CBOX เสรีชน

15 กันยายน, 2552

กก.สิทธิ์ฯ พึ่งตื่น ค้านรัฐใช้พรบ.มั่นคงคุมเสื้อแดง 19 ก.ย.



14 กย. 2552 15:50 น.

น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กก.สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง เพื่อพิจารณาคำร้องของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ตัวแทนกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ที่ขอให้ตรวจสอบการประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เพื่อป้องกันการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมาว่า หลังจากฟังคำชี้แจงจากนายจิตติชัย แสงทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวแทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกองทัพบก ได้ข้อสรุปว่า การประกาศใช้ต้องมีเหตุผลและความจำเป็นและต้องมีปรากฏการณ์ที่ชัดว่าจะกระทบ ต่อความมั่นคง ตามมาตรา 15 ของพ.ร.บ. ความมั่นคง ซึ่งครั้งนี้ตัวแทนของรัฐบาลยังไม่สามารถให้เหตุผลที่ชัดเจนต่อกรรมการ สิทธิฯได้

น.พ. นิรันดร์ กล่าวต่อว่า การประกาศใช้จึงไม่เหมาะสม เพราะสังคมไทยยังมีมาตรการปกติเข้ามาดูแลผู้ชุมนุม ที่มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 โดยมีขั้นตอนปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมจนถึงมาตรการขั้นเด็ดขาด หากผู้ชุมนุมใช้สิทธิเกินเลยกว่าที่กฎหมายกำหนด และพ.ร.บ.ได้กำหนดไว้ว่านายกฯ และรองนายกฯ อีก 1 คนสามารถประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงได้ภายใน 1 ชั่วโมงหากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง ตามที่คณะกฤษฎีกาได้ดีความให้อำนาจ รัฐบาลจึงควรให้สถานการณ์เป็นตัวกำหนดในการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะการประกาศใช้ก่อนเหมือนจะกระทบสิทธิ์ของประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ใช้สิทธิ์ชุมนุมกลุ่มอื่นๆ ด้วย เหมือนที่ผ่านมาเช่น แรงงานไทรอัมพ์ ดังนั้นทางที่ดีรัฐบาลควรจะประกาศเพียงว่าหากมีสถานการณ์ที่จำเป็นก็จะ ประกาศใช้ เพราะการประกาศใช้ล่วงหน้าเป็นสิ่งไม่จำเป็น การที่ประกาศว่าจะใช้แต่ไม่ใช้ไม่ถือว่าเป็นความผิด

น.พ.นิรันดร์ กล่าวอีกว่า การใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง แม้ว่านายกฯจะเป็นผอ.รมน.โดยตำแหน่ง แต่รอง ผอ. คือ ผบ.ทบ. รวมถึงเสนาธิการทหารบกเป็นการใช้กำลังทหารเข้ามาปฏิบัติงาน ซึ่งจะทำให้ถูกมองว่าใช้อำนาจทางทหารควรจะเข้ามาเมื่อกระทบกับความมั่นคง ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นการใช้คำไม่ถูกกับงาน หากจะควบคุมการชุมนุมตำรวจก็สามารถทำได้ การจะสลายหรือจับกุมก็อยู่ในอำนาจตำรวจ

"หากสถานการณ์เกินเลย เราเป็นห่วงว่าหากประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ รัฐบาลจะถูกดิสเครดิตว่าไม่มีส่วนร่วมในการสร้างประชาธิปไตยและส่งเสริมการ ชุมนุม ดังนั้น ทางกรรมการสิทธิฯจะทำหนังสือถึงนายกฯ ว่าการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อรองรับการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. ที่จะถึง จะต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องทางการเมืองเท่า นั้นไม่ใช่การยกทัพจับศึก

พลเอกชัยสิทธิ์ชี้เสื้อแดงชุมนุมเพราะต้องการความยุติธรรม

14 กย. 2552 18:47 น.

พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผบ.สส. กล่าวถึง การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 ก.ย.ว่า เป็นเรื่องของคนไทยที่ต้องการความยุติธรรมที่จะมาชุมนุม ส่วนกองทัพนั้นจะมายุ่งด้วยก็เพราะรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง อยากถามว่าควรแล้วหรือที่กองทัพจะต้องออกมาทั้ง ๆ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงก็บอกแล้วว่าจะชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธ

ดังนั้นหากกองทัพออกมาแล้วมีอะไรที่เกินเลยก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดการ ปฏิวัติได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อ ไม่ชอบ และเป็นคนรักความยุติธรรม แต่มองว่าหากทุกอย่างไม่มีทางเลือก และมีการมองในเรื่องของการสลายอำนาจ ในบางครั้งก็อาจเป็นทางออกที่ต้องทำเพื่อผ่าทางตัน

“ ส่วนตัวเชื่อว่าทหารคงไม่ทำการปฏิวัติ เพราะทหารอยู่ฝ่ายรัฐบาล เป็นคนของรัฐบาล จะทำไปทำไม บอกตรง ๆ เขาใจไม่ถึงหรอก พ.ร.บ.ความมั่นคงเมื่อประกาศใช้ก็คงไม่มีใครกล้าทำอะไรที่ผิดกฎหมาย แต่ถ้ามีใครยุแหย่ เช่น เหตุการณ์ 14ต.ค. 2516 ก็อาจจะทำให้มีการลุกฮือขึ้นมาได้ ทั้งทหาร ตำรวจ รัฐบาลใช้งานได้ทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าจะใช้แบบไหน ตอนนี้การเมืองกำลังเข้าไปแทรกแซงข้าราชการ พอมีเรื่องเมื่อไหร่นักการเมืองก็รอดทุกที มีแต่ข้าราชการที่ต้องรับโทษ

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าขณะนี้กองทัพถูกแทรกแซงหรือไม่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า ตนออกมา 4 ปีแล้วคงไปวิจารณ์ไม่ได้ แต่เชื่อว่ากองทัพรู้หน้าที่ของเขาดี

ส่วนห่วงทหารหรือไม่หากมีการสลายการชุมนุมเพราะมีการชี้มูลความผิดของป .ป.ช.ต่อรัฐบาลนายสมชาย ว.ศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นบรรทัดฐาน พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า ป.ป.ช.ปกติแล้วมีความยุติธรรมมากกว่านี้ แต่ป.ป.ช.ชุดนี้มาไม่ถูกต้อง ตั้งมาแต่ละคนก็เป็นศัตรูทุกคน อยากถามว่าป.ป.ช.ชุดนี้ได้รับการโปรดเกล้าฯมาหรือไม่ถึงได้มาชี้มูลนายสมชาย ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยทำอะไรใคร

http://www.cbnpress.com/index.php/component/content/article/39-2008-12-27-13-26-42/2064-2009-09-14-12-34-24

"ทักษิณ"อ้อนกลางงานเลี้ยงตีกอล์ฟ ให้ยิ้มและอดทนรอ



14 กย. 2552 20:01 น.

เมื่อเวลา 18.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างงานเลี้ยงภายหลังการแข่งขันกอล์ฟ 111 + 109 + 37 เพื่อไทย ว่า นายสมพงษ์ อมรวิมวัฒน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนกล่าวบนเวทีว่า การแข่งขันกอล์ฟครั้งที่ผ่านมาและในครั้งนี้ก็เหมือนกับ เป็นการประชุมส.ส. และอดีตส.ส.ของพรรคไปในตัว ครั้งต่อไปอาจจะในเดือนพฤศจิกายน และอาจจะไปจัดที่ต่างจังหวัด และคาดว่าต่อไปจะมีผู้ใหญ่เข้ามร่วมงานมากขึ้น ซึ่งคราวนี้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีความตั้งใจจะมาร่วมงานด้วย แต่ติดภาระกิจอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในครั้งหน้าพล.อ.ชวลิต รับปากว่าจะมาร่วมงานอย่างแน่นอน ส่วนนายเสนาะ เทียนทอง หัวพรรคประชาราชนั้น เราก็ทราบหกันว่าว่าป่วยอยู่ที่รพ.

เมื่อเวลา 18.50 น. นายสุรชัย เบ้าจรรณยา ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้พยายามใช้โทรศัพท์ส่วนตัวเพื่อต่อสายไปยังพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้โฟนอินเข้ามายังภายในงานเลี้ยง แต่มีปัญหาทางด้านเทนิคไม่สามารถเปิดสายผ่านลำโพงได้ จึงทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ใช้โทรศัพท์ของตนเองเพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินแทน

สำหรับเนื้อหาการโฟนอินในครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า " ดีใจที่ทราบว่าเพื่อนๆ มีกิจกรรมร่วมกัน และได้มาพบปะพูดคุยกัน ซึ่งกิจกรรมอย่างนี้ก็ได้ทำให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สำหรับตนที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถจะตีกอล์ฟได้ เพราะอากาศมันร้อน อย่างไรก็ตามการมารวมกันของพวกเราอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เห็นพวกเราทุกคนจะต้องอดทน กล้ายิ้มรับความไม่ยุติธรรม แม้ว่าจะมีคนที่โกหกที่สุดในโลกมาโกหกอย่างไรก็หนีความจริงไม่ได้ พวกเราจะต้องยิ้มรับ และสู้กับวความไม่ยุติธรรมไปอีกระยะ คาดการณ์ได้เลยว่าการต่อสู้จะต้องเอาชนะกันด้วยความจริง ไม่ใช่การเอาชนะคะคาน ซึ่งหากทำได้ในประเทศก็จะสดใสด้วยความจริง วันนี้ทราบว่ามาว่ามีสื่อมมาร่วมงานด้วย ซึ่งก็อยากจะฝากไปยังสื่อว่า สื่อจะต้องมีความเป็นกลาง คนที่ปิดหูปิดตาสื่อก็จะอยู่ได้ไม่นาน และไม่จีรัง หวังว่าสื่อจะยึดเอาความจริงเป็นหลัก เมื่อไม่นานมานี้ทมีคนบอกว่าไม่อยากดูทีวี เพราะไม่เป็นกลาง ซึ่งตนเองนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เพราะไม่ได้ดู

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าสื่อควรจะทำหน้าที่ด้วยอุดมการณ์ และวางตัวเป็นกลาง ซึ่งเข้าใจว่าสื่อในแต่ละสำนัก อาจจะมีผู้ที่มีอิทธิพลอยู่ จึงทำให้การเสนอข่างอย่างไม่เป็นกลาง ตนอยากจะให้ทุกคนยึดความจริงเป็นที่ตั้งหากรักษาประเทศไทย ซึ่งหวังว่าความจริงก็จะชนะสักวันหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ชัยชนะของเสื้อเหลือง หรือเสื้อแดง เพื่อไทย หรือ ประชาธิปัตย์ แต่เป็นการชนะด้วยความจริง และถ้าความจริงชนะ ความยุติธรรมก็จะชนะด้วย หากความจริงปรากฎประเทศก็จะเกิดความสันติสุข และควรระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ไม่ได้มาจากประชาธิปไตย เพราะอำนาจของประเทศคือเสียงคนส่วนใหญ่ที่มาจากประชาชน

http://www.cbnpress.com/index.php/component/content/article/39-2008-12-27-13-26-42/2065-qq-

13 กันยายน, 2552

ระบอบ ‘ปกครองไทย’ น่าเอาแบบอย่าง?



http://www.bangkok-today.com/node/2235

สองประเทศ...บนรอยต่อผืนแผ่นดินทวีปเดียวกัน ประเทศไทย กับ เกาหลีเหนือ...สองประเทศที่ระบบการเมืองการปกครอง แตกต่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง...เป็นประเทศ ประชาธิปไตย กับ คอมมิวนิสต์โดยระบอบการปกครองทั้งสองรูปแบบยังคงเป็นเพียงตาม“หลักทฤษฎี” ซึ่งประเทศทั้งสองยังมิอาจ “พัฒนา” เข้าถึงแก่นแท้ในระบอบที่ดำเนินการอยู่อย่างถูกต้องและลึกซึ้งเพื่อสร้าง ชาติและสร้างอาณาจักรให้มั่นคง!ประเทศไทย เป็น ประชาธิปไตยทางอ้อม คือ มีผู้แทนทำให้เกิดการเมืองประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยแบ่งเป็นสภาขุนนางและสภาสามัญเกาหลีเหนือ...ประเทศผู้นำ “คอมมิวนิสต์” ยึดระบอบจากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการปกครอง สังคม และการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้ข้อกำหนด “เป็นเจ้าของร่วมกัน” ประชาชนทุกคนมีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกันแต่ระบอบ “คอมมิวนิสต์” ที่แท้จริงที่ทุกคนเท่าเทียมไม่มีชนชั้น ไม่มีรัฐบาลบริหาร ไม่เคยเกิดขึ้นจริงที่ “เกาหลีเหนือ”เช่นเดียวกับ “ประเทศไทย” คำว่าประชาธิปไตยไม่เคยเกิดขึ้นจริง...กลายเป็นเพียงประเทศที่ปกครองด้วย ระบอบ“เผด็จการทหารซ่อนรูป”ทุกเหตุการณ์...และทุกเรื่องราวประวัติศาสตร์ “การปฏิวัติ”ตลอดจนการขึ้นมาบริหารประเทศโดย “นายกรัฐมนตรี”ทุกครั้ง “ทหาร” จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง...เป็นสายใยที่ยาก “ตัดขาด”เพราะการเมืองไทยไม่สามารถพัฒนาให้พ้นจากกรอบของ“การแทรกแซงทางการ เมืองของทหาร”ทำไม ? “คิมจองอิล” ผู้นำเกาหลีเหนือ จึงชื่นชมระบอบการปกครอง

แบบไทย ยิ่งนักเป็นเวลา 9 ปีมาแล้วที่ “คิมจองอิล” เคยพูดกับ “แมเดลีนอัลไบรท์” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ว่า...อยากนำระบบการปกครองแบบไทยไปเป็น “ต้นแบบ” ของเกาหลีเหนือในอนาคตเพราะไทยเป็นชาติที่มีการปกครองแบ่งเป็น “ระบบชนชั้น”ที่ชัดเจน และมีการปฏิบัติในภาครัฐที่เป็นอิสระต่อนานาอารยประเทศโดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการทำเป็นหนังสือรวมเล่มภายใต้ชื่อว่า“Kim Jong ll’s Leadership of North Korea”“คิมจองอิล” สนใจในสองมุมของสองประเทศที่น่าเอาแบบอย่าง...ระบบเศรษฐกิจของสวีเดน และ ระบอบการปกครองของไทยแต่ถ้าถามกลับ “คนไทย” ว่า...มีความสุขและพึงพอใจในระบอบ“การเมืองการปกครอง” นี้หรือไม่?คนไทยทั้งประเทศตอบเลยว่า “ไม่” เพราะมันเป็นระบอบที่“แข่งขันเป็นใหญ่” และไม่มีใครต้องการ “สูญเสียอำนาจ”บุคคลเหล่านั้นคิดว่า...ประเทศนี้ไม่ใช่ของ “ประชาชน” และเป็นของพวกเขา!ประเทศชาติต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ หลายปี เพราะการปฏิวัติของ“ผู้มีอำนาจ” และความแตกแยกทุกวันนี้ก็เพราะคนส่วนน้อยไม่ยอมรับ “ผลการเลือกตั้ง”หาก “คิมจองอิล” คิดแสวงหาอำนาจไม่รู้จบ...และคิดรวบอำนาจไว้เป็นของตนและพวกพ้อง โดยไม่ยึดหลักคิดถึงประชาชนและประเทศชาติเอาระบอบการปกครองแบบไทยไปใช้เถิด จะเกิดผลไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจ...เมื่อ “เฮียคิม” บอกทั้งรักทั้งหลงในระบอบการ

ปกครองไทย...ว่าแต่ว่า “เฮียคิม” น่าจะบอก...ใครคือ? ไอดอลของแก!


1ประเทศ2มาตรฐาน แก้โทษลิ้มจากคุก2ปีเหลือ6เดือน ส่วนดาไม่ต้องปรานีซ้อมเสร็จยัดขังเดี่ยว



http://thaienews.blogspot.com/2009/09/12-26.html


ความยุติธรรม-ศาลอุทธรณ์ตัดสินแก้โทษให้สนธิ ลิ้มทองกุล จากจำคุก 2 ปีเหลือเพียง 6 เดือน ระบุ"รุนแรงเกินไป" ส่วนดาตอร์ปิโดศาลตัดสินจำคุก 18 ปี เกินกว่าอัตราโทษสูงสุดที่กำหนดไว้ 15 ปี โดยอ้างว่าทำผิด 3 กระทงเลย"ต้องมีตัวคูณเพิ่มโทษ" ล่าสุดดายังเผชิญชะตามืดถูกใช้นักโทษด้วยกันทำร้ายร่างกาย และแยกขังเดี่ยว

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
11 กันยายน 2552

ศาลอุทธรณ์แก้โทษสนธิลิ้มจากคุก2ปีเหลือ6เดือน ระบุรุนแรงเกินไป

วันนี้ ศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินคดีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีต รมช.คมนาคม และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล หมิ่นประมาทใส่ความว่านายภูมิธรรมไม่จงรักภักดีสถาบันกษัตริย์ และส่งเงินให้เวบไซต์มนุษยะโจมตีสถาบัน โดยได้แสดงความปรานีแก้ไขลดโทษให้นายสนธิ จากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปีให้เหลือเพียง 6 เดือน

คำตัดสินระบุว่า
"ทั้งนี้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 5 มีความผิดนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 5 (นายสนธิ)ตามมาตรา 326 ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วย ทั้งที่พิพากษาโทษ ตามมาตรา 328 ฐานหมิ่นผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยสิ่งบันทึกเสียง และภาพ และสื่อสิ่งพิมพ์ไปแล้วนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า รุนแรงเกินไป ไม่เหมาะสมกับพฤติการณ์ เพราะเมื่อลงโทษจำเลยที่ 5 ตามมาตรา 328 แล้ว ก็ไม่จำต้องพิจารณาโทษ ตาม มาตรา 326 อีก จึงพิพากษาแก้โทษนายสนธิ จำเลยที่ 5 เป็นจำคุก 6 เดือน "


นายสนธิกล่าวในช่วงเย็นกับ ASTV กระบอก เสียงของโจรก่อการร้ายพันธมิตรตอนหนึ่งว่า คดีที่เขาถูกตัดสินให้จำคุกมีทั้งหมด 4 คดี รวมถูกตัดสินจำคุก 8 ปี โดยทั้งหมดเป็นคดีตอนที่ทักษิณมีอำนาจอยู่

"ฉะนั้น ศาลก็ตกเป็นเครื่องมือเขา ก็ต้องสู้ เข้าใจว่าถอยไม่ได้แล้ว..คดีอุทธรณ์ครั้งนี้ลดจาก 2 ปี เป็น 6 เดือน เจตนาไม่รอลงอาญาเพื่อจะบีบผม เอาคุกมาขู่ ก็ต้องตัดสินใจเดินหน้า ถ้าถึงฎีกาจะต้องติดก็ติด นักรบต้องไม่กลัวตาย” นายสนธิ กล่าว

ดาตอร์ปิโดถูกขังเดี่ยว-ใช้นักโทษทำร้ายร่างกาย

ขณะ เดียวกันดา ตอร์ปิโด ซึ่งถูกนายสนธิ ลิ้ม กดดันให้มีการดำเนินคดีหมิ่นฯ โดยแม้คดีนี้จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี แต่ศาลตัดสินโดยระบุว่ากระผิด 3 ครั้ง ตัดสินจำคุกกระทงละ 6 ปี รวมเป็น 18 ปี สูงกว่าอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้น ล่าสุดมีรายงานข่าวว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างยิ่ง เมื่อกลายเป็นนักโทษในเรือนจำ

"ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณสมชาย สำนักข่าว dpa เล่าให้ฟังว่า สถานการณ์คุณดาแย่มาก ตอนแรกทางเรือนจำออกข่าวทางบวกว่าคุณดาได้รับเลือกในกลุ่มให้เป็นหัวหน้า หรือเป็นประชาสัมพันธ์ให้เรือนจำ แต่ต่อมาถูกทางเรือนจำปลด มีการให้นักโทษมาทำร้ายร่างกาย ขณะนี้ถูกขังเดี่ยว เมื่อญาติไปเยี่ยมและซื้อชุดนอนไปให้ ก็ถูกเรือนจำยึดไป การสนทนาก็มีการดักฟัง"ผู้ทราบเหตุการณ์เปิดเผย

สมาชิกสมัชชาสังคม ก้าวหน้า ซึ่งกำลังรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อให้ปลดปล่อยดารณี เชิงชาญศิลปกุล "ดา ตอร์ปิโด"กล่าวเปิดเผยว่า เท่าที่เขาทราบ ทางเรือนจำใช้วิธีหยาบคาย สกปรก ใช้วิธีการกดดัน นักโทษในเรือนจำ

ขณะนี้สมัชชาฯกำลังจัดทำ โครงการจดหมายรักถึงนักสู้ประชาธิปไตย เพื่อให้ทั้งสังคมตื่นตัวว่า ไม่ควรยินยอมให้คนๆหนึ่งที่เป็นผู้คิดเห็นต่างจากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองต้อง โดนจำคุกแบบนี้ และไม่ควรปล่อยให้โดดเดี่ยว จึงอยากวิงวอนให้เสียสละเวลาเพียงเล็กน้อยด้วยการหากระดาษเขียนจดหมาย หรือไปรษณียบัตรเขียนมาร่วมโครงการ แสดงพลังของสังคม "เราจะทำอย่างไรให้คนเสื้อแดงทั้งหมดรับรู้รับทราบ และถือเป็นภารกิจอีกอันของคนเสื้อแดง"

ประชาไทรายงานข่าวเรื่อง ทนาย ‘ดา ตอร์ปิโด’ จี้ราชทัณฑ์แจงการกักเดี่ยว-เลือกปฏิบัติ โดยมีเนื้อหาข่าวดังนี้

ทนาย ความของดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำหนังสือร้องเรียนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 4 ฉบับ ขอให้ชี้แจงเหตุผลกรณีสั่งขังเดี่ยว เปลี่ยนบัตรป้ายชื่อเพิ่มข้อหาความผิด พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า การหารือ-เอกสาร ระหว่างทนายและลูกความอาจรั่วไหล

11 ก.ย.52 นายประเวศ ประภานุกูล ทนายความของนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (หมายเลขคดีดำที่ อ.3959/2551) ระบุว่า ได้ทำหนังสือเรียกร้องไปยังนายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เรียกร้องให้ยุติการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างไม่เป็นธรรม 4 ฉบับ เนื่องจากได้ข้อมูลการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมภายในเรือนจำหลังจากเข้า เยี่ยมลูกความเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ หนังสือทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว ประกอบด้วย

1. สอบถามถึงการลงโทษทางวินัยด้วยการกักเดี่ยวนางสาวดารณี โดยขอให้ชี้แจงถึงการกระทำความผิด เหตุผลของคำสั่ง และกฎหมาย ระเบียบที่รับรองคำสั่งดังกล่าว

2. สอบถามและเรียกร้องให้ยุติ กรณีทีทัณฑสถานได้สั่งเปลี่ยนป้ายชื่อของนางสาวดารณีใหม่ โดยระบุข้อหาที่ถูกดำเนินคดีด้วย
“การ เปลี่ยนบัตรดังกล่าวเป็นการประจานนางสาวดารณี ว่ากระทำการล่วงละเมิดสถาบันอันเป็นที่เคารพของชนทั่วไป ทำให้นางสาวดารณีถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากผู้ต้องขังคนอื่นตลอดจนเจ้าหน้าที่ ของทัณฑสถานหญิงกลาง การเปลี่ยนป้ายชื่อใหม่ดังกล่าวจึงไม่ต่างจากการหมิ่นประมาทนางสาวดารณี ทั้งการกำหนดเครื่องแบบผู้ต้องขังให้แตกต่างกันตามความหนักเบาแห่งข้อหาที่ ผู้ต้องขังแต่ละคนถูกดำเนินคดี ก็เป็นการแบ่งชั้นวรรณะ ไม่ต่างจากเจตนาประจานผู้ต้องขังเช่นกัน”

3. เรียกร้องให้จัดการพบทนายความของผู้ต้องขังให้โปร่งใส โดยจดหมายระบุว่า นายประเวศได้เดินทางเข้าพบนางสาวดารณีซึ่งเป็นลูกความ จากนั้นได้เดินออกมาถ่ายเอกสาร เมื่อเดินกลับไปอีกครั้ง พบเจ้าหน้าที่บางคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ข้อความบางส่วนที่เขาพูดคุยกับนางสาว ดารณี ทั้งที่ทนายจำเลยมีสิทธิพบปะพูดคุยกับจำเลยเป็นการส่วนตัว ทั้งนี้ เขายังเรียกร้องให้จัดแสดงสายโทรศัทพ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างทนายและลูก ความให้เด่นชัดว่าไม่มีการต่อสายพ่วงเพื่อดักฟัง

4.เรียกร้องให้จัด เก็บเอกสารเกี่ยวกับคดีให้เป็นความลับ โดยจดหมายระบุว่า โดยที่ศาลอาญาได้สั่งให้พิจารณาคดีนี้เป็นการลับ พยานหลักฐานต่างๆ ในคดีจึงต้องห้ามมิให้เผยแพร่ตามกฎหมาย และเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ทนายได้ส่งสำเนาพยานเอกสาร พร้อมแผ่นซีดี 3แผ่นให้นางสาวดารณีตรวจสอบความถูกต้อง แต่ด้วยกฎของทัณฑสถานหญิงกลางไม่อนุญาตให้นางสาวดารณีเปิดแผ่นซีดีตรวจ ข้อมูลดังกล่าว แต่กลับปรากฏเหตุการณ์บางอย่างชวนให้สงสัยว่า อาจมีบุคคลอื่นได้ทราบข้อมูลในแผ่นซีดีดังกล่าว และจนปัจจุบันทางทัณฑสถานหญิงกลางก็ยังไม่ได้ส่งมอบคืนซีดีนั้นแก่ทนาย จึงขอเรียกร้องให้วางระเบียบอย่างชัดเจนให้เอกสารที่ทนายส่งมอบให้ผู้ต้อง ขังเป็นความลับ และหากหลักฐานใดที่ตามระเบียบเรือนจำ ผู้ต้องขังไม่สามารถตรวจสอบได้ก็ขอให้คืนแก่ทนายในทันที

โครงการเขียนจดหมายถึงดารณี:เราจะไม่ทอดทิ้งกัน



“อิสรภาพก็คือคุก ตราบเท่าที่ยังมีคนอยู่เยี่ยงทาสแม้แต่เพียงคนเดียวในโลก”-อัลแบร์ กามู นักเขียนรางวัลโนเบลชาวฝรั่งเศส


สมัชชาสังคมก้าวหน้าขอเชิญท่านผู้รักประชาธิปไตยร่วมโครงการ “เขียนจดหมายรักถึงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย”

ที่มาของโครงการ-สมาชิก ของสมัชชาสังคมก้าวหน้าได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจคุณดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล (ดา ตอร์ปิโด) นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนหนึ่ง ที่ถูกข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ณ เรือนจำคลองเปรม จากนั้นเรามองว่า ควรทำกิจกรรมให้กำลังใจคุณดาต่อไป จึงได้ริเริ่มโครงการ “เขียนจดหมายรักถึงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งมีคำขวัญของโครงการนี้ว่า “เราจะไม่ทอดทิ้งกัน” โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

1. มนุษย์ตามระบอบประชาธิปไตยย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ควรถูกรังแกและถูกคุมขังในระหว่างที่ถูกกล่าวหา เพราะถือว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ว่ามีความผิดจริง

2. กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ถูกนำมาใช้ลงโทษผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง โดยเฉพาะผู้รักประชาธิปไตย ซึ่งต้องมีการทบทวนกฎหมาย ดังนั้นผู้ถูกกุมขังในขณะนี้จึงเป็นเพียงเหยื่อทางการเมือง กรณีคุณดา ตอปิโดได้ถูกพิพากษาจำคุกถึง 18ปีไปเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552

สมัชชา สังคมก้าวหน้าจึงขอเป็นหัวขบวนเปิดโครงการ โดยจะเขียนจดหมายส่งคุณดาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ฉบับอย่างต่อเนื่อง และท่านผู้รักประชาธิปไตยสามารถเขียนจดหมายรักหรือส่งโปสการ์ด ตามเงื่อนไข ดังนี้
1. ห้ามเขียนหรือกล่าวถึงเรื่องการเมืองและห้ามส่งภาพถ่ายจากกล้องถ่ายรูปเนื่องจากเป็นระเบียบของเรือนจำ
2. เขียนด้วยลายมือ เพื่อแสดงมิตรไมตรีระหว่างคนกับคน เพราะคุณดาและผู้ถูกกุมขังอื่นถูกลดฐานะความเป็นมนุษย์ จึงต้องการแสดงออกที่เป็นการคงสถานะความเป็นมนุษย์นี้ไว้
3. ระบุที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ของท่านเพื่อที่เราจะติดต่อกลับไป หากมีจดหมายตอบกลับจากคุณดา
4. สมัชชาสังคมก้าวหน้าขอเปิดจดหมายของท่านก่อนที่จะส่งต่อถึงคุณดา เพื่อถ่ายสำเนาจดหมายของท่านไว้และนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ เช่น ในบล็อกประชาไท และให้คุณดาตอบจดหมายท่านผ่านตู้ป.ณ.ของเรา ซึ่งเราก็จะขอเปิดจม.ก่อนนำส่งต่อ เพื่อสำเนาไว้เช่นเดียวกัน

เนื่อง จากเราจะรวบรวมสำเนาจดหมายทั้งหมดไปแสดงนิทรรศการงานศิลปะเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 6 ตุลาคม 2552 ซึ่งจะประชาสัมพันธ์งานนี้อีกครั้งหนึ่ง

กรุณาส่งจดหมายมายัง ตู้ ปณ. 58 ปณศ. (พ) พระโขนง กรุงเทพฯ 10110 (ไม่ต้องระบุชื่อผู้รับ)


ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ไชยวัฒน์ 0851883102 คมลักษณ์ 0834430758 หรืออีเมล์patchanee.k@gmail.com


19 ก.ย. 2549 รัฐประหารครั้งแรกไม่มีผู้เสียชีวิต...สู่รัฐประหารครั้งที่สอง

อันนี้ถูกใจครับ เป็นบทความเก่าของท่านปูนนก ไทยอีนิวส์ เมื่อ วันแรงงานที่ผ่านมา

http://thaienews.blogspot.com/2009/05/19-2549.html



โดย ปูนนก อิสระ
1 พฤษภาคม 2552

หลังจากที่เผด็จการ ได้ทำลายประเทศโดยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ในครั้งนั้นประชาชนยังไม่เข้าใจ ยัีงไม่มีความรู้พอว่าเกิดอะไรขึ้นกับการรัฐประหารในครั้งนั้น และมีผลกระทบอย่างไรกับประเทศนี้บ้าง

เวลาผ่านไปตลอด 3 ปี ประชาชนในประเทศนี้ค่อย ๆ มองเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดเมื่ออำนาจเผด็จการพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในแทบทุำก ๆ ด้านของชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชาติก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

1. สูญเสียสิทธิทางการเมืองเพื่อจะเลือกการปกครองตนเอง.... ซึ่งได้สูญสลายไปพร้อมกับการถูกยุบพรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน, พรรคชาิติไทย, พรรคมัชฌิมาธิปไตย และตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองเป็นจำนวนมาก คนไทยไม่มีสิทธิ์จะเลือกปกครองตนเองในแบบที่ต้องการได้เลย นอกจากจะต้อง “รับการปกครอง” จากอำนาจเผด็จการเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

2. สูญเสียสิทธิการได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน... ซึ่งได้สูญสลายไปด้วยการตัดสินอรรถคดีแบบ 2 มาตรฐานของคณะองค์ผู้พิพากษา ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการจำนวนมาก ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายนี้ไม่เพียงแค่คณะผู้พิพากษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายด้วย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ, และอัยการ เป็นเครื่องมือ

3. สูญเสียสิทธิการได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตรงไปตรงมา สื่อสารมวลชนได้ถูกอำนาจเผด็จการข่มขู่ และยึดครองโดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เผด็จการกระทำต่อพี่น้องประชาชนไทย จึงถูกบิดเบือนและแต่งแต้มให้ผิดแผกไปจากความเป็นจริง ประชาชนไม่สามารถได้รับความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมนี้ได้

4. สูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาความเจริญของประเทศ..... เผด็จการได้ทำลายความเจริญของประเทศชาติไปอย่างหมดสิ้น ประเทศชาติถอยหลังจากการพัฒนาชาติไปไม่น้อยกว่า 15 ปี เยาวชน หรือประชาชนในประเทศไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาทางการศึกษาให้ก้าวหน้าไปสู่ความ เป็นอารยะของประเทศได้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ โดยรอบ

5. สูญเิสียโอกาสในการแข่งขันทางการค้ากับต่างชาติ..... จากประเทศที่เคยเป็นประเทศ อู่ข้าวอู่น้ำ ส่งสินค้าออกได้มากมาย เป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แต่ปัจจุบัน เผด็จการได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากถึง 60% ของ GDP ภายในประเทศ ซึ่งจะใช้เวลาอีกนานกี่ชั่วคนก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ เพื่อที่จะชดใช้หนี้สินได้หมดสิ้น

6. สูญเสียสิทธิความเป็นพลเมืองของชาิติ.... เผด็จการได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีคนอยู่ 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นอมาตย์ (หรืออยู่ในกลุ่มอมาตย์) กับไพร่ ซึ่ง ไพร่ จะไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะเป็นพลเมืองของประเทศนี้ นอกจากต้องคอยจ่ายภาษี ทำงานหนักเพื่อให้ชนชั้นอมาตย์คอยสูบเลือดเนื้อ และปกครองต่อไปเท่านั้น เพราะถ้าไม่ยอมก็ชนชั้นอมาตย์ก็จะบังคับเอาด้วย อำนาจกองทัพ ซึ่งอาจจะตายฟรี เอาได้ง่าย ๆ

การสูญเสียทั้ง 6 ประการนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ เท่านั้น ที่ประชาชนไทยได้มองเห็นและสัมผัสได้ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้จากที่ประชาชนที่เคยไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่ทราบถึงความเลวร้ายของอำนาจเผด็จการเริ่มรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิที่ ตนเองสูญเสียไปกลับคืนมา และเมื่อความกดดันถึงขีดสุด การชุมนุมประท้วงและเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไป ให้กลับคืนมาก็บังเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา

และเมื่อการชุมนุมเริ่มจะแพร่ขยายไปมากขึ้นจนเกิน กว่าจะควบคุมได้ เผด็จการก็ใช้กลวิธีที่ชั่วร้าย ในการเข้าสลายประชาชนด้วยกำลังอาวุธ ภายใต้ พรก. ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 โดยเริ่มเวลา 04.20 น. เหตุการณ์ก็คือ “การรัฐประหารครั้งที่สอง” นั่นเอง แต่ครั้งนี้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

ซึ่ง หลัีงจากได้ใช้กำลังเข้าสลายประชาชนแล้ว อำนาจเผด็จการได้เข้าครอบคลุมทุกภาคส่วนของประเทศอีกครั้งหนึ่ง เหมือนช่วงเวลาภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ไม่มีผิดเพี้้ยน เพียงแต่ครั้งนี้มีรัฐบาล ปชป. โดยนายกอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่มีอำนาจอะไรเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น

เวลานี้ประเทศอยู่ภาย ใต้การรัฐประหารเงียบ อำนาจทุกอย่างเผด็จการครอบงำเอาไว้อย่างหมดจดจนดูเหมือนว่า เผด็จการจะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือประชาธิปไตยเสียแล้่ว......

แต่ทว่าใน ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ประชาชนไทยกว่า 60 ล้านคนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจ เริ่มมองเห็น และเริ่มสัมผัสได้ กับความเลวร้ายของอำนาจเผด็จการ พวกเขารู้ดีว่าถ้าปล่อยอำนาจนี้ต่อไปสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่านี้จะเกิดขึ้น และที่สำคัญอาจจะถึงขั้นสูญสิ้นชาติได้ แต่ในยามที่อำนาจเผด็จการยังโหมกระหน่ำรุนแรงนี้ การต่อสู้ภาคประชาชนยังคงทำได้ไม่เต็มที่ แต่เมื่อ “เวลา” มาถึง เผด็จการก็จะหมดสิ้นอำนาจไปอย่างไม่มีัทางหลีกเลี่ยง เพราะว่านี่คือ “กฎเกณฑ์ และวัฏจักร”

อดทนรอคอย จนกว่าเวลาและสถานการณ์จะพร้อม เพื่อนำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศนี้ด้วยกัน

ล้างบางแผลรัฐประหาร

http://www.thairath.co.th/content/pol/31478

เป็นอันแน่ชัดแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเดินหน้าต่อไป เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่าจะหารือและขอมติคณะรัฐมนตรี เพื่อขอเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อชำระล้างร่องรอยและบาดแผลของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญ แต่ผลจะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มากกว่า

วันเดียวกัน ประธานคณะกรรมการประสานงานรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล จากพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า จะมีการประชุมรัฐสภาเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อรับฟังความ คิดเห็นของสมาชิกรัฐสภา เกี่ยวกับรายงานของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะขอให้ทุกพรรคร่วมรัฐบาลร่วมเสนอญัตติขอแก้ไขในประเด็นที่เห็นพ้องกัน แต่จะให้ลงประชามติในประเด็นที่ไม่เห็นพ้อง

กระบวนการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญเริ่มขยับตัวอีกครั้ง หลังจากที่ ส.ว.บางคน ล่ารายชื่อ ส.ว. และ ส.ส. เพื่อเสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 7 ประเด็น มาจากคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ 6 ประเด็น เพิ่มเข้าไปอีก 1 ประเด็น แต่ต่อมามี ส.ว.บางคนขอถอนชื่อ โดยอ้างว่า ในญัตติมีการสอดไส้ให้ขยายอายุ ส.ว.สรรหา รวมทั้งให้ ส.ว.ที่พ้นจากตำแหน่งมีสิทธิ์สมัคร ส.ส. และเป็นรัฐมนตรีได้ทันที

อาจจะเป็นเพราะว่ามีคนบางกลุ่มกล่าวอ้างมา โดยตลอดว่า รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นบาปหนักถึงขั้น "อนันตริยกรรม" ทางการเมือง ทำลายกระบวนการยุติธรรมและประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง โดยมีรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นเครื่องมือสำคัญ นายกฯอภิสิทธิ์จึงอยากชำระล้างร่องรอยและบาดแผลของการยึดอำนาจคราวนั้นด้วย การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550

แต่รัฐประหาร 2549 และรัฐ-ธรรมนูญ 2550 เป็นต้นตอของความขัดแย้งทางการเมือง และเป็นตัวทำลายประชาธิปไตยจริงหรือ? เพราะความขัดแย้งได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2548 ก่อนรัฐประหาร 2549 และความขัดแย้งนั่นเองที่เป็นสาเหตุหนึ่งของรัฐประหาร ส่วนรัฐธรรมนูญ 2550 ก็มีบทบัญญัติส่วนใหญ่ เหมือนกับฉบับ 2540 ที่ต่างกันมากก็มีแต่เพียงเรื่องการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการพรรคที่ถูก ยุบ

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมี การยึดอำนาจหรือปฏิวัติรัฐประหารไม่น้อยกว่า 18 ครั้ง รัฐธรรมนูญบางฉบับมีบทบัญญัติห้ามใช้กำลังทหารเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เช่น การยึดอำนาจมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ระบุว่า ประชาชนมีสิทธิ์ต่อต้านการยึด อำนาจ "โดยสันติวิธี" แต่ไม่เห็นมีใครออกมา ต่อต้านรัฐประหาร 2549 การต่อต้านเย้วๆ ขณะนี้ ล้วนแต่ทำเมื่อคณะรัฐประหารหมดอำนาจ

นักวิชาการของไทย ไม่ว่าจะเป็นนักนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ เมื่อมีปัญหาการเมืองมักจะนึกถึงการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมองว่ารัฐธรรมนูญ เป็นยาวิเศษ แก้ไขสารพัดโรคการเมือง แต่จากคำกล่าวที่ว่า "สุดท้ายอยู่ที่พฤติกรรมและวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย" แสดงว่า นายกฯอภิสิทธิ์อาจจะเริ่มมี "ดวงตา เห็นธรรม" ในการเมืองของไทย.

ชนักปักหลัง “รัฐประหาร 2549”

โดย บุญเลิศ ช้างใหญ่

http://bhiromography.multiply.com/journal/item/561

พลันที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เข้า ยึดอำนาจ โค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" ก็ถูกยกเลิก (ถูกฉีก) โดยทันที

นั่นเท่ากับว่า มาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า

"บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ
โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ"

ที่มีเจตนารมณ์ให้ความคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านรัฐประหาร
เป็นเพียงตัวอักษรบนเศษกระดาษเท่านั้น

รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อันเป็นรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารซึ่งใช้อยู่ในขณะนี้
ก็บัญญัติข้อความเดียวกันนี้ไว้อีกในมาตรา 69 ก็หาได้เกิดสารประโยชน์อันใดไม่

นับ แต่เกิดการปฏิวัติเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ได้เกิดรัฐประหารมาแล้ว 9 ครั้ง เกิดกบฏ 12 ครั้ง ซึ่งหมายถึงผู้ก่อการล้มรัฐบาลกระทำไม่สำเร็จ คณะบุคคลที่ก่อกบฏต่างมีความผิดและได้รับโทษหนักเบาแตกต่างกันไป

รัฐ ธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่าที่ถูกฉีกโดยคณะรัฐประหารได้อย่างง่ายดายทั้ง 9 ครั้ง แท้จริงแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนั้นไม่มีบทบัญญัติ ให้ความคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการรัฐประหาร เช่นเดียวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ที่สามารถเอามาใช้ดำเนินคดีกับคณะรัฐประหารก็ไม่ต่างไปจากเศษกระดาษ ทั้งนี้ มาตรา 113 บัญญัติว่า

ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ (1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ (2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ (3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มีข้อน่าพิจารณาว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรานี้กลับถูกนำมาใช้กับกลุ่มบุคคลที่เป็นราษฎร
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด ฝ่ายไหน เมื่อออกมาขับไล่รัฐบาลจะด้วยความชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม
ในทรรศนะของใคร ตำรวจจะตั้งข้อหา ออกหมายจับ อัยการส่งฟ้อง
และสุดท้ายถูกศาลตัดสินให้รับโทษ

เมื่อ เป็นดังนี้ จะเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากคนที่มีกำลังอาวุธ ถ้าล้มล้างรัฐบาลและฉีกรัฐธรรมนูญ มีสิทธิกระทำได้โดยชอบธรรม ไม่ถือเป็นความผิดและไม่ต้องรับโทษใดๆ หรือว่าความยุติธรรมไม่มีในโลก ดังที่ใครไม่รู้เคยพูดไว้

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ผ่านพ้นไป
โดยไม่มีใครอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 65 ที่ถูกฉีกทิ้งไป
แล้วออกมาต่อต้านคณะรัฐประหารโดยสันติวิธีต่อเพื่อให้ผู้มีอาวุธเหล่านี้ถอยออกไป
เพราะถือว่าเข้ามามีอำนาจขัดต่อครรลองของรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นประชาธิปไตย
หรือ แม้จะมีใครออกมาต่อต้านก็ยังไม่รู้ว่าจะได้รับผลกรรมเช่นใด อาจถูกจับ ถูกฆ่าตาย หรือถูกพิพากษาตัดสินให้จำคุกหรือประหารชีวิตหรือไม่ก็มิอาจทราบได้ แต่ต้องยอมรับว่าเสี่ยงมากๆ หากใครคิดจะพึ่งมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญ 2540

กรณี นายอุทัย พิมพ์ใจชน นายบุญเกิด หิรัญคำ และนายอนันต์ ภักดิ์ประไพ 3 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องจอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติ (รัฐประหาร) หลังปฏิวัติตัวเองวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 ฉีกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกสภาผู้แทนราษฎร แทนที่เผด็จการจะผิดและได้รับโทษ บุคคลทั้ง 3 กลับถูกจับกุมและถูกขังคุก หากไม่เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ออกกฎหมาย ทั้ง 3 คนนี้คงต้องกินข้าวแดงและทนทุกข์ทรมานอยู่ในเรือนจำต่อไป โดยไม่มีใครหรือกระบวนการยุติธรรมที่ไหนมาช่วย

สำหรับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มิอาจถือว่าเป็นสิ่งถูกต้องได้เลย นี่เองในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 ซึ่งประกาศใช้ 1 ตุลาคม 2549 ก็บัญญัติไว้ในมาตรา 37 ให้ถือว่าบรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจ การปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และการกระทำของผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายทั้งปวง การไปลงโทษใครต่อใคร หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง

เพื่อความแน่ ใจจะไม่ถูกใครมาโต้แย้งและเอาโทษคณะรัฐประหารและผู้เกี่ยวข้องในภายหลัง กลไกของคณะรัฐประหารก็ไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 309 คุ้มครองไว้อีกชั้นหนึ่ง

แม้ในทางกฎหมาย สถาบันในกระบวนการยุติธรรมจะถือปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ฉบับของคณะรัฐประหาร กล่าวคือ คณะรัฐประหารทำอะไรไว้เป็นสิ่งที่ชอบ แต่ในทางการเมือง กลไกต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2550 ประกาศ คำสั่งของคณะรัฐประหารและรัฐบาลที่คณะรัฐประหารแต่งตั้ง รวมถึงโครงสร้างอำนาจและสถาบันสำคัญของประเทศกำลังถูกสั่นคลอนและท้าทาย อย่างรุนแรง
จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติและคนเสื้อแดง ซึ่งไม่เคยเกิดปรากฏการณ์ลักษณะนี้มาก่อนนับแต่เกิดรัฐประหารมา 9 ครั้ง

การชุมนุมปราศรัยทางการเมืองของคนเสื้อแดงในหลายพื้นที่
กระทำ ต่อเนื่องด้วยเนื้อหาที่เผ็ดร้อน การรวบรวมรายชื่อคนเสื้อแดงเกือบ 6 ล้านคน เพื่อทูลเกล้าฯถวายฎีกาพระมหากษัตริย์เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่านี่คือ ปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามกับคณะรัฐประหาร
ที่กำลังใช้สิทธิต่อต้านการยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
แล้ว เอาโทษกับ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกตนอย่างผิดทำนองคลองธรรม เพียงแต่ว่าไม่ได้มุ่งขับไล่คณะรัฐประหารเพราะคณะรัฐประหารได้หมดอำนาจไป แล้ว หากทว่าเป็นการกระทำกับกลไกและตัวแทนฝ่ายต่างๆ ทั้งพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง (พันธมิตร) ทหาร องคมนตรีบางคน เป็นต้น

ยิ่งฝ่ายตรง ข้ามของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนเสื้อแดง อันได้แก่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พันธมิตร นักวิชาการบางส่วน ผู้นำทหารบางนาย ฯลฯ ใช้อำนาจกฎหมายและวิธีการต่างๆ เพื่อหักโค่น ขัดขวางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณและคนเสื้อแดง ดังกรณีการขึ้นป้ายขนาดใหญ่คัดค้านการเข้าชื่อถวายฎีกา การแจ้งจับแกนนำ นปช. การสั่งถอนชื่อในฎีกา การล่าชื่อคัดค้านการถวายฎีกา ฯลฯ แทนที่จะเกิดผลดีกับฝ่ายมีอำนาจกลับก็จะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกไปมากยิ่ง ขึ้น บ้านเมืองที่คุกรุ่นก็จะลุกเป็นไฟ

คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยกำลัง รู้สึกว่า พวกตนกำลังถูกบีบบังคับจากฝ่ายตรงข้ามไม่ให้จงรักภักดีพระมหากษัตริย์ เพราะแค่การเข้าชื่อถวายฎีกาก็ยังถูกต่อต้านทุกรูปแบบ ซึ่งเหมือนกับในอดีตที่คนไม่ได้มีความคิดจะเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) แต่เมื่อถูกบีบบังคับเข้ามากๆ ในที่สุดก็เลยเข้าป่าจับปืนเป็น ผกค.เสียเลย

หากความรู้สึกเช่นนี้แผ่ขยายไปสู่คนเสื้อแดงมากเท่าไร อันตรายจะเกิดขึ้นกับสังคมไทย ถึงตอนนั้น ใครและสถาบันไหนจะมาแก้และคิดว่าจะแก้ได้ง่ายๆ หรือ?


(ที่มา มติชนรายวัน , 13 สิงหาคม 2552)

...

บุญเลิศคิดออกแล้ว ถึงจะช้ามากไปหน่อยก็ยังดี

19 กันยายน 49 3 ปีรัฐประหารไทยได้อะไร....เสียอะไร

19 กันยายน 49 3 ปีรัฐประหาร ไทยได้อะไร....เสียอะไร

http://www.norporchorusa.com/index.php?option=com_fireboard&Itemid=67&func=view&catid=2&id=430

คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะนายทหารประกอบด้วย ผบ.เหล่าทัพบก เรือ อากาศ ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลนายกฯพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนด้วยคะแนนเสียง 377 เสียง จาก 500 เสียง มีประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยกว่า 19 ล้านเสียง นับเป็นชัยชนะแบบถล่มทลาย ทั้งๆที่ถูกสื่อมวลชนกระแสหลักและฝ่ายอำนาจมืดพยายามที่จะให้ร้ายป้ายสีตลอด พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคเดียว ไม่มีรัฐบาลผสมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนคนไทยก็ตั้งความหวังว่าประเทศไทยจะมีระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย ที่เข้มแข็งและสามารถพัฒนาประเทศให้ก้าวรุดหน้าไปได้ด้วยดีเพื่อแก้ปัญหา ความยากจนตามนโยบาย 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง

แต่เพราะปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นเหตุให้ฝ่ายอำมาตย์เล็งเห็นภัยคุกคาม จึงได้เร่งทำการโค่นล้มรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย โดยใช้นักวิชาการขายอุดมการณ์ นักการเมืองขายตัวและสื่อมวลชนออกมาเห่าหอนว่าเป็นเผด็จการทางรัฐสภา จำเป็นต้องโค่นล้มระบอบทักษิณแทนที่จะกล้าบอกตรงๆว่าจะโค่นล้มระบอบ ประชาธิปไตยเพื่อสถาปนาระบอบอมาตยาธิปไตยให้ยั่งยืนสืบไป แต่ก็เกรงว่าคนทั่วโลกจะหัวเราะเยาะ เย้ยหยันและต่อต้านความคิดล้าหลัง บรรดานักวิชาการ,ราษฎรอาวุโส ที่หมอบราบคาบแก้วอยู่กับระบอบอำมาตย์ ก็ให้การสนับสนุนกลุ่มพธม.ออกมาเคลื่อนไหว ขับไล่รัฐบาลจนในที่สุดก็เป็นชนวนอ้างให้ทหารปฏิวัติได้ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นขณะที่พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรไปปฏิบัติภารกิจที่องค์การสหประชาชาติ กำลังจะขึ้นปราศรัยต่อที่ประชุมทราบข่าวการรัฐประหารช่วงระยะเวลาดังกล่าวมี ที่ปรึกษาหลายคนเสนอให้นายกฯตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และแถลงต่อสหประชาชาติทันที แต่ก็ทราบว่ามีโทรศัพท์ข้ามาจากฟากฟ้าแดนไกลขอให้ระงับการจัดตั้งรัฐบาลพลัด ถิ่น และรับปากว่าจะดูแลให้ความเป็นธรรมทุกอย่าง จะไม่มีการริบทรัพย์สิน และสามารถกลับเข้าประเทศได้ เป็นเหตุให้นายกฯทักษิณระงับการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น นับเป็นการสูญเสียโอกาสในการต่อสู้อย่างชอบธรรมลงไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งต่อมาก็พิสูจน์ชัดว่าเป็นเพียงแค่คำลวงของเขา สมกับคำว่า “เชื่ออะไรเขาบอก เขาหลอกให้เราไหลหลง”
การรัฐประหารดังกล่าว คณะรัฐประหารใช้ชื่อว่า....... และมีการออกโทรทัศน์ใน
คืนนั้นเห็นภาพชัดเจนว่ามีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์นำคณะ......... เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เป็นเหตุให้คนที่ชมโทรทัศน์อยู่เข้าใจว่า การรัฐประหารครั้งนี้ มีพล.อ.เปรม เป็นหัวหน้าและเข้าไปขอพระบรมราชานุญาติจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว พสกนิกรชาวไทยต่างเคารพรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อนำภาพดังกล่าวออกเผยแพร่ทางโทรทัศน์ จึงนับว่ามีน้ำหนักมากที่จะให้คนไทยคล้อยตาม สนับสนุน คณะรัฐประหาร....... นับได้ว่าเป็นการดึงสถาบันเบื้องสูงลงมาเกี่ยวข้องกับการัฐประหารอย่าง ชัดเจน

หลังจากนั้นก็มีการแต่งตั้งพล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีซึ่งประกอบไปด้วยข้าราชการประจำที่เกษียณอายุแล้ว และมีความสนิทสนมกับสายพล.อ.เปรม จนมีคนตั้งข้อสังเกตว่าจะมีรัฐบาลที่มีอายุเฉลี่ยสูงสุด แล้วจะบริหารประเทศไปรอดหรือ สร้างความกังขาให้กับประชาชนชาวไทยที่เฝ้าจับตาดูฝีมือการบริหารประเทศของ รัฐบาลจากคณะรัฐประหาร แต่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสต่อหน้ามหาสมาคม เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาว่ารัฐบาลนี้เป็น “ รัฐบาลขิงแก่ ” แปลความว่า ถึงจะแก่ก็แก่ดีเหมือนขิงแก่ ที่มีรสจัดจ้าน ผู้คนได้ฟังก็ชื่นชม โสมนัส นับได้ว่ารัฐบาลพล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ปวงประชาก็ชื่นชมและเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะได้เห็นฝีมือรัฐบาลขิงแก่ เหมือนได้ชิมชาขิงแก่ร้อนๆให้ชื่นใจ ขับไล่ผายลมในท้องที่บูดเน่าออกเสีย ประเทศชาติคงจะรุ่งเรืองขึ้นอีกเยอะเพราะฤทธิ์สมุนไพรขิงแก่นั่นเอง

แต่ 1 ปีเศษ ที่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์บริหารประเทศ ก็ไม่ได้มีผลงานอะไรก้าวหน้าให้เป็นที่ประทับใจของประชาชนและข้อสำคัญ เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ทางภาคกลางตอนบนแถบจังหวัดชัยนาท , สิงห์บุรี , อ่างทอง , อยุธยา ราษฎรต้องผิดหวังกับการช่วยเหลือของภาครัฐเพราะการช่วยเหลือมาอย่างล่าช้า มากเหมือนคนชรา

ข้อน่าสังเกตที่ทำให้รัฐบาลนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ก็เพราะว่าประเทศในสหภาพยุโรป อเมริกา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ไม่ยอมรับให้มีการเจรจาในระดับรัฐมนตรี จะสังเกตว่ารัฐมนตรีของไทยไม่สามารถเดินทางไปในฐานะตัวแทนของประเทศไทย ที่จะไปเจรจาทำสัญญากับประเทศดังกล่าวได้ เป็นเหตุให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการเปิดตลาดการค้ากับประเทศอเมริกา สหภาพยุโรป , ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ได้อีก ทำให้ออเดอร์สินค้าถูกแย่งตลาดไปตกกับเวียดนาม จีน ฯลฯ เพราะประเทศดังกล่าวเขาถือว่ารัฐบาลนี้มาจากการทำรัฐประหารไม่ได้เป็น ประชาธิปไตย พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ เห็นจุดอ่อนดังกล่าวนี้จึงได้ผลักดันให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ท่ามกลางกระแสการคัดค้านของกลุ่มพธม. และกลุ่มคณะนายทหารคมช.

เมื่อมีการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. 50 พรรคพลังประชาชน(ไทยรักไทยเดิม) ซึ่งมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรคก็ได้รับชัยชนะได้ที่นั่งส.ส.ในสภามากที่สุด และได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ถูกกลุ่มพธม.ออกมาเคลื่อนไหวปิดสะพานมัฆวาน ปิดทำเนียบรัฐบาล บุกสถานีวิทยุฯช่อง 11 และถูกตุลาการภิวัฒน์ตัดสินให้ขาดคุณสมบัติ เพราะนายสมัครออกรายการทีวี “ชิมไป บ่นไป” โดยอ้างพจนานุกรมมาตัดสินแทนกฎหมายแรงงาน มาตราที่ว่าด้วยคำจำกัดความคำว่า การจ้างงาน ซึ่งถ้าพิจารณากันตามกฎหมายแรงงานแล้วก็ไม่สามารถตีความว่านายสมัครขาด คุณสมบัติได้ ตุลาการภิวัฒน์จึงไปเอาความหมายในพจนานุกรมมาใช้ตีความแทนความหมายในกฎหมาย แรงงาน เป็นเหตุให้นายสมัครต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พรรคพลังประชาชนก็ยังต่อสู้จนได้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศต่อไป กลุ่มพธม.ที่ยึดทำเนียบปิดถนนราชดำเนิน ไม่ให้เป็นเส้นทางเสด็จราชดำเนินไปถวายพระเพลิงสมเด็จพระพี่นาง ก็ยังเพิ่มความอหังการ โดยการบุกยึดสนามบินที่หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นการซ้อมเพื่อไล่แขก นักท่องเที่ยว หลังจากนั้นก็เพิ่มความเข้มข้นโดยยึดสนามบินดอนเมือง , สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 หลังจากยึดสนามบินสุวรรณภูมิได้แล้ว 1 วัน นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้ขึ้นปราศรัยกับคนเสื้อเหลืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อข่มขู่รัฐบาลนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่า ถ้าเข้ามาสลายมวลชนคนเสื้อเหลือง คนเสื้อเหลืองจะขยายผลการยึดไปยังท่าเทียบเรือแหลมฉบังอีกแห่งหนึ่งด้วย ทั้งนี้ก็เป็นไปตามแผนของอำมาตย์ที่ต้องการจะปิดประเทศ ไล่นักท่องเที่ยวออกนอกประเทศและไม่ต้องการให้ชาวต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนใน ประเทศ เพราะมองว่าเป็นกลุ่มทุนเดียวกับนายกฯทักษิณ เจตนารมณ์ของฝ่ายอำมาตย์ก็คือ ต้องการที่จะปิดประเทศชั่วคราวและจัดระเบียบสังคมใหม่ที่เรียกว่า ประชาธิปไตยใหม่แบบพม่า เมื่อจัดระเบียบใหม่เรียบร้อยแล้วจึงจะคิดเปิดประเทศให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน ใหม่ แต่คราวนี้จะต้องผ่านกลุ่มนายหน้าของฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งจะจัดตั้งเป็นสำนักงานทนายความและที่ปรึกษาทางธุรกิจการเงินและบัญชี หากนักลงทุนไม่เข้ามาในช่องทางที่กล่าวไว้ก็ไม่สามารถเข้ามาลงทุนในเมืองไทย ได้ จะมีแต่เฉพาะกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติที่ยอมเข้ามาติดต่อกับสำนักงานของ อำมาตย์เท่านั้น เป็นการแปลงระบอบศักดินาสู่ระบบทุนนิยมผูกขาดโดยกลุ่มอำมาตย์ ไม่ใช่เป็นการเปิดประเทศแบบทุนนิยมเสรี ซึ่งตำนานการค้าขายแบบนี้มีมาตั้งแต่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งไปหาอ่านได้จากจดหมายเหตุของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาติดต่อค้าขาย และเผยแพร่ศาสนาได้มีบันทึกไว้ชัดเจนว่า การค้าขายทั้งหมดจะต้องผ่านอำมาตย์เท่านั้น ห้ามค้าขายกับประชาชนทั่วไป จนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเหตุให้ราชอาณาจักรสยามถูกบังคับให้ทำสนธิสัญญาบราวน์นิ่งกับอังกฤษ และกับชาติอื่นๆ ความคิดที่ล้าหลังเหล่านี้กำลังจะถูกนำกลับเข้ามาใช้อีกวาระหนึ่งแต่แปลงโฉม ให้ทันสมัยขึ้น ในลักษณะการลงทุนร่วมแต่ก็เป็นระบบทุนผูกขาด เป็นเหตุให้ประเทศชาติไม่สามารถทำการค้าแบบเสรีได้ กลายเป็นปิดประเทศแบบพม่าเพียงเพื่อเห็นผลประโยชน์ของกลุ่มอำมาตย์เท่านั้น

หลังรัฐประหารแล้วไทยได้ ไทยเสียอะไร

ไทยได้อะไร ?
1. รัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำลายประชาธิปไตย
2. ได้ยาเสพติดคืนมา
3. ได้ไข้หวัด 2009 คนไทยต้องเสียชีวิตกว่า 130 คน มากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีคนตายเกินกว่า 100 คน ในโลกนี้มีเพียงแค่ 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย , เม็กซิโก , สหรัฐอเมริกา และอาร์เจนตินา 3 ประเทศดังกล่าวอยู่ในทวีปอเมริกาและมีประชากร 280 ล้านคน ในสหรัฐ ส่วนอีก 2 ประเทศมีประชากรมากกว่าประเทศไทยมาก ฉะนั้นเมื่อคิดเป็นสัดส่วนของประชากรแล้วประเทศไทยเสียชีวิตมากที่สุดในโลก เพราะฝีมือการบริหารงานของนายอภิสิทธิ์ จนเป็นเหตุให้สั่งระงับการรายงานผู้เสียชีวิตและผู้ติดไข้หวัด จนวันนี้คนไทยนึกว่าหวัดหายไปแต่เป็นเพราะใช้เล่ห์เพทุบายไม่เปิดเผยข้อเท็จ จริงตามหลักธรรมาภิบาลของประเทศที่เจริญแล้ว
4. คนไทยได้เป็นหนี้กันทั่วหน้าจากการกู้เงินของรัฐบาลมาร์ค ผ่านพ.ร.บ.การกู้ 8 แสนล้านและมีแผนการกู้ถึง 1.4 ล้านล้านบาทเพื่อทำให้ไทยเข้มแข็ง สรุปแล้วคนไทยนับแต่คลอดมาก็เป็นหนี้กว่า......บาทต่อหัว คงได้ใช้หนี้กันหัวโต
5. ได้ปิดประเทศ การท่องเที่ยวเสียหายยับเยิน
6. ได้ลูกหมีแพนด้ามา 1 ตัว แต่ก็ไม่ได้จริง ในที่สุดจีนก็จะมาเอาคืนไป แต่คนไทยถูกหลอกให้บ้าคลั่งเสียเงินค่าไปรษณียบัตรให้กับไปรษณีย์ไทย 20 – 30 ล้านบาท เพียงเพื่อหวังเงินรางวัลแค่ 1 ล้านบาท
7. ได้รู้ว่าพ่อของด.ช.เคอิโงะ ชื่ออะไร และได้เพียงโทรศัพท์พูดกับพ่อเท่านั้น จนวันนี้ ด.ช.เคอิโงะก็ยังไม่ได้พบกับพ่อสมใจอยาก
ทั้งเรื่องด.ช.เคอิโงะ และหมีแพนด้า เป็นกลไกการเบี่ยงเบนข่าวของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลปชป.เพื่อหลอกลวงประชาชนให้ลืมปัญหาปากท้อง ความทุกข์ยากไปวันๆเพราะรัฐบาลไม่มีปัญญาแก้ไข แถมยังสร้างหนี้อีกต่างหาก
8. ได้รัฐบาลทรราช เผด็จการ อภิสิทธิ์ ปราบปรามประชาชนในวันสงกรานต์เลือด โดยใช้ทหารนำอาวุธสงครามออกมาเข่นฆ่าประชาชน (ปรากฏในคลิปเสียงของนายอภิสิทธิ์ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆนี้) ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็รับว่าเป็นเสียงของตน แต่มีการตัดต่อ ซึ่งผลการสอบสวนเบื้องต้นเรื่องคลิปเสียงนี้จากคณะอนุกรรมการของรัฐสภาก็ ระบุชัดว่า คลิปเสียงดังกล่าวมีความยาว 3 นาที 40 วินาทีเศษ โดยแบ่งออกเป็น 6 ตอนของประโยคคำพูด ซึ่งจากการฟังของคณะอนุกรรมการมีความเห็นชัดเจนว่า เสียงดังกล่าวเป็นเสียงของนายอภิสิทธิ์จริง และพูดในที่เดียวกันในสถานที่ที่มิดชิด เหมือนห้องประชุมที่เก็บเสียงผู้พูดไม่ได้ไปไหน แต่ละประโยคซึ่งมี 6 ประโยคมีระดับเสียงระนาบเดียวกัน เชื่อว่าไม่มีการตัดต่อในแต่ละประโยค ใจความที่พูดแต่ละประโยคก็เข้าองค์ประกอบความผิดสำเร็จแล้วตามกฎหมาย

ไทยเสียอะไร ?
1. เสียรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยทำให้ระบบบริหารเข้มแข็งไป
2. เสียออเดอร์การส่งออกสินค้าเสื้อผ้า , ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ , ชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ
3. สูญเสียภาวการณ์เป็นผู้นำอาเซียน ซึ่งนายกฯทักษิณใช้เวลาสร้างมาถึง 8 ปี แถมยังทะเลาะกับพม่าและเขมรอีกด้วย และสูญเสียเครดิตความน่าเชื่อถือ ภาพลักษณ์ของประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก เป็นเมืองที่มีความสวย ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสเอื้ออาทร แต่บัดนี้ประชาชนแตกกันเป็นฝ่าย สูญเสียความเป็นเอกภาพของความเป็นไทยลงอย่างสิ้นเชิง
4. เสียตลาดยางพาราจากราคาที่เคยขายได้ก.ก.ละร้อยกว่าบาท เหลือไม่ถึง 30–40 บาท
5. เสียตลาดผลไม้ ตลาดข้าว ตกต่ำ ชาวนาร้องเรียนปิดถนน กลับถูกจับจำคุก 6 เดือน 4 คนที่จ.เชียงราย
6. เสียทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 111 คน กับ 109 คน รวม 220 คน ซึ่งเป็นนักการเมืองเกือบทั้งหมดในสภาในระดับกรรมการบริหารพรรคทั้งสิ้น ทำให้การเมืองอ่อนแอตามแผนของอำมาตย์
7. เสียดินแดนให้เขมรตัดถนนเข้ามาที่เขาพระวิหาร และเสียนักท่องเที่ยวที่จะไปท่องเที่ยวเขาพระวิหาร รวมทั้งการค้าชายแดนแถบนั้น
เท่าที่ผู้เขียนนึกได้ด้วยเวลาอันสั้น มีอยู่ 7 – 8 ข้อเท่านั้น ที่จริงยังมีอีกเยอะ อยากจะขอฝากเป็นการบ้านให้คนไทยช่วยกันคิดว่าผลพวงการรัฐประหารนั้นไทยได้ อะไร เสียอะไร

“ตำรวจ” หมดกำลังใจ เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกรณีสลายม๊อบ 7 ตุลา



โดย พระพยอม กัลยาโณ
เป็นเรื่องเสียดแทงหัวใจตำรวจทั้งกรม โดยเฉพาะตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เมื่อเจ้านาย (พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลา



ในที่สุดนายตำรวจใหญ่อย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ต้องลาออกจากราชการ หลังจากถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางอาญาเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ รวมทั้งแรงบีบจากคำสั่งย้ายมาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนบุคคลที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดมีทั้งอดีตนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองนายกฯชวลิต ยงใจยุทธ หรือพ่อใหญ่จิ๋ว และนายตำรวจอีก 2-3 คน เรียกว่าต้องมารับกรรมกันตอนแก่

อาตมานั่งดูรายการโทรทัศน์ดาวเทียม ช่องหนึ่งรายงานเกือบตลอดทั้งวัน โดยแต่ละช่วงของรายการจะมีการออกมาอัดตำรวจเสียจนยับเยินเกี่ยวกับการสลาย การชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลา รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจในตอนนั้น หรือการตัดต่อถ้อยคำต่างๆที่ตำรวจท่านไหนเคยพูดถึงเหตุการณ์สลายม็อบว่า อย่างไร หากมีคำพูดของตำรวจท่านใดออกมาตำหนิการกระทำของม็อบ พิธีกรในรายการจะอัดกลับทันที และทิ้งท้ายด้วยคำว่าพวกเราไม่ให้ราคาอะไรตำรวจคนที่พูด



ตกลงว่าสถานการณ์แบบนี้ต้องการต้อนประเทศให้เข้าสู่ “มิคสัญญียุค” หรือว่า “กลียุค” กันเลยหรือ และยังเชื่อต่อไปอีกว่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นและรับทราบข่าวการชี้มูลของ กรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่สอบสวนคงไม่อยากเห็นการลุกขึ้นมาเผาบ้านเผาเมืองของม็อบต่างๆที่อาจจะ เกิดขึ้นอีกในคราวต่อๆไป เราเชื่อว่าฝูงชนในม็อบนั้นมีทั้งคนดีในระดับกลางและดีมากๆ และยังเชื่อว่าม็อบเลวก็มีเช่นกัน เลวในระดับกลางๆก็มี หรือเลวระยำที่สุดก็ยังมี แต่ว่าเป็นการกระทำเลวๆในม็อบที่มีคนดีๆอยู่กัน



ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการเผาบ้านเผาเมือง ทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ตำรวจก็ถูกตบหัว ถูกถ่มน้ำลายใส่ ไม่รู้ว่าต่อไปจะเอารองเท้ามาเคาะหัวตำรวจเล่นหรือเปล่า ตำรวจคงไม่กล้ายุ่งอะไรกับม็อบ เพราะจะทำอะไรก็ไม่ได้ เกรงจะถูก ป.ป.ช. เล่นงาน

ตำรวจหลายคนบอกว่าเราไม่ได้เป็นหมาที่จะให้ใครมาเคาะหัวเล่น ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามอำเภอใจที่เขา (ม็อบ) ต้องการเยาะเย้ยถากถางเหมือนหมา ตำรวจหลายท่านเล่าให้อาตมาฟังว่าบางทีรู้สึกอัดอั้นแต่ทำอะไรไม่ได้ จึงบอกว่าเราเป็นเหมือนหมา ใครจะเคาะหัว ลูบหัวเล่นก็ได้ ก็ต้องทน



การกระทำที่ทำให้ตำรวจหมดศักดิ์ศรีอย่างนี้ หากคราวหน้าเกิดการประท้วงเดินขบวนเคลื่อนไหวเผาบ้านเผาเมือง ยึดที่นั่นที่นี่ แล้วจะมีตำรวจคนไหนอยากออกมาสกัดกั้น



คำพูดที่ว่าทำอะไรให้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผนคงต้องเป็นตำรวจที่ เป็นพระอรหันต์ และต้องเป็นม็อบอรหันต์ นั่นแหละถึงจะเรียกว่ามีแต่เรื่องถูกต้องดีงาม



ที่ผ่านมาเราเห็นม็อบที่เกิดขึ้นในต่างประเทศแล้วใช่ไหมว่ามี เจ็บตายกันเยอะ แต่ไม่เห็นว่าตำรวจต้องออกไปรับโทษรับทัณฑ์ แต่ถ้าตำรวจคิดจะปล่อยก็ทำไม่ได้ มีความผิด ต้องปล่อยให้ม็อบปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองอยู่ตลอดไป



เราคงเห็นว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ต่างอะไรกับการต้อนบ้านเมือง เข้าสู่ยุควิกฤต และก็ดูว่าจะเป็นวิกฤตถาวร มีคอลัมนิสต์ท่านหนึ่งเขียนไว้ว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งของประเทศไทยในเวลา นี้เปรียบเหมือนเสียกรุงครั้งที่สองอะไรทำนองนั้น ซึ่งเป็นการอนุมานเอา อาจมีถูกบ้างผิดบ้าง แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะถูกทั้งหมด



สถานการณ์อย่างนี้คงทำให้เจ้าหน้าที่ไม่มีขวัญกำลังใจที่จะเข้า ไปสกัดกั้นม็อบ ถ้าให้เขาเลือกรับโทษระหว่างโทษไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่กับโทษปฏิบัติรุนแรงจะเลือกข้อไหน เขาอาจเลือกรับโทษข้อละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะถ้าเลือกปฏิบัติแล้วผู้ชุมนุมก็ไม่เจ็บ ตัวเองก็คงไม่ผิด



แต่เมื่อทำแล้วเป็นธรรมดาของปุถุชนที่ต้องทำตามคำสั่ง และเมื่อเจอกับแรงกดดันอารมณ์ก็พาไป เพราะเป็นธรรมชาติของความหนาต่อหนา คือหนาไปด้วยกิเลส ถึงแม้ว่าจะวางระเบียบดีอย่างไรก็ตาม แต่สถานการณ์ทำให้เลี่ยงไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งอัดอั้นใจ อีกฝ่ายก็ย่ามใจ แล้วสองคำนี้มองเห็นกันหรือไม่ว่าคืออะไร แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ที่คนชนะย่อมอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยถากถาง ส่วนคนพ่ายแพ้ก็ต้องเจ็บแค้น



ในอีกปีสองปีนี้คงเป็นเรื่องยากที่ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากความ เป็นมิคสัญญีหรือกลียุค คงจะต้องมีอะไรให้เห็น เพราะสถานการณ์ต้องเข้าหาสิ่งที่เรียกว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คงเป็นการบ่มเพาะเอาไว้อย่างหนัก



ในขณะที่คนถูกกล่าวร้าย คนที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด หลายคนก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้าย เคยทำคุณประโยชน์อย่างมากมายให้กับประเทศชาติ อาจจะผิดหนักในคราวนั้น แต่ความดีที่เคยทำ ที่เคยสะสมมาเพื่อบ้านเมือง จะไม่มีเหลือเลยหรือ เชื่อว่าล้านเปอร์เซ็นต์ที่ตำรวจผู้น้อยจะต้องมาเก็บอารมณ์ขมขื่น ที่อะไรๆตำรวจก็ต้องรับผิดเต็มๆ ไม่เคยได้ยินคำกล่าวจาก ป.ป.ช. ว่าถูกยั่วยุอย่างไร ได้ยินแต่เสียงตำรวจเลว ชั่ว ไม่เคยได้ยินว่าตำรวจที่ถูกขับรถไล่ชนเป็นอย่างไร ตำรวจที่ถูกแทงจนบาดเจ็บเป็นอย่างไรจากปากของ ป.ป.ช. กลายเป็นม็อบทำอะไรก็ดีงามทุกอย่าง ถูกต้องถูกเรื่อง แล้วอย่างนี้บ้านเมืองจะไม่เข้ามุมอับได้อย่างไร




เจริญพร



(ที่มา หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ , 10 กันยายน 2552)

กลุ่มนเสื้อแดง นปช.เปิดโรงเรียนแดงทั้งแผ่นดิน



http://www.cbnpress.com

12 กย. 2552 12:14 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. แกนนำ นปช.นำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้เปิดโรงเรียนผู้ปฏิบัติการ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อผลิตครู วิทยากร เผยแพร่แนวคิดทางของกลุ่ม นปช.ไปทั่วประเทศ โดย นายจตุพร กล่าวว่า สำหรับการชุมนุมวันที่ 19 ก.ย. คาดว่าจะมีประชาชนเสื้อแดงมาชุมนุมประมาณ 1 แสนคน ซึ่งน่าจะล้นลานพระบรมรูปทรงม้าไปจนถึงหน้าบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ แต่นปช.ยังคงยืนยันจะชุมนุมโดยสันติวิธี และยุติชุมนุมในเวลา 24.00 น. อย่างแน่นอน

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ในช่วงค่ำจะต้องไปร่วมชุมนุมที่หน้าพักพล.อ.เปรม แต่มีข้อมูลจากตำรวจใกล้ชิดตนเอง แนะนำให้คนเสื้อแดงไปล้อมสำนักงาน ป.ป.ช. เพราะอยากพิสูจน์ว่า ถ้ามีม๊อบไปล้อม ป.ป.ช.แล้ว ป.ป.ช.จะขอความช่วยเหลือจากตำรวจอย่างไร และจะให้ตำรวจปราบปรามม๊อบหรือไม่

เสรีภาพสื่อ เสรีภาพประชาชน สมาคมสื่อมุดหัวอยู่ที่ใหน



โดย คำเกิ่ง แห่งทุ่งหมาหลง (กระทู้ที่ pantip.com รับไม่ได้)

สมัย รัฐบาลทักษิณเห็นเรียกร้องหาเสรีภาพกันจัง ขนาดข่าวทุกสำนักข่าวแทบจะโจมตีรัฐบาลอยู่ด้านเดียวแล้ว ก็ยังเรียกร้องเรื่องเสรีภาพสื่อจนดูน่าเกลียด ชนิดแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย แม้กระทั่งสำนักที่ไม่ได้กระทบอะไรกับเขาก็เข้าร่วมเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็น "คุกคามสื่อ คุกคามประชาชน" รัฐบาลแทรกแซงสื่อ บ้างหละ ทั้งๆที่ความเป็นจริง มันก็ออกข่าวโจมตีรัฐบาลทุกวันไม่ได้มีการแทรกแซงแต่อย่างใด มีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์รายการเดียวเท่านั้นแหละที่มีปัญหา เพราะพูดจาจาบจ้วงไม่เหมาะสม แต่ก็โหมโรงกันทุกสำนักจะเป็นจะตายให้ได้



มาวันนี้ รายการเอกซ์คลูซีฟ โดย จอม เพชรประดับ" ทางสถานีข่าว และสาระคลื่น 100.5 ของ อสมท. แค่มีเสียงโฟนอินของ พตท.ดร.ทักษิณ ออกอากาศเท่านั้นแหละ รัฐมนตรีเตี้ย หนองเตย เต้นเป็นจ้าวเข้า ทั้งออกข่าวผ่านสื่อต่าง ผ่าน twitter กดดันทั้งผู้อำนวยการสถานี ทั้งผู้จัดรายการ จนในที่สุด นาย จอม เพชรประดับ ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ก็ขอยุติรายการ เพื่อไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน เหตุการณ์นี้มันสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่รักทักษิณ และคนที่ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดจำนวนไม่น้อย แบบนี้ถือว่าคุกคามประชาชนหรือยัง แล้ววันนี้สมาคมสื่อเงียบเป็นเป่าสาก ใหนบอกว่า "คุกคามสื่อ คุกคามประชาชนไง" เนี่ยะไงคุกคามแล้ว แถลงการณ์สิ !!! หรือนายกสมาคมฯ เป็นใบ้ โธ่เอ๊ย..รู้เช่นเห็นชาติแล้วว่า ที่แท้ก็ทำเพื่อเฉพาะพรรคพวกตัวเองเท่านั้นแหละว๊า.. ทีหลังก็อย่าเอาประชาชนไปอ้างเลย มันหน้าด้านเกินไป



แล้วเตี้ย หนองเตยก็มาออกข่าวบอกว่า รัฐไม่ได้แทรกแซงสื่อ จอม เพชรประดับ แสดงความรับผิดชอบเอง เป็นเรื่องภายใน อสมท. อ้าวอ้ายเว...ระ แล้วที่เป็นข่าวอยู่ไม่ใช่ไปกดดันเขาหรอกหรือ การจัดรายการวิทยุ แล้วให้คนไทยคนหนึ่ง ที่เคยสร้างประโยชน์ให้บ้านเมืองพูดออกรายการมันผิดตรงใหน ต่อให้เชิญเป็นโจรมาพูดเลยหากการพูดนั้นไม่ใช่คำที่ผิดกฎหมาย พูดออกวิทยุมันผิดตรงใหน ถ้ามีเสรีภาพจริง เขาจะจัดรายการอย่างไร เชิญใครมาออกรายการก็เรื่องของเขาถ้าไม่มีอะไรผิดกฎหมาย คนฟังเขาเลือกฟังได้ถ้าไม่ดีไม่มีประโยชน์คนก็เลิกฟังไปเอง เหมือนกับรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทย แต่ไม่ไว้ใจอภิสุด" ไง ผมไม่อยากดูผมก็ไม่ดู ผมเลือกของผมเองได้ แต่ผมก็ไม่ได้เรียกร้องให้ปิด จะเป็นบ้านั่งพูดออกอากาศอยู่คนเดียวก็ทำไป



อยากถามเตี้ย หนองเตย ว่า ตกลงสื่อของรัฐจะนำเสนอข่าวสารหรือเรื่องราวเฉพาะฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพวกตน เท่านั้นใช่หมัย คนอื่นที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายตนจะรู้สึกอย่างไรช่างหัวมันใช่ไหม สื่อของรัฐมาจากภาษีของประชาชน ที่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นใช่หมัย ก็ออกกฏหมายใหม่มาเลยสิวะ ว่า คนเสื้อแดง คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล มีหน้าที่จ่ายภาษีอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์ดู ไม่มีสิทธิ์นำเสนอเรื่องราวหรือข่าวสารออกทางสื่อของรัฐที่ตนเองเป็นคนจ่าย ภาษีให้ และการเชิญแขกมาร่วมรายการถ้าไม่ใช่ เจิมสาก หรือ เสรี นะย๊ะ หรือนักวิชาเกิน ที่เป็นพันธมิตร ห้ามสถานีของรัฐเชิญมาออกรายการ ใช่หมัย



เกิดมาทั้งที หัดสร้างความดีซะบ้าง อย่างมุ่งแต่ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม จนลืมความถูกต้องชอบธรรม เด๋วกรรมมันจะตามสนอง เด๋ยวเกิดชาติหน้าจะเตี้ยกว่าเดิมอีก จริงๆผมก็ไม่ใช่คนสูงหรอกนะ แต่ก็พยายามทำความดี เกิดมาชาตินี้ก็ทำบุญและสร้างความดีไว้เยอะๆ เกิดชาติหน้าเผื่อจะได้สุงกับเขาบ้าง หากเตี้ยบางเตยจะทำแบบผมบ้างก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ไม่ถือว่าลอกการบ้านหรอก

ทักษิณจะผลิตเฮลิคอปเตอร์ แต่มาร์ค ส่งเด็กชายหม่องไปแข่งพับเครื่องบิน

โดย คำเกิ่ง แห่งทุ่งหมาหลง

วัน ก่อนนั่งชมการถ่ายทอดสดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรอยู่ ผมเกือบถีบทีวีทิ้งแล้ว กลัวจะเจ็บเท้าไปซะก่อนแต่อดใจไว้ถีบบักเตี้ยดีกว่า แม่เจ้าเว๊ย มันทำเกินไปแล้ว กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม กำลังมันส์ ช่องหอยม่วงตัดภาพไปยังผู้รายงานข่าวด้านนอกเฉยเลย เล่นกันทุกเม็ด เอาเปรียบกันทุกดอก แบบนี้เรื่องบริหารบ้านเมืองเรื่องเงินเรื่องทองก็คงจะไม่ใช้วิชามารแบบนี้ แหละมั๊งผมว่า http://www.youtube.com/watch?v=Hj29516AgKA&feature=player_embedded



ที่เอาเองนี้มาเปรียบเทียบ ผมต้องขออภัยเด็กชายหม่องด้วยนะครับ ผมไม่ได้อิจฉาเด็กชายหม่องหรอก และยินดีด้วยที่เห็นได้รับโอกาส และขอให้ได้รับชัยชนะกลับมา ถึงไม่ชนะก็ไม่เป็นไร ขอเป็นกำลังใจให้ครับ ถึงแม้เด็กชายหม่องจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามระเบียบของกฎหมาย หรือระเบียบกระทรวงมหาดไทยอย่างไรก็ตาม ถ้าเด็กชายหม่องเกิดในไทย ผมก็จะถือว่าเด็กชายหม่องคือคนไทย



ประเด็นมันมีอยู่ว่าในขณะที่นายอภิสุด เวทนาทีว่ะ ลุกขึ้นมาตอบกระทู้ของ รตอ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง แล้วบอกว่าไม่อยากเสียเวลา เพราะต้องรีบไปช่วยเด็กชายหม่องให้ได้ไปแข่งพับเครื่องบินกระดาษที่ต่าง ประเทศ ขณะพูดทำลอยหน้าลอยตา ท่าทางภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ถุ๊ยยยยยยยยยยยย อภิสุดเป็นนายกรัฐมนตรีนะครับ เขาเลือกให้มาเป็นนายก เลือกให้มาเป็นผู้นำเพื่อนำพาประเทศ คิดเรื่องใหญ่ๆเป็นหมัยครับ เรื่องแค่นั้น มันไม่ต้องถึงมือนายกก็ได้ครับ สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปสิ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษา ครูหยุย หรือ ปวีณา ก็เหมาะสมแล้ว

http://www.youtube.com/watch?v=RPqBp1aI6B0
เศรษฐกิจบ้านเมืองกำลังดิ่งเหว ภาคใต้กำลังร้อนเป็นไฟ วิกฤติสังคมแตกแยก แต่นายกมัวมาเล่นเรื่อง หมี เรื่อง เด็กตามหาพ่อ เรื่องเด็กแข่งพับกระดาษ อยู่อย่างนี้ ผมมองไม่เห็นทางที่บ้านเมืองจะเจริญไปกว่านี้ได้ มีแต่ถอยหลังอย่างเดียว



วิสัยทัศน์ ของนายอภิสุด เวทนาทีว่ะ มันช่างห่างชั้นกันเหลือเกินกับท่านทักษิณ ซึ่งล่าสุดกำลังวางแผนทำการลงทุนผลิตเฮลิคอปเตอร์ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่สุดในโลก ทักษิณคิดอะไรมาแต่ละอย่าง มันมองเห็นความเจริญก้าวหน้า มันมองเห็นความสำเร็จ เหมาะที่จะฝากประเทศชาติใว้ให้เป็นคนบริหาร และเหมาะที่จะให้เป็นผู้นำพาประเทศเป็นอย่างยิ่ง

http://www.youtube.com/watch?v=CInZEIJSQBs



นายอภิสุด เวทนาทีว่ะ ครับ คุณไม่เหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศไทยครับ เพราะความคิดความอ่าน วิสัยทัศน์ของคุณไม่เหมาะ คุณคิดการใหญ่ไม่เป็น บริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ ขาดภาวะผู้นำ ไม่น่าไว้วางใจให้เป็นผู้นำพาประเทศนี้ เพราะคุณเหมาะที่จะไปเป็นครูสอนโรงเรียนอนุบาล หรืออย่างเก่งก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเท่านั้นเองแหละครับ เลิกสอนแล้วก็ไปหารายได้พิเศษแสดงตลกตามคาเฟ่เหมาะกว่า ผมว่ายุบสภาเถอะครับ อย่าถ่วงความเจริญของบ้านเมืองต่อไปอีกเลย

12 กันยายน, 2552

ชนชั้นกลางกับปรากฏการณ์เสื้อแดง

คอลัมน์ มองซ้ายมองขวา

โดย อภิชาต สถิตนิรามัย apichat@econ.tu.ac.th





"บัด นี้เรากำลังเผชิญกับความตื่นตัวทางการเมืองของคนชั้นกลางระดับล่างในชนบท (และในเมืองด้วย) และความตื่นตัวทางการเมืองของคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไปในเขตเมือง ทั้งสองฝ่ายมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร และทั้งสองฝ่ายต่างมีสำนึกถึงความจำเป็นในวิถีชีวิตที่จะต้องเข้ามามีส่วน ร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะ...ตราบเท่าที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุ ระบบการเมือง ที่เปิดให้การมีส่วนร่วมของตนเป็นไปได้ในระดับที่ต่างฝ่ายต่างพอใจ (แม้อาจไม่เท่าเทียมกัน) การเมืองไทยก็จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่ไม่มีทางออกอย่างที่เราเผชิญอยู่ เวลานี้"

ข้อความข้างต้นคัดมาจากบทความสี่ตอนจบของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ชื่อ "การปรับระบบการเมือง" ซึ่งพิมพ์ในมติชนรายวัน เมื่อประมาณกลางเดือนกันยายน 2551 โดยสรุปนั้น นิธิเห็นว่า วิกฤตการเมืองในรอบหลายปีมานี้ ไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันแค่เป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำสองกลุ่ม (เช่น ทักษิณ VS ชนชั้นนำตามประเพณี) แต่เป็นบทสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองในรอบหลายสิบปีที่ ผ่านมา มันเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกลางระดับล่างทั้งในเมืองและชนบท (ส่วนใหญ่มวลชนเสื้อแดง ?) กับชนชั้นกลางเก่าในเขตเมือง (ส่วนใหญ่ของเสื้อเหลือง ?)

นิธิเชื่อว่าชนชั้นกลางระดับล่างคือคน จำนวนมากที่สุดของสังคมเราในปัจจุบัน ไม่ใช่คนจนดักดานเช่นในอดีตอีกต่อไป คนชั้นกลางระดับล่างก็คือคนที่ใช้จ่ายวันละ 68-136 บาทขึ้นไป ในขณะที่คนจนคือคนที่มีรายได้ต่ำกว่าวันละ 34 บาท คนชั้นกลางระดับล่างก็คือคนที่ซื้องานให้ตนเองด้วยการลงทุนเป็นนักธุรกิจราย ย่อย เช่น รับทำผมแต่งหน้า ขายของชำ ขายก๋วยเตี๋ยว เข้าเมืองเป็นซาเล้ง ขายลอตเตอรี่ ทำรถกับข้าวตามซอย ฯลฯ ส่วนใหญ่มีรายได้จากงานจ้างและธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมีรายได้มากกว่าคนจน แต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเกี่ยวโยงกันกับนโยบายของรัฐบาล มากกว่าการพึ่งพาธรรมชาติและความสัมพันธ์ที่ดีทางสังคมอย่างที่เคยเป็น

หาก สมมุติฐานที่นิธิเสนอว่า คนชั้นกลางระดับล่างเป็นคนส่วนข้างมากเป็นจริงแล้ว ก็แสดงว่าผู้คนส่วนใหญ่ในชนบทไม่ได้เป็น "ชาวนา-ชาวไร่" ผู้ยากจน หรือเป็น "ชาวบ้าน" ใน "หมู่บ้าน" อีกต่อไปแล้ว ซึ่งแปลว่าความเข้าใจของ "คนชั้นกลางเก่า" ต่อภาพในชนบทนั้นห่างไกลจากความเป็นจริงยิ่งนัก หรือพูดอีกแบบคือ วิถีชีวิตที่ผูกพันกับการเกษตรทั้งในแง่เศรษฐกิจและสังคม ไม่ใช่วิถีชีวิตหลักในชนบทอีกต่อไป ภาพสะท้อนถัดมาก็คือชุมชนชนบทจะไม่เป็นไปตามชุมชนในจินตกรรมของชนชั้นกลาง เก่าแบบโหยหาอดีต ที่วาดภาพของชุมชนชนบทว่าเป็นชุมชนเข้มแข็ง พอเพียง ช่วยเหลือเกื้อกูล มีน้ำใจ สงบสันติ อีกต่อไป แม้ว่าภาพหมู่บ้านงดงาม เงียบสงบริมท้องทุ่ง จะยังคงปรากฏในเชิงกายภาพอยู่บ้างก็ตาม แต่ในไส้ในแล้ว ภาพในจินตกรรมนี้กลับไม่มีอยู่จริง เช่นเดียวกับความเชื่อ หรือการถูกทำให้เชื่อของชนชั้นกลางเก่าที่วาดภาพด้านลบของ "ชาวบ้าน" ว่า โง่ ขาดการศึกษา ขาดข้อมูล ยากจน จึงถูกซื้อได้ง่ายๆ ด้วยเศษเงินซื้อเสียงของนักการเมืองชั่วๆ โดยไม่รู้หรือไม่สนใจว่านักการเมืองจะโกงกิน หรือทำร้ายประเทศอย่างไรบ้าง ภายหลังจากการได้รับเลือกตั้ง ดังนั้น "การเมืองใหม่" จึงต้องเป็นการเมืองแบบ 70/30 เพราะชาวบ้านโง่เกินไปที่จะรู้ทันนักการเมืองชั่วๆ ทั้งหลาย

บท ความเกี่ยวกับภาคเกษตรกรรมสองบทของอัมมาร สยามวาลา ซึ่งเขียนในปี 2539 และ 2542 ให้ภาพที่ไม่ขัดแย้งกับสมมุติฐานของนิธิ โดยในบทความแรกเสนอว่า เราอาจแบ่งเกษตรกรออกได้เป็นสองแบบคือ หนึ่ง เป็นเกษตรกร "สมัครเล่น" ซึ่งมักจะเป็นคนมีอายุ ใช้วิธีการเกษตรแบบเก่า ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนโง่หรือล้าหลัง แต่เป็นเพราะแหล่งผลประโยชน์หลักของเขาอยู่นอกภาคเกษตร หรืออาจเป็นเพราะเขาแก่เกินไปกว่าที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ตนคุ้นเคย "มือสมัครเล่น" เหล่านี้จึงอยู่ได้ด้วยเงินที่ส่งมาจุนเจือครอบครัวของลูกหลานที่ทำงานถาวร นอกภาคเกษตร และอัมมารคาดว่าเกษตรกรแบบนี้จะหมดความสำคัญไปในหนึ่งชั่วคน (บัดนี้บทความชิ้นนี้มีอายุ 13 ปีแล้ว) ส่วนเกษตรแบบที่สอง ก็คือพวก "มืออาชีพ" ซึ่งเป็นเกษตรกรที่ใช้เทคนิคและทักษะสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการเกษตรที่ประหยัดแรงงาน และจะเป็นกลุ่มที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เข้าแทนที่พวกมือสมัครเล่น

บท ความที่สอง ซึ่งอัมมารพยายามวาดภาพการเปลี่ยนแปลงของภาคการเกษตรในช่วงก่อนวิกฤต เศรษฐกิจ 2540 เขาเสนอว่าปี 2533 เป็นครั้งแรกที่จำนวนแรงงานในภาคเกษตรลดลง และลดลงถึง 16.1% ในช่วงปี 2533-2539 หากดูลงไปในกลุ่มอายุจะพบว่า ช่วงอายุของแรงงานเกษตรที่ลดลงมากที่สุด คือกลุ่มอายุ 15-35 ปี ซึ่งลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งในช่วงปี 2535-2539 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแรงงานรุ่นเยาว์จำนวนมากที่ออกจากภาคเกษตรนี้ ผันตัวเองไปเป็นนักเรียน นักศึกษา และจะกลายไปเป็นแรงงานนอกภาคเกษตรอย่างถาวรต่อไป กำลังแรงงานที่ลดลงนี้ทำให้ค่าจ้างภาคเกษตรสูงขึ้น แต่ก็ยังสูงไม่เพียงพอที่จะดึงคนกลับเข้าภาคเกษตร ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน เกษตรกรจึงหันไปใช้เครื่องจักรการเกษตรทดแทนแรงงานมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าขนาดของไร่นาโดยเฉลี่ยในอนาคตจะใหญ่ขึ้น เนื่องจากคนรุ่นหนุ่มไม่กลับเข้าสู่ภาคเกษตร ซึ่งก็เป็นภาพที่สอดคล้องกับการแตกตัวเป็นเกษตรกร "มืออาชีพ" ข้างต้น

ตัว เลขที่มีนัยมหาศาลจากบทความนี้คือ ครอบครัวในชนบทที่มีสัดส่วนของรายได้จากภาคเกษตรมากกว่า 50% ลดลงจาก 44.4% เหลือ 29.1% ของครอบครัวชนบททั้งหมด ในช่วงปี 2533-2537 ซึ่งเป็นการลดลงที่รวดเร็วมาก เมื่อเทียบกับการลดลงจาก 59.9% ในปี 2518 เหลือ 44.4% ในปี 2533 กล่าวคือการลดลงประมาณร้อยละ 15 ในช่วงก่อนใช้เวลาถึง 15 ปี แต่ใช้เวลาเพียง 5 ปีในช่วงหลังเท่านั้น อย่าลืมว่าตัวเลข 29.1% หรือไม่ถึงหนึ่งในสามของครอบครัวชนบทนี้ เป็นตัวเลขในปี 2537 ตัวเลขนี้ย่อมต้องน้อยลงไปอีกมากในปัจจุบัน

หาก เราดูข้อมูลจุลภาคของหมู่บ้านสองแห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่อยู่ใกล้ กับนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะไม่ใช่ภาพตัวแทนของหมู่บ้านชนบททั้งหมดของไทย แต่เป็นตัวแทนที่ดีของการเปลี่ยนผ่านของสังคมชนบท เมื่อชุมชนชนบทปะทะประสานเข้ากับสังคมอุตสาหกรรม เราพบว่าวิถีชีวิตของสองชุมชนนี้มิใช่สังคมเกษตรกรรมอีกต่อไป ดูได้จากตัวเลขที่ระบุว่า 98% และเกือบ 100% ของประชากรในสองหมู่บ้านนี้ ถ้าไม่เป็นนักเรียนก็มีอาชีพนอกภาคเกษตร (ดูกราฟฟิก)

ดังนั้นครอบ ครัวชนบทมากกว่าสองในสาม และสองชุมชนในอยุธยานี้ จึงไม่สามารถเป็นภาพแทนตนของ "หมู่บ้าน" ในจินตกรรมที่มีวิถีชีวิตบนฐานเกษตรกรรม ตามที่ชนชั้นกลางเก่าเข้าใจได้อีกต่อไป หรือหากเป็นครอบครัวเกษตรกรรมก็จะเป็นเกษตรกร "มืออาชีพ" ที่ไม่ใช้เศรษฐกิจ "พอเพียง" อีกเช่นกัน ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในชนบทจึงมีวิถีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของ เศรษฐกิจแบบทุนนิยมและนโยบายของรัฐบาล ในแบบที่ไม่ต่างจากวิถีชีวิตของชนชั้นกลางเก่าในเมืองเลย แต่ชนชั้นกลางเก่ากลับมองว่า "พี่น้องในชนบทยากจนไร้การศึกษา จึงสมควรแก่นโยบายสาธารณะประเภทสาธารณกุศล คือช่วยเขาหรือช่วยเขาเพื่อให้เขาช่วยตัวเองได้ แต่การที่จะให้คนในชนบทลุกขึ้นมาใช้สิทธิทางการเมือง เพื่อร่วมกำหนดนโยบายสาธารณะด้วยนั้น อยู่นอกเหนือมโนภาพของคนชั้นกลางในเขตเมือง"

ตราบใดที่ชนชั้นกลาง เก่าและสื่อมวลชนของเขา (สื่อกระแสหลักเกือบทั้งหมดในปัจจุบัน) ยังคงปิดตา ปิดหู ไม่ยอมเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดพลังสังคมกลุ่มใหม่ขึ้นแล้ว ตราบนั้นเขาจะไม่เข้าใจ "ปรากฏการณ์เสื้อแดง" และจะตกอยู่ในกับดักของการอธิบายความขัดแย้งทางการเมืองว่าเป็นความขัดแย้ง ส่วนบุคคลในหมู่ชนชั้นนำเท่านั้น ซึ่งจะไม่ช่วยให้สังคมเราสามารถหาทางออกจากวิกฤตการเมืองได้