เหล่าทัพบก เรือ อากาศ ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลนายกฯพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนด้วยคะแนนเสียง 377 เสียง จาก 500 เสียง มีประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยกว่า 19 ล้านเสียง นับเป็นชัยชนะแบบถล่มทลาย ทั้งๆที่ถูกสื่อมวลชนกระแสหลักและฝ่ายอำนาจมืดพยายามที่จะให้ร้ายป้ายสีตลอด พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคเดียว ไม่มีรัฐบาลผสมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนคนไทยก็ตั้งความหวังว่าประเทศไทยจะมีระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย ที่เข้มแข็งและสามารถพัฒนาประเทศให้ก้าวรุดหน้าไปได้ด้วยดีเพื่อแก้ปัญหา ความยากจนตามนโยบาย 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง

แต่เพราะปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นเหตุให้ฝ่ายอำมาตย์เล็งเห็นภัยคุกคาม จึงได้เร่งทำการโค่นล้มรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย โดยใช้นักวิชาการขายอุดมการณ์ นักการเมืองขายตัวและสื่อมวลชนออกมาเห่าหอนว่าเป็นเผด็จการทางรัฐสภา จำเป็นต้องโค่นล้มระบอบทักษิณแทนที่จะกล้าบอกตรงๆว่าจะโค่นล้มระบอบ ประชาธิปไตยเพื่อสถาปนาระบอบอมาตยาธิปไตยให้ยั่งยืนสืบไป แต่ก็เกรงว่าคนทั่วโลกจะหัวเราะเยาะ เย้ยหยันและต่อต้านความคิดล้าหลัง บรรดานักวิชาการ,ราษฎรอาวุโส ที่หมอบราบคาบแก้วอยู่กับระบอบอำมาตย์ ก็ให้การสนับสนุนกลุ่มพธม.ออกมาเคลื่อนไหว ขับไล่รัฐบาลจนในที่สุดก็เป็นชนวนอ้างให้ทหารปฏิวัติได้ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นขณะที่พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรไปปฏิบัติภารกิจที่องค์การสหประชาชาติ กำลังจะขึ้นปราศรัยต่อที่ประชุมทราบข่าวการรัฐประหารช่วงระยะเวลาดังกล่าวมี ที่ปรึกษาหลายคนเสนอให้นายกฯตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และแถลงต่อสหประชาชาติทันที แต่ก็ทราบว่ามีโทรศัพท์ข้ามาจากฟากฟ้าแดนไกลขอให้ระงับการจัดตั้งรัฐบาลพลัด ถิ่น และรับปากว่าจะดูแลให้ความเป็นธรรมทุกอย่าง จะไม่มีการริบทรัพย์สิน และสามารถกลับเข้าประเทศได้ เป็นเหตุให้นายกฯทักษิณระงับการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น นับเป็นการสูญเสียโอกาสในการต่อสู้อย่างชอบธรรมลงไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งต่อมาก็พิสูจน์ชัดว่าเป็นเพียงแค่คำลวงของเขา สมกับคำว่า “เชื่ออะไรเขาบอก เขาหลอกให้เราไหลหลง”
การรัฐประหารดังกล่าว คณะรัฐประหารใช้ชื่อว่า....... และมีการออกโทรทัศน์ใน
คืนนั้นเห็นภาพชัดเจนว่ามีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์นำคณะ......... เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เป็นเหตุให้คนที่ชมโทรทัศน์อยู่เข้าใจว่า การรัฐประหารครั้งนี้ มีพล.อ.เปรม เป็นหัวหน้าและเข้าไปขอพระบรมราชานุญาติจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว พสกนิกรชาวไทยต่างเคารพรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อนำภาพดังกล่าวออกเผยแพร่ทางโทรทัศน์ จึงนับว่ามีน้ำหนักมากที่จะให้คนไทยคล้อยตาม สนับสนุน คณะรัฐประหาร....... นับได้ว่าเป็นการดึงสถาบันเบื้องสูงลงมาเกี่ยวข้องกับการัฐประหารอย่าง ชัดเจน

หลังจากนั้นก็มีการแต่งตั้งพล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีซึ่งประกอบไปด้วยข้าราชการประจำที่เกษียณอายุแล้ว และมีความสนิทสนมกับสายพล.อ.เปรม จนมีคนตั้งข้อสังเกตว่าจะมีรัฐบาลที่มีอายุเฉลี่ยสูงสุด แล้วจะบริหารประเทศไปรอดหรือ สร้างความกังขาให้กับประชาชนชาวไทยที่เฝ้าจับตาดูฝีมือการบริหารประเทศของ รัฐบาลจากคณะรัฐประหาร แต่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสต่อหน้ามหาสมาคม เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาว่ารัฐบาลนี้เป็น “ รัฐบาลขิงแก่ ” แปลความว่า ถึงจะแก่ก็แก่ดีเหมือนขิงแก่ ที่มีรสจัดจ้าน ผู้คนได้ฟังก็ชื่นชม โสมนัส นับได้ว่ารัฐบาลพล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ปวงประชาก็ชื่นชมและเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะได้เห็นฝีมือรัฐบาลขิงแก่ เหมือนได้ชิมชาขิงแก่ร้อนๆให้ชื่นใจ ขับไล่ผายลมในท้องที่บูดเน่าออกเสีย ประเทศชาติคงจะรุ่งเรืองขึ้นอีกเยอะเพราะฤทธิ์สมุนไพรขิงแก่นั่นเอง

แต่ 1 ปีเศษ ที่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์บริหารประเทศ ก็ไม่ได้มีผลงานอะไรก้าวหน้าให้เป็นที่ประทับใจของประชาชนและข้อสำคัญ เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ทางภาคกลางตอนบนแถบจังหวัดชัยนาท , สิงห์บุรี , อ่างทอง , อยุธยา ราษฎรต้องผิดหวังกับการช่วยเหลือของภาครัฐเพราะการช่วยเหลือมาอย่างล่าช้า มากเหมือนคนชรา

ข้อน่าสังเกตที่ทำให้รัฐบาลนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ก็เพราะว่าประเทศในสหภาพยุโรป อเมริกา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ไม่ยอมรับให้มีการเจรจาในระดับรัฐมนตรี จะสังเกตว่ารัฐมนตรีของไทยไม่สามารถเดินทางไปในฐานะตัวแทนของประเทศไทย ที่จะไปเจรจาทำสัญญากับประเทศดังกล่าวได้ เป็นเหตุให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการเปิดตลาดการค้ากับประเทศอเมริกา สหภาพยุโรป , ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ได้อีก ทำให้ออเดอร์สินค้าถูกแย่งตลาดไปตกกับเวียดนาม จีน ฯลฯ เพราะประเทศดังกล่าวเขาถือว่ารัฐบาลนี้มาจากการทำรัฐประหารไม่ได้เป็น ประชาธิปไตย พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ เห็นจุดอ่อนดังกล่าวนี้จึงได้ผลักดันให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ท่ามกลางกระแสการคัดค้านของกลุ่มพธม. และกลุ่มคณะนายทหารคมช.

เมื่อมีการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. 50 พรรคพลังประชาชน(ไทยรักไทยเดิม) ซึ่งมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรคก็ได้รับชัยชนะได้ที่นั่งส.ส.ในสภามากที่สุด และได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ถูกกลุ่มพธม.ออกมาเคลื่อนไหวปิดสะพานมัฆวาน ปิดทำเนียบรัฐบาล บุกสถานีวิทยุฯช่อง 11 และถูกตุลาการภิวัฒน์ตัดสินให้ขาดคุณสมบัติ เพราะนายสมัครออกรายการทีวี “ชิมไป บ่นไป” โดยอ้างพจนานุกรมมาตัดสินแทนกฎหมายแรงงาน มาตราที่ว่าด้วยคำจำกัดความคำว่า การจ้างงาน ซึ่งถ้าพิจารณากันตามกฎหมายแรงงานแล้วก็ไม่สามารถตีความว่านายสมัครขาด คุณสมบัติได้ ตุลาการภิวัฒน์จึงไปเอาความหมายในพจนานุกรมมาใช้ตีความแทนความหมายในกฎหมาย แรงงาน เป็นเหตุให้นายสมัครต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พรรคพลังประชาชนก็ยังต่อสู้จนได้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศต่อไป กลุ่มพธม.ที่ยึดทำเนียบปิดถนนราชดำเนิน ไม่ให้เป็นเส้นทางเสด็จราชดำเนินไปถวายพระเพลิงสมเด็จพระพี่นาง ก็ยังเพิ่มความอหังการ โดยการบุกยึดสนามบินที่หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นการซ้อมเพื่อไล่แขก นักท่องเที่ยว หลังจากนั้นก็เพิ่มความเข้มข้นโดยยึดสนามบินดอนเมือง , สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 หลังจากยึดสนามบินสุวรรณภูมิได้แล้ว 1 วัน นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้ขึ้นปราศรัยกับคนเสื้อเหลืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อข่มขู่รัฐบาลนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่า ถ้าเข้ามาสลายมวลชนคนเสื้อเหลือง คนเสื้อเหลืองจะขยายผลการยึดไปยังท่าเทียบเรือแหลมฉบังอีกแห่งหนึ่งด้วย ทั้งนี้ก็เป็นไปตามแผนของอำมาตย์ที่ต้องการจะปิดประเทศ ไล่นักท่องเที่ยวออกนอกประเทศและไม่ต้องการให้ชาวต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนใน ประเทศ เพราะมองว่าเป็นกลุ่มทุนเดียวกับนายกฯทักษิณ เจตนารมณ์ของฝ่ายอำมาตย์ก็คือ ต้องการที่จะปิดประเทศชั่วคราวและจัดระเบียบสังคมใหม่ที่เรียกว่า ประชาธิปไตยใหม่แบบพม่า เมื่อจัดระเบียบใหม่เรียบร้อยแล้วจึงจะคิดเปิดประเทศให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน ใหม่ แต่คราวนี้จะต้องผ่านกลุ่มนายหน้าของฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งจะจัดตั้งเป็นสำนักงานทนายความและที่ปรึกษาทางธุรกิจการเงินและบัญชี หากนักลงทุนไม่เข้ามาในช่องทางที่กล่าวไว้ก็ไม่สามารถเข้ามาลงทุนในเมืองไทย ได้ จะมีแต่เฉพาะกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติที่ยอมเข้ามาติดต่อกับสำนักงานของ อำมาตย์เท่านั้น เป็นการแปลงระบอบศักดินาสู่ระบบทุนนิยมผูกขาดโดยกลุ่มอำมาตย์ ไม่ใช่เป็นการเปิดประเทศแบบทุนนิยมเสรี ซึ่งตำนานการค้าขายแบบนี้มีมาตั้งแต่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งไปหาอ่านได้จากจดหมายเหตุของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาติดต่อค้าขาย และเผยแพร่ศาสนาได้มีบันทึกไว้ชัดเจนว่า การค้าขายทั้งหมดจะต้องผ่านอำมาตย์เท่านั้น ห้ามค้าขายกับประชาชนทั่วไป จนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเหตุให้ราชอาณาจักรสยามถูกบังคับให้ทำสนธิสัญญาบราวน์นิ่งกับอังกฤษ และกับชาติอื่นๆ ความคิดที่ล้าหลังเหล่านี้กำลังจะถูกนำกลับเข้ามาใช้อีกวาระหนึ่งแต่แปลงโฉม ให้ทันสมัยขึ้น ในลักษณะการลงทุนร่วมแต่ก็เป็นระบบทุนผูกขาด เป็นเหตุให้ประเทศชาติไม่สามารถทำการค้าแบบเสรีได้ กลายเป็นปิดประเทศแบบพม่าเพียงเพื่อเห็นผลประโยชน์ของกลุ่มอำมาตย์เท่านั้น

หลังรัฐประหารแล้วไทยได้ ไทยเสียอะไร

ไทยได้อะไร ?
1. รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำลายประชาธิปไตย
2. ได้ยาเสพติดคืนมา
3. ได้ไข้หวัด 2009 คนไทยต้องเสียชีวิตกว่า 130 คน มากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีคนตายเกินกว่า 100 คน ในโลกนี้มีเพียงแค่ 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย , เม็กซิโก , สหรัฐอเมริกา และอาร์เจนตินา 3 ประเทศดังกล่าวอยู่ในทวีปอเมริกาและมีประชากร 280 ล้านคน ในสหรัฐ ส่วนอีก 2 ประเทศมีประชากรมากกว่าประเทศไทยมาก ฉะนั้นเมื่อคิดเป็นสัดส่วนของประชากรแล้วประเทศไทยเสียชีวิตมากที่สุดในโลก เพราะฝีมือการบริหารงานของนายอภิสิทธิ์ จนเป็นเหตุให้สั่งระงับการรายงานผู้เสียชีวิตและผู้ติดไข้หวัด จนวันนี้คนไทยนึกว่าหวัดหายไปแต่เป็นเพราะใช้เล่ห์เพทุบายไม่เปิดเผยข้อเท็จ จริงตามหลักธรรมาภิบาลของประเทศที่เจริญแล้ว
4. คนไทยได้เป็นหนี้กันทั่วหน้าจากการกู้เงินของรัฐบาลมาร์ค ผ่านพ.ร.บ.การกู้ 8 แสนล้านและมีแผนการกู้ถึง 1.4 ล้านล้านบาทเพื่อทำให้ไทยเข้มแข็ง สรุปแล้วคนไทยนับแต่คลอดมาก็เป็นหนี้กว่า......บาทต่อหัว คงได้ใช้หนี้กันหัวโต
5. ได้ปิดประเทศ การท่องเที่ยวเสียหายยับเยิน
6. ได้ลูกหมีแพนด้ามา 1 ตัว แต่ก็ไม่ได้จริง ในที่สุดจีนก็จะมาเอาคืนไป แต่คนไทยถูกหลอกให้บ้าคลั่งเสียเงินค่าไปรษณียบัตรให้กับไปรษณีย์ไทย 20 – 30 ล้านบาท เพียงเพื่อหวังเงินรางวัลแค่ 1 ล้านบาท
7. ได้รู้ว่าพ่อของด.ช.เคอิโงะ ชื่ออะไร และได้เพียงโทรศัพท์พูดกับพ่อเท่านั้น จนวันนี้ ด.ช.เคอิโงะก็ยังไม่ได้พบกับพ่อสมใจอยาก
ทั้งเรื่องด.ช.เคอิโงะ และหมีแพนด้า เป็นกลไกการเบี่ยงเบนข่าวของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลปชป.เพื่อหลอกลวงประชาชนให้ลืมปัญหาปากท้อง ความทุกข์ยากไปวันๆเพราะรัฐบาลไม่มีปัญญาแก้ไข แถมยังสร้างหนี้อีกต่างหาก
8. ได้รัฐบาลทรราช เผด็จการ อภิสิทธิ์ ปราบปรามประชาชนในวันสงกรานต์เลือด โดยใช้ทหารนำอาวุธสงครามออกมาเข่นฆ่าประชาชน (ปรากฏในคลิปเสียงของนายอภิสิทธิ์ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆนี้) ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็รับว่าเป็นเสียงของตน แต่มีการตัดต่อ ซึ่งผลการสอบสวนเบื้องต้นเรื่องคลิปเสียงนี้จากคณะอนุกรรมการของรัฐสภาก็ ระบุชัดว่า คลิปเสียงดังกล่าวมีความยาว 3 นาที 40 วินาทีเศษ โดยแบ่งออกเป็น 6 ตอนของประโยคคำพูด ซึ่งจากการฟังของคณะอนุกรรมการมีความเห็นชัดเจนว่า เสียงดังกล่าวเป็นเสียงของนายอภิสิทธิ์จริง และพูดในที่เดียวกันในสถานที่ที่มิดชิด เหมือนห้องประชุมที่เก็บเสียงผู้พูดไม่ได้ไปไหน แต่ละประโยคซึ่งมี 6 ประโยคมีระดับเสียงระนาบเดียวกัน เชื่อว่าไม่มีการตัดต่อในแต่ละประโยค ใจความที่พูดแต่ละประโยคก็เข้าองค์ประกอบความผิดสำเร็จแล้วตามกฎหมาย

ไทยเสียอะไร ?
1. เสียรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยทำให้ระบบบริหารเข้มแข็งไป
2. เสียออเดอร์การส่งออกสินค้าเสื้อผ้า , ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ , ชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ
3. สูญเสียภาวการณ์เป็นผู้นำอาเซียน ซึ่งนายกฯทักษิณใช้เวลาสร้างมาถึง 8 ปี แถมยังทะเลาะกับพม่าและเขมรอีกด้วย และสูญเสียเครดิตความน่าเชื่อถือ ภาพลักษณ์ของประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก เป็นเมืองที่มีความสวย ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสเอื้ออาทร แต่บัดนี้ประชาชนแตกกันเป็นฝ่าย สูญเสียความเป็นเอกภาพของความเป็นไทยลงอย่างสิ้นเชิง
4. เสียตลาดยางพาราจากราคาที่เคยขายได้ก.ก.ละร้อยกว่าบาท เหลือไม่ถึง 30–40 บาท
5. เสียตลาดผลไม้ ตลาดข้าว ตกต่ำ ชาวนาร้องเรียนปิดถนน กลับถูกจับจำคุก 6 เดือน 4 คนที่จ.เชียงราย
6. เสียทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 111 คน กับ 109 คน รวม 220 คน ซึ่งเป็นนักการเมืองเกือบทั้งหมดในสภาในระดับกรรมการบริหารพรรคทั้งสิ้น ทำให้การเมืองอ่อนแอตามแผนของอำมาตย์
7. เสียดินแดนให้เขมรตัดถนนเข้ามาที่เขาพระวิหาร และเสียนักท่องเที่ยวที่จะไปท่องเที่ยวเขาพระวิหาร รวมทั้งการค้าชายแดนแถบนั้น
เท่าที่ผู้เขียนนึกได้ด้วยเวลาอันสั้น มีอยู่ 7 – 8 ข้อเท่านั้น ที่จริงยังมีอีกเยอะ อยากจะขอฝากเป็นการบ้านให้คนไทยช่วยกันคิดว่าผลพวงการรัฐประหารนั้นไทยได้ อะไร เสียอะไร

ไม่มีความคิดเห็น: