http://www.sameskybooks.org
ภาพการต่อสู้อย่างที่เรียกว่า “สู้ยิบตา” ของประชาชนมือเปล่าที่สวมเสื้อสีแดง กับกองทหารที่เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธร้ายแรง
แม้สุดท้ายกลุ่มประชาชนสวมเสื้อสีแดงจะถูกสลายการชุมนุมไปเรียบร้อยแล้วนั้น
เป็นบทพิสูจน์ความจริงว่า
พวกเขาไม่ได้เป็นม็อบรับจ้าง หรือม็อบเติมเงินอย่างที่ถูกกล่าวหา ใส่ร้ายมาตลอดเวลา
แท้จริงประชาชนผู้สวมเสื้อสีแดง ไปรวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยความรู้สึกและอุดมการณ์ที่ตรงกัน
ฉะนั้น แม้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะถูกสลายไป แต่ข้อเรียกร้องของพวกเขาจึงยังคงมีความชอบธรรมอยู่ ตามวิถีแห่งประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลที่รัฐบาลไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า มวลมหาประชนคนเสื้อแดงนั้น คือประชาชนคนไทย ผู้ซึ่งใช้สิทธิในการชุมนุมเรียกร้องตามวิถีของประชาธิปไตย
รัฐบาลสามารถสลายการชุมนุมเรียกร้องของพวกเขาได้สำเร็จ
แต่ไม่สามารถสลายความคิด ความรู้สึก ที่อยู่ในสมองและจิตใจของพวกเขาได้
ตรงข้ามกลับตอกย้ำความคิด ความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลของพวกเขา ให้ฝังลึกลงไปและเกลียดชังรัฐบาลยิ่งขึ้น
นั่นดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดนักของรัฐบาล
สำหรับมหาชนคนเสื้อแดงแล้ว การต่อสู้เรียกร้องของพวกเขาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2552 ที่เพิ่งผ่านมานั้น คงให้บทเรียนกับพวกเขาไม่น้อย
ทำไมพวกเขาจึงถูกสลายการชุมนุมได้โดยง่าย??
กล่าวได้ว่าการชุมนุมเรียกร้องของคนเสื้อแดงในครั้งนี้
สุดท้ายต้องพบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ข้อเรียกร้องไม่ได้รับการใส่ใจจากรัฐบาล กลับถูกสลายการชุมนุม
ซ้ำแกนนำถูกจับกุม คนเสื้อแดงเองก็มีบาดเจ็บล้มตาย
เหตุแห่งความพ่ายแพ้ของพวกเขาเกิดจากการขาดกลยุทธ์ที่ดี และไม่มีระเบียบวินัย
ม็อบเสื้อแดงส่วนใหญ่ เกิดจากความไม่เป็นธรรมของสังคม
เกิดจากความสองมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมายของชนชั้นปกครอง
เป็นเหตุแห่งความไม่พอใจ ทำให้สามารถขยายแนวร่วม และเติบโตอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลั่งไหลมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก
กลายเป็นม็อบเสื้อแดงที่ปราศจากระเบียบ และขาดประสบการณ์
การปราศรัยของเหล่าแกนนำ เน้นไปในทิศทางตอกย้ำ โจมตีรัฐบาลและองคมนตรีบางท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาชนคนเสื้อแดงทราบดีอยู่แล้วทั้งสิ้น
ยังความสะใจและยิ่งเพิ่มความชิงชังให้กับเหล่ามหาชนคนเสื้อแดงยิ่งขึ้น
..........................................
เหล่า แกนนำวางแผนการต่อสู้เรียกร้องอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อทำข้อเรียกร้องให้สำฤทธิ์ผล ได้ไม่ค่อยจะทะลุปรุโปร่งดีนัก (อาจจะเนื่องจากขาดประสบการณ์ในการควบคุมมวลชนขนาดใหญ่)
เหล่าแกนนำไม่เน้นความสำคัญในด้านกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่ชัยชนะ
จึงไม่เน้นปลูกฝังกลยุทธ์ลงไปสู่มวลมหาชนคนเสื้อแดง ก่อนที่จะเปิดศึก
เมื่อแกนนำเห็นมหาชนคนเสื้อแดงจำนวนมหาศาล หลั่งไหลมารวมตัวกันในวันที่ 8 เม.ย.
ก็เกิดความฮึกเหิม นึกถึงชัยชนะสถานเดียว
รุ่งขึ้นอีกวันก็เปิดศึก ดาวกระจายมหาชนคนเสื้อแดงกดดันรัฐบาลยังสถานที่ต่างๆ
ซึ่งนั่นเท่ากับการเปิดศึกโดยการส่งทหารที่ปราศจากระเบียบวินัยออกสู่สนามรบ
แถมยังไร้ซึ่งแผนการที่ดีเท่าที่ควร
โดยหลักของสงคราม แม้กำลังน้อย หากมีระเบียบวินัยเข้มแข็ง ประกอบกับกลยุทธ์ที่ดีกว่า อาจสามารถทำการชนะข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าได้
ในทางตรงข้าม แม้มีกำลังมาก หากขาดระเบียบ อีกทั้งปราศจากกลยุทธ์ที่ดี
ย่อมพบกับความปราชัย
เมื่อแกนนำไม่บอกกล่าวเน้นย้ำในด้านกลยุทธ์ที่ดีและถูกต้อง
ฉะนั้นการรบของคนเสื้อแดงจึงเป็นไปในรูปแบบแค่รวมตัวกันยกพลไป
เมื่อถึงสนามรบใครใคร่จะทำอะไร ก็ทำกันตามอำเภอใจ ยากแก่การควบคุม
เมื่อจุดอ่อนของกองทัพเสื้อแดงเป็นดังกล่าว
การโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ที่วางแผนสอดแทรกการกระทำอันเป็นการใส่ร้าย
เพื่อสร้างภาพเชิงลบให้มหาชนคนเสื้อแดง จึงเข้าเป้าได้ผล ทุกดอก ทุกเม็ด
ประกอบกับความพร้อมของสื่อต่างๆ ที่พร้อมจะนำเสนอข่าวสารเชิงลบนั้นให้กับคนเสื้อแดง
ทำให้การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ดูเหมือนยิ่งสู้ ยิ่งอ่อนแอ ยิ่งสู้ดูเหมือนยิ่งเล็กลง
และถูกล้อมกรอบ จนต้องสลายไปในที่สุด
การต่อสู้เพื่อชัยชนะนั้น ภาพที่ออกมาควรจะเป็นยิ่งสู้ ยิ่งเข้มแข็ง
ยิ่งสู้ม็อบจะต้องยิ่งสามารถขยายแนวร่วมได้เพิ่มขึ้น คือยิ่งสู้ ยิ่งใหญ่ขึ้น
นั่นจึงเป็นสงครามมวลชลแท้จริง ที่จะนำพาไปสู่ชัยชนะในที่สุด
ความสองมาตรฐานของฝ่ายตรงข้าม
ทำให้ผู้คนที่รักความยุติธรรมไม่พอใจ และเห็นใจคนเสื้อแดง
เป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเสื้อแดงสามารถขยายแนวร่วมและเติบโตได้อย่างรวดเ
ร็ว
เหตุผลดังกล่าว น่าที่จะถูกนำมาพิจรณาในการกำหนดกลยุทธ์
..................................
อีกทั้งเสื้อแดงต้องสำนึกว่า กำลังต่อสู้กับใคร? และคู่ต่อสู้มีคุณสมบัติอย่างไร?
สิ่งเหล่านี้ล้วนควรถูกนำมาพิจรณาในการกำหนดกลยุทธ์ทั้งสิ้น จึงจะเรียกว่ารู้เขา รู้เรา
คนเสื้อแดงคือประชาชนซึ่งปราศจากอาวุธ เมื่อต้องเผชิญกับกองกำลังติดอาวุธอย่างทหาร
ยุทธวิธีที่ถูกต้องสำหรับผู้อ่อนแอกว่า คือต้องถอยครับ ไม่ใช่ตั้งรับ หรือปะทะ
ซ้ำการถอยหรือการสลายตัว ต้องทำอย่างมีระเบียบแบบแผน
จะต้องเป็นการถอยหรือสลายตัวที่พร้อมจะรวมตัวทำการรุกกลับได้ทุกเมื่อ
เหมือนน้ำในแอ่ง เมื่อถูกกวาดออกไป ก็พร้อมที่จะไหลกลับมารวมตัวกันใหม่ได้อีก
ยุทธวิธีนี้ คอมมิวนิตส์เคยใช้ได้ผล และสร้างความปวดหัวให้กับทหารมาแล้ว
เขาเรียกว่า “มึงมาข้ามุด มึงหยุดข้าแหย่ มึงแย่ข้าตี”
สงครามมวลชน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยึดพื้นที่ และต้องรักษาไว้จนตัวตาย
สงครามมวลชน สิ่งที่ต้องยึดและรักษาไว้คือ “ความชอบธรรม”
อันจะเป็นประโยชน์ในการขยายแนวร่วม
กลยุทธ์ที่ใช้จึงต้องเป็นไปในลักษณะการสร้างภาพเชิงบวก
งดเว้นการกระทำใดๆอันจะก่อให้เกิดภาพเชิงลบขึ้น
ยก ตัวอย่าง มีเสื้อแดง 10 คน ทำการยึดรถเมล์มาเพื่อจะเผา แต่มีเสื้อแดง 50 คน ช่วยกันจับเสื้อแดง 10 คนนั้นมาสอบสวนว่าทำไมจึงทำอย่างนั้น เป็นเสื้อแดงเทียมที่ปลอมตัวมาสร้างความรุนแรงอันเป็นภาพเชิงลบหรือไม่?
หาก ใช่จับตัวแถลงข่าวและส่งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หากเป็นแดงแท้แต่กระทำการหุนหันพลันเล่นด้วยอารมณ์ ก็ทำการตักเตือนและให้แนวคิดและกลยุทธ์ที่ถูกต้อง คืนรถเมล์เขาไป
ดังนี้เป็นการยากที่จะมีใครมาสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายได้
และจะเป็นฝ่ายที่ยืนอยู่บนความชอบธรรม
อีกประการเคยให้ความเห็นเรื่องสื่อไว้ว่า
เบื้องแรกการปกปิดและบิดเบือนข่าวของสื่อ เป็นผลดีกับคนเสื้อแดง
เพราะจะสร้างความไม่พอใจให้กับผู้คน ทำให้เสื้อแดงสามารถขยายแนวร่วมได้ง่าย
แต่ในเบื้องปลาย คือเมื่อเปิดศึก หากยังปล่อยให้สื่อถูกควบคุมโดยฝ่ายตรงข้าม
และยังทำการปกปิดและบิดเบือนข่าวอย่างไม่เป็นกลาง
จะเป็นเหตุไปสู่การนองเลือด
เหตุที่แสดงความเห็นเสียยืดยาว เพราะทราบดีว่า สงครามยังไม่จบ
ยังคงมียกที่สองรออยู่ข้างหน้า
จึงหวังว่าความเห็นที่แสดงนี้น่าจะเป็นสาระ เป็นประโยชน์กับคนเสื้อแดงต่อไป
ภาพการต่อสู้อย่างที่เรียกว่า “สู้ยิบตา” ของประชาชนมือเปล่าที่สวมเสื้อสีแดง กับกองทหารที่เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธร้ายแรง
แม้สุดท้ายกลุ่มประชาชนสวมเสื้อสีแดงจะถูกสลายการชุมนุมไปเรียบร้อยแล้วนั้น
เป็นบทพิสูจน์ความจริงว่า
พวกเขาไม่ได้เป็นม็อบรับจ้าง หรือม็อบเติมเงินอย่างที่ถูกกล่าวหา ใส่ร้ายมาตลอดเวลา
แท้จริงประชาชนผู้สวมเสื้อสีแดง ไปรวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยความรู้สึกและอุดมการณ์ที่ตรงกัน
ฉะนั้น แม้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะถูกสลายไป แต่ข้อเรียกร้องของพวกเขาจึงยังคงมีความชอบธรรมอยู่ ตามวิถีแห่งประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลที่รัฐบาลไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า มวลมหาประชนคนเสื้อแดงนั้น คือประชาชนคนไทย ผู้ซึ่งใช้สิทธิในการชุมนุมเรียกร้องตามวิถีของประชาธิปไตย
รัฐบาลสามารถสลายการชุมนุมเรียกร้องของพวกเขาได้สำเร็จ
แต่ไม่สามารถสลายความคิด ความรู้สึก ที่อยู่ในสมองและจิตใจของพวกเขาได้
ตรงข้ามกลับตอกย้ำความคิด ความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลของพวกเขา ให้ฝังลึกลงไปและเกลียดชังรัฐบาลยิ่งขึ้น
นั่นดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดนักของรัฐบาล
สำหรับมหาชนคนเสื้อแดงแล้ว การต่อสู้เรียกร้องของพวกเขาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2552 ที่เพิ่งผ่านมานั้น คงให้บทเรียนกับพวกเขาไม่น้อย
ทำไมพวกเขาจึงถูกสลายการชุมนุมได้โดยง่าย??
กล่าวได้ว่าการชุมนุมเรียกร้องของคนเสื้อแดงในครั้งนี้
สุดท้ายต้องพบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ข้อเรียกร้องไม่ได้รับการใส่ใจจากรัฐบาล กลับถูกสลายการชุมนุม
ซ้ำแกนนำถูกจับกุม คนเสื้อแดงเองก็มีบาดเจ็บล้มตาย
เหตุแห่งความพ่ายแพ้ของพวกเขาเกิดจากการขาดกลยุทธ์ที่ดี และไม่มีระเบียบวินัย
ม็อบเสื้อแดงส่วนใหญ่ เกิดจากความไม่เป็นธรรมของสังคม
เกิดจากความสองมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมายของชนชั้นปกครอง
เป็นเหตุแห่งความไม่พอใจ ทำให้สามารถขยายแนวร่วม และเติบโตอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลั่งไหลมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก
กลายเป็นม็อบเสื้อแดงที่ปราศจากระเบียบ และขาดประสบการณ์
การปราศรัยของเหล่าแกนนำ เน้นไปในทิศทางตอกย้ำ โจมตีรัฐบาลและองคมนตรีบางท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาชนคนเสื้อแดงทราบดีอยู่แล้วทั้งสิ้น
ยังความสะใจและยิ่งเพิ่มความชิงชังให้กับเหล่ามหาชนคนเสื้อแดงยิ่งขึ้น
..........................................
เหล่า แกนนำวางแผนการต่อสู้เรียกร้องอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อทำข้อเรียกร้องให้สำฤทธิ์ผล ได้ไม่ค่อยจะทะลุปรุโปร่งดีนัก (อาจจะเนื่องจากขาดประสบการณ์ในการควบคุมมวลชนขนาดใหญ่)
เหล่าแกนนำไม่เน้นความสำคัญในด้านกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่ชัยชนะ
จึงไม่เน้นปลูกฝังกลยุทธ์ลงไปสู่มวลมหาชนคนเสื้อแดง ก่อนที่จะเปิดศึก
เมื่อแกนนำเห็นมหาชนคนเสื้อแดงจำนวนมหาศาล หลั่งไหลมารวมตัวกันในวันที่ 8 เม.ย.
ก็เกิดความฮึกเหิม นึกถึงชัยชนะสถานเดียว
รุ่งขึ้นอีกวันก็เปิดศึก ดาวกระจายมหาชนคนเสื้อแดงกดดันรัฐบาลยังสถานที่ต่างๆ
ซึ่งนั่นเท่ากับการเปิดศึกโดยการส่งทหารที่ปราศจากระเบียบวินัยออกสู่สนามรบ
แถมยังไร้ซึ่งแผนการที่ดีเท่าที่ควร
โดยหลักของสงคราม แม้กำลังน้อย หากมีระเบียบวินัยเข้มแข็ง ประกอบกับกลยุทธ์ที่ดีกว่า อาจสามารถทำการชนะข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าได้
ในทางตรงข้าม แม้มีกำลังมาก หากขาดระเบียบ อีกทั้งปราศจากกลยุทธ์ที่ดี
ย่อมพบกับความปราชัย
เมื่อแกนนำไม่บอกกล่าวเน้นย้ำในด้านกลยุทธ์ที่ดีและถูกต้อง
ฉะนั้นการรบของคนเสื้อแดงจึงเป็นไปในรูปแบบแค่รวมตัวกันยกพลไป
เมื่อถึงสนามรบใครใคร่จะทำอะไร ก็ทำกันตามอำเภอใจ ยากแก่การควบคุม
เมื่อจุดอ่อนของกองทัพเสื้อแดงเป็นดังกล่าว
การโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ที่วางแผนสอดแทรกการกระทำอันเป็นการใส่ร้าย
เพื่อสร้างภาพเชิงลบให้มหาชนคนเสื้อแดง จึงเข้าเป้าได้ผล ทุกดอก ทุกเม็ด
ประกอบกับความพร้อมของสื่อต่างๆ ที่พร้อมจะนำเสนอข่าวสารเชิงลบนั้นให้กับคนเสื้อแดง
ทำให้การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ดูเหมือนยิ่งสู้ ยิ่งอ่อนแอ ยิ่งสู้ดูเหมือนยิ่งเล็กลง
และถูกล้อมกรอบ จนต้องสลายไปในที่สุด
การต่อสู้เพื่อชัยชนะนั้น ภาพที่ออกมาควรจะเป็นยิ่งสู้ ยิ่งเข้มแข็ง
ยิ่งสู้ม็อบจะต้องยิ่งสามารถขยายแนวร่วมได้เพิ่มขึ้น คือยิ่งสู้ ยิ่งใหญ่ขึ้น
นั่นจึงเป็นสงครามมวลชลแท้จริง ที่จะนำพาไปสู่ชัยชนะในที่สุด
ความสองมาตรฐานของฝ่ายตรงข้าม
ทำให้ผู้คนที่รักความยุติธรรมไม่พอใจ และเห็นใจคนเสื้อแดง
เป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเสื้อแดงสามารถขยายแนวร่วมและเติบโตได้อย่างรวดเ
ร็ว
เหตุผลดังกล่าว น่าที่จะถูกนำมาพิจรณาในการกำหนดกลยุทธ์
..................................
อีกทั้งเสื้อแดงต้องสำนึกว่า กำลังต่อสู้กับใคร? และคู่ต่อสู้มีคุณสมบัติอย่างไร?
สิ่งเหล่านี้ล้วนควรถูกนำมาพิจรณาในการกำหนดกลยุทธ์ทั้งสิ้น จึงจะเรียกว่ารู้เขา รู้เรา
คนเสื้อแดงคือประชาชนซึ่งปราศจากอาวุธ เมื่อต้องเผชิญกับกองกำลังติดอาวุธอย่างทหาร
ยุทธวิธีที่ถูกต้องสำหรับผู้อ่อนแอกว่า คือต้องถอยครับ ไม่ใช่ตั้งรับ หรือปะทะ
ซ้ำการถอยหรือการสลายตัว ต้องทำอย่างมีระเบียบแบบแผน
จะต้องเป็นการถอยหรือสลายตัวที่พร้อมจะรวมตัวทำการรุกกลับได้ทุกเมื่อ
เหมือนน้ำในแอ่ง เมื่อถูกกวาดออกไป ก็พร้อมที่จะไหลกลับมารวมตัวกันใหม่ได้อีก
ยุทธวิธีนี้ คอมมิวนิตส์เคยใช้ได้ผล และสร้างความปวดหัวให้กับทหารมาแล้ว
เขาเรียกว่า “มึงมาข้ามุด มึงหยุดข้าแหย่ มึงแย่ข้าตี”
สงครามมวลชน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยึดพื้นที่ และต้องรักษาไว้จนตัวตาย
สงครามมวลชน สิ่งที่ต้องยึดและรักษาไว้คือ “ความชอบธรรม”
อันจะเป็นประโยชน์ในการขยายแนวร่วม
กลยุทธ์ที่ใช้จึงต้องเป็นไปในลักษณะการสร้างภาพเชิงบวก
งดเว้นการกระทำใดๆอันจะก่อให้เกิดภาพเชิงลบขึ้น
ยก ตัวอย่าง มีเสื้อแดง 10 คน ทำการยึดรถเมล์มาเพื่อจะเผา แต่มีเสื้อแดง 50 คน ช่วยกันจับเสื้อแดง 10 คนนั้นมาสอบสวนว่าทำไมจึงทำอย่างนั้น เป็นเสื้อแดงเทียมที่ปลอมตัวมาสร้างความรุนแรงอันเป็นภาพเชิงลบหรือไม่?
หาก ใช่จับตัวแถลงข่าวและส่งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หากเป็นแดงแท้แต่กระทำการหุนหันพลันเล่นด้วยอารมณ์ ก็ทำการตักเตือนและให้แนวคิดและกลยุทธ์ที่ถูกต้อง คืนรถเมล์เขาไป
ดังนี้เป็นการยากที่จะมีใครมาสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายได้
และจะเป็นฝ่ายที่ยืนอยู่บนความชอบธรรม
อีกประการเคยให้ความเห็นเรื่องสื่อไว้ว่า
เบื้องแรกการปกปิดและบิดเบือนข่าวของสื่อ เป็นผลดีกับคนเสื้อแดง
เพราะจะสร้างความไม่พอใจให้กับผู้คน ทำให้เสื้อแดงสามารถขยายแนวร่วมได้ง่าย
แต่ในเบื้องปลาย คือเมื่อเปิดศึก หากยังปล่อยให้สื่อถูกควบคุมโดยฝ่ายตรงข้าม
และยังทำการปกปิดและบิดเบือนข่าวอย่างไม่เป็นกลาง
จะเป็นเหตุไปสู่การนองเลือด
เหตุที่แสดงความเห็นเสียยืดยาว เพราะทราบดีว่า สงครามยังไม่จบ
ยังคงมียกที่สองรออยู่ข้างหน้า
จึงหวังว่าความเห็นที่แสดงนี้น่าจะเป็นสาระ เป็นประโยชน์กับคนเสื้อแดงต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น