อันนี้ถูกใจครับ เป็นบทความเก่าของท่านปูนนก ไทยอีนิวส์ เมื่อ วันแรงงานที่ผ่านมา
http://thaienews.blogspot.com/2009/05/19-2549.html
โดย ปูนนก อิสระ
1 พฤษภาคม 2552
หลังจากที่เผด็จการ ได้ทำลายประเทศโดยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ในครั้งนั้นประชาชนยังไม่เข้าใจ ยัีงไม่มีความรู้พอว่าเกิดอะไรขึ้นกับการรัฐประหารในครั้งนั้น และมีผลกระทบอย่างไรกับประเทศนี้บ้าง
เวลาผ่านไปตลอด 3 ปี ประชาชนในประเทศนี้ค่อย ๆ มองเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดเมื่ออำนาจเผด็จการพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในแทบทุำก ๆ ด้านของชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชาติก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
1. สูญเสียสิทธิทางการเมืองเพื่อจะเลือกการปกครองตนเอง.... ซึ่งได้สูญสลายไปพร้อมกับการถูกยุบพรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน, พรรคชาิติไทย, พรรคมัชฌิมาธิปไตย และตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองเป็นจำนวนมาก คนไทยไม่มีสิทธิ์จะเลือกปกครองตนเองในแบบที่ต้องการได้เลย นอกจากจะต้อง “รับการปกครอง” จากอำนาจเผด็จการเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
2. สูญเสียสิทธิการได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน... ซึ่งได้สูญสลายไปด้วยการตัดสินอรรถคดีแบบ 2 มาตรฐานของคณะองค์ผู้พิพากษา ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการจำนวนมาก ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายนี้ไม่เพียงแค่คณะผู้พิพากษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายด้วย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ, และอัยการ เป็นเครื่องมือ
3. สูญเสียสิทธิการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตรงไปตรงมา สื่อสารมวลชนได้ถูกอำนาจเผด็จการข่มขู่ และยึดครองโดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เผด็จการกระทำต่อพี่น้องประชาชนไทย จึงถูกบิดเบือนและแต่งแต้มให้ผิดแผกไปจากความเป็นจริง ประชาชนไม่สามารถได้รับความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมนี้ได้
4. สูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาความเจริญของประเทศ..... เผด็จการได้ทำลายความเจริญของประเทศชาติไปอย่างหมดสิ้น ประเทศชาติถอยหลังจากการพัฒนาชาติไปไม่น้อยกว่า 15 ปี เยาวชน หรือประชาชนในประเทศไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาทางการศึกษาให้ก้าวหน้าไปสู่ความ เป็นอารยะของประเทศได้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ โดยรอบ
5. สูญเิสียโอกาสในการแข่งขันทางการค้ากับต่างชาติ..... จากประเทศที่เคยเป็นประเทศ อู่ข้าวอู่น้ำ ส่งสินค้าออกได้มากมาย เป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แต่ปัจจุบัน เผด็จการได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากถึง 60% ของ GDP ภายในประเทศ ซึ่งจะใช้เวลาอีกนานกี่ชั่วคนก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ เพื่อที่จะชดใช้หนี้สินได้หมดสิ้น
6. สูญเสียสิทธิความเป็นพลเมืองของชาิติ.... เผด็จการได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีคนอยู่ 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นอมาตย์ (หรืออยู่ในกลุ่มอมาตย์) กับไพร่ ซึ่ง ไพร่ จะไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะเป็นพลเมืองของประเทศนี้ นอกจากต้องคอยจ่ายภาษี ทำงานหนักเพื่อให้ชนชั้นอมาตย์คอยสูบเลือดเนื้อ และปกครองต่อไปเท่านั้น เพราะถ้าไม่ยอมก็ชนชั้นอมาตย์ก็จะบังคับเอาด้วย อำนาจกองทัพ ซึ่งอาจจะตายฟรี เอาได้ง่าย ๆ
การสูญเสียทั้ง 6 ประการนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ เท่านั้น ที่ประชาชนไทยได้มองเห็นและสัมผัสได้ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้จากที่ประชาชนที่เคยไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่ทราบถึงความเลวร้ายของอำนาจเผด็จการเริ่มรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิที่ ตนเองสูญเสียไปกลับคืนมา และเมื่อความกดดันถึงขีดสุด การชุมนุมประท้วงและเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไป ให้กลับคืนมาก็บังเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา
และเมื่อการชุมนุมเริ่มจะแพร่ขยายไปมากขึ้นจนเกิน กว่าจะควบคุมได้ เผด็จการก็ใช้กลวิธีที่ชั่วร้าย ในการเข้าสลายประชาชนด้วยกำลังอาวุธ ภายใต้ พรก. ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 โดยเริ่มเวลา 04.20 น. เหตุการณ์ก็คือ “การรัฐประหารครั้งที่สอง” นั่นเอง แต่ครั้งนี้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
ซึ่ง หลัีงจากได้ใช้กำลังเข้าสลายประชาชนแล้ว อำนาจเผด็จการได้เข้าครอบคลุมทุกภาคส่วนของประเทศอีกครั้งหนึ่ง เหมือนช่วงเวลาภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ไม่มีผิดเพี้้ยน เพียงแต่ครั้งนี้มีรัฐบาล ปชป. โดยนายกอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่มีอำนาจอะไรเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น
เวลานี้ประเทศอยู่ภาย ใต้การรัฐประหารเงียบ อำนาจทุกอย่างเผด็จการครอบงำเอาไว้อย่างหมดจดจนดูเหมือนว่า เผด็จการจะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือประชาธิปไตยเสียแล้่ว......
แต่ทว่าใน ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ประชาชนไทยกว่า 60 ล้านคนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจ เริ่มมองเห็น และเริ่มสัมผัสได้ กับความเลวร้ายของอำนาจเผด็จการ พวกเขารู้ดีว่าถ้าปล่อยอำนาจนี้ต่อไปสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่านี้จะเกิดขึ้น และที่สำคัญอาจจะถึงขั้นสูญสิ้นชาติได้ แต่ในยามที่อำนาจเผด็จการยังโหมกระหน่ำรุนแรงนี้ การต่อสู้ภาคประชาชนยังคงทำได้ไม่เต็มที่ แต่เมื่อ “เวลา” มาถึง เผด็จการก็จะหมดสิ้นอำนาจไปอย่างไม่มีัทางหลีกเลี่ยง เพราะว่านี่คือ “กฎเกณฑ์ และวัฏจักร”
อดทนรอคอย จนกว่าเวลาและสถานการณ์จะพร้อม เพื่อนำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศนี้ด้วยกัน
http://thaienews.blogspot.com/2009/05/19-2549.html
โดย ปูนนก อิสระ
1 พฤษภาคม 2552
หลังจากที่เผด็จการ ได้ทำลายประเทศโดยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ในครั้งนั้นประชาชนยังไม่เข้าใจ ยัีงไม่มีความรู้พอว่าเกิดอะไรขึ้นกับการรัฐประหารในครั้งนั้น และมีผลกระทบอย่างไรกับประเทศนี้บ้าง
เวลาผ่านไปตลอด 3 ปี ประชาชนในประเทศนี้ค่อย ๆ มองเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดเมื่ออำนาจเผด็จการพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในแทบทุำก ๆ ด้านของชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชาติก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
1. สูญเสียสิทธิทางการเมืองเพื่อจะเลือกการปกครองตนเอง.... ซึ่งได้สูญสลายไปพร้อมกับการถูกยุบพรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน, พรรคชาิติไทย, พรรคมัชฌิมาธิปไตย และตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองเป็นจำนวนมาก คนไทยไม่มีสิทธิ์จะเลือกปกครองตนเองในแบบที่ต้องการได้เลย นอกจากจะต้อง “รับการปกครอง” จากอำนาจเผด็จการเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
2. สูญเสียสิทธิการได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน... ซึ่งได้สูญสลายไปด้วยการตัดสินอรรถคดีแบบ 2 มาตรฐานของคณะองค์ผู้พิพากษา ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการจำนวนมาก ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายนี้ไม่เพียงแค่คณะผู้พิพากษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายด้วย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ, และอัยการ เป็นเครื่องมือ
3. สูญเสียสิทธิการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตรงไปตรงมา สื่อสารมวลชนได้ถูกอำนาจเผด็จการข่มขู่ และยึดครองโดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เผด็จการกระทำต่อพี่น้องประชาชนไทย จึงถูกบิดเบือนและแต่งแต้มให้ผิดแผกไปจากความเป็นจริง ประชาชนไม่สามารถได้รับความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมนี้ได้
4. สูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาความเจริญของประเทศ..... เผด็จการได้ทำลายความเจริญของประเทศชาติไปอย่างหมดสิ้น ประเทศชาติถอยหลังจากการพัฒนาชาติไปไม่น้อยกว่า 15 ปี เยาวชน หรือประชาชนในประเทศไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาทางการศึกษาให้ก้าวหน้าไปสู่ความ เป็นอารยะของประเทศได้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ โดยรอบ
5. สูญเิสียโอกาสในการแข่งขันทางการค้ากับต่างชาติ..... จากประเทศที่เคยเป็นประเทศ อู่ข้าวอู่น้ำ ส่งสินค้าออกได้มากมาย เป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แต่ปัจจุบัน เผด็จการได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากถึง 60% ของ GDP ภายในประเทศ ซึ่งจะใช้เวลาอีกนานกี่ชั่วคนก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ เพื่อที่จะชดใช้หนี้สินได้หมดสิ้น
6. สูญเสียสิทธิความเป็นพลเมืองของชาิติ.... เผด็จการได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีคนอยู่ 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นอมาตย์ (หรืออยู่ในกลุ่มอมาตย์) กับไพร่ ซึ่ง ไพร่ จะไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะเป็นพลเมืองของประเทศนี้ นอกจากต้องคอยจ่ายภาษี ทำงานหนักเพื่อให้ชนชั้นอมาตย์คอยสูบเลือดเนื้อ และปกครองต่อไปเท่านั้น เพราะถ้าไม่ยอมก็ชนชั้นอมาตย์ก็จะบังคับเอาด้วย อำนาจกองทัพ ซึ่งอาจจะตายฟรี เอาได้ง่าย ๆ
การสูญเสียทั้ง 6 ประการนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ เท่านั้น ที่ประชาชนไทยได้มองเห็นและสัมผัสได้ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้จากที่ประชาชนที่เคยไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่ทราบถึงความเลวร้ายของอำนาจเผด็จการเริ่มรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิที่ ตนเองสูญเสียไปกลับคืนมา และเมื่อความกดดันถึงขีดสุด การชุมนุมประท้วงและเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไป ให้กลับคืนมาก็บังเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา
และเมื่อการชุมนุมเริ่มจะแพร่ขยายไปมากขึ้นจนเกิน กว่าจะควบคุมได้ เผด็จการก็ใช้กลวิธีที่ชั่วร้าย ในการเข้าสลายประชาชนด้วยกำลังอาวุธ ภายใต้ พรก. ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 โดยเริ่มเวลา 04.20 น. เหตุการณ์ก็คือ “การรัฐประหารครั้งที่สอง” นั่นเอง แต่ครั้งนี้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
ซึ่ง หลัีงจากได้ใช้กำลังเข้าสลายประชาชนแล้ว อำนาจเผด็จการได้เข้าครอบคลุมทุกภาคส่วนของประเทศอีกครั้งหนึ่ง เหมือนช่วงเวลาภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ไม่มีผิดเพี้้ยน เพียงแต่ครั้งนี้มีรัฐบาล ปชป. โดยนายกอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่มีอำนาจอะไรเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น
เวลานี้ประเทศอยู่ภาย ใต้การรัฐประหารเงียบ อำนาจทุกอย่างเผด็จการครอบงำเอาไว้อย่างหมดจดจนดูเหมือนว่า เผด็จการจะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือประชาธิปไตยเสียแล้่ว......
แต่ทว่าใน ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ประชาชนไทยกว่า 60 ล้านคนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจ เริ่มมองเห็น และเริ่มสัมผัสได้ กับความเลวร้ายของอำนาจเผด็จการ พวกเขารู้ดีว่าถ้าปล่อยอำนาจนี้ต่อไปสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่านี้จะเกิดขึ้น และที่สำคัญอาจจะถึงขั้นสูญสิ้นชาติได้ แต่ในยามที่อำนาจเผด็จการยังโหมกระหน่ำรุนแรงนี้ การต่อสู้ภาคประชาชนยังคงทำได้ไม่เต็มที่ แต่เมื่อ “เวลา” มาถึง เผด็จการก็จะหมดสิ้นอำนาจไปอย่างไม่มีัทางหลีกเลี่ยง เพราะว่านี่คือ “กฎเกณฑ์ และวัฏจักร”
อดทนรอคอย จนกว่าเวลาและสถานการณ์จะพร้อม เพื่อนำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศนี้ด้วยกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น