CBOX เสรีชน

13 เมษายน, 2552

บันทึกสลายการชุมนุมรอบแรก –สามเหลี่ยมดินแดง อรุณรุ่งสงกรานต์เลือด

ความวุ่นวายในช่วงเช้ามืดที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเกิดขึ้นราวตีสามกว่า ซึ่ง ไม่มีนักข่าวอยู่ในพื้นที่มากนัก เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นจุดหนึ่งในบรรดาหลายจุดที่มีการตั้งด่านสกัดเจ้า หน้าที่เพื่อไม่ให้เข้ามาสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงซึ่งจุดใหญ่ที่สุด คือหน้าทำเนียบฯ รัฐบาล

ใน ช่วงตีสี่กว่า บริเวณทำเนียบ ผู้คนเริ่มตื่นตัว ทั้งเพราะฝนที่ตกลงมาและทั้งเพราะการประกาศจากแกนนำบนเวทีว่ามีการปราบที่ สามเหลี่ยมดินแดง บรรดาการ์ดที่อยู่ตามจุดต่างๆ ทั้งถนนราชดำเนินนอก สนามม้านางเลิ้ง เริ่มรวมตัวกันมากขึ้น และมีการ์ดที่มาจากดินแดงมาสมทบ ซึ่งเต็มไปด้วยข่าวคราวการปะทะ และการเสียชีวิตบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง

การ์ด เสื้อแดงสองสามคนให้สัมภาษณ์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดียืนยันว่า เขาเห็นกับตาว่ามีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 2 คนในบริเวณปะทะ และคนเสื้อแดงพยายามเข้าไปชิงร่างดังกล่าว แต่ทหารได้ล้อมไว้และยิงปืนขู่ ทำให้ไม่สามารถบุกเข้าไปได้ และทหารเป็นผู้ลากร่างนั้นขึ้นรถทหารไป ขณะที่ พ.อสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพ ยืนยันว่า ไม่มีผู้เสียชีวิต แม้ทหารใช้กระสุนจริงในการปราบปราม แต่ก็เป็นเพียงการยิงปืนขู่ขึ้นฟ้า

ที่ รามาธิบดีเป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในหลายๆ แห่งที่มีการส่งผู้ได้รับบาดเจ็บลำเลียงเข้ามา หกโมงกว่า หมอเหวง โตจิราการ อยู่ที่นั่น เพื่อสำรวจคนเจ็บและระบุว่ามีเกือบ 20 คน จากนั้นหมอเหวงและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเข้าไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บหนักยัง อีกตึกหนึ่งของโรงพยาบาล และทางโรงพยาบาลอนุญาตให้นักข่าวอยู่ด้านหน้าเท่านั้น สักครู่หนึ่งหมอเหวงกลับออกมาและยืนยันว่า ผู้บาดเจ็บเกือบทั้งหมดนั้นโดนกระสุนตามร่างกาย และผู้ที่บาดเจ็บหนักมี 2 ราย รายหนึ่งที่เขาเข้าไปเยี่ยมนั้น กระสุนเอ็ม 16 เจาะลำคอ สะโพก และเฉี่ยวศีรษะด้วย แต่ขณะนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว จากนั้นหมอเหวงจึงเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลราชวิถี

ครู่ ใหญ่ๆ ต่อมา ทางโรงพยาบาลรามาฯ จึงพิมพ์เอกสาร ระบุรายละเอียดผู้บาดเจ็บ ซึ่งขอปิดบังชื่อ เหมือนครั้งก่อนๆ เนื่องจากเกรงเหตุความไม่ปลอดของผู้บาดเจ็บ โรงพยาบาลระบุว่า

“แถลงการณ์ วันที่ 13 เมษายน จากการสลายการชุมนุมในช่วงเช้าวันที่ 13 เมษายน 2552 ปรากฏว่าได้มีผู้บาดเจ็บเข้มารับการรักษาตัวที่รพ.รามาธิบดี ตั้งแต่เวลา 05.00-6.10 น. จำนวน 24 ราย เป็นชาย 22 รายและหญืง 2 ราย โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องรับไว้ใน รพ. 2 รย จากบาดแผลที่ข้อเข่า 1 ราย และบาดแผลที่คอแขนและขาจากสะเก็ดระเบิด 1 ราย ที่เหลืออีก 22 ราย เป็นแผลเล็กน้อย ตามแขนขา 8 ราย และระคายเคืองตาและผิวหนังจากแก๊สน้ำตา 14 ราย จึงเรียนมาเพื่อทราบ .. รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รอง ผอ. รพ.รามาธิบดี”

จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้โทรสอบถามกับหมอเหวงอีกครั้งกับสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้า “ผมยืนยัน ก็ผมไปเยี่ยมด้วยตัวเองเลย นิติเวชของโรงพยาบาลก็เก็บกระสุนได้อยู่หลายนัด”

ถัดมาจากนั้น มีผู้ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งชื่อ “จิรัช” เดินกระเผกลงมาเพื่อจะขึ้นตุ๊กๆ ไปยังทำเนียบฯ ต่อ ทั้งที่สภาพของเขานั้น กางเกงเต็มไปด้วยเลือด และยังมีเลือดหยดย้อยลงมายังชายกางเกง เขาตอบนิ่งๆ ว่ายังไหว และยืนยันว่าหมอผ่ากระสุนออกให้แล้ว และเลือดที่ไหลจากบริเวณใกล้ๆ เป้านั้นแป็นเลือดค้างเก่า เขาออกไปจากโรงพยาบาล จนอีกพักใหญ่เขาถูกนำตัวกลับมาอีกครั้งโดยรถพยาบาลของหน่วยกู้ภัย

ที่โรงพยาบาลราชวิถี “วีระชัย บทมาตย์” เป็นหนึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับทหารในเช้ามืดนั้น เขาถูกยิงเข้าที่เท้าขวา และนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

เขาเล่าถึงเหตุการณ์ให้ฟังว่า ประมาณ ตีสามกว่า ที่เจ้าหน้าที่ทหารประมาณหนึ่งกองร้อยเข้ามาในพื้นที่ และโดยไม่ได้มีการประกาศเตือน แจ้ง แถลงไขอะไรแต่อย่างใด เหล่าทหารยิงแก๊สน้ำตาหลายนัดมายังกลุ่มผู้ชุมนุม พวกเขาชายฉกรรจ์ราว 10 กว่าคน ซึ่งเป็นด่านหน้าพยายามขว้างปาอิฐ หรืออะไรที่หาได้เพื่อตอบโต้ในระยะที่ประจันหน้ากันอยู่ห่างราว 50 เมตร จนกระทั่งมีการยิงปืนขึ้นฟ้า เขาว่าเห็นลูกไฟหลายลูกลอยขึ้นฟ้า จากนั้นไม่นาน เริ่มมีการปะทะครั้งที่สอง ครั้งนี้เขาสังเกตเห็นว่า ทหารมีจำนวนมากขึ้นมาก ได้ยินเสียงทหารนายหนึ่งตะโกนว่า ลุยเลย พวกนี้ไม่จงรักภักดี จากนั้นทหารจึงเคาะเกราะกันอย่างฮึกเหิม และเริ่มวิ่งเข้ามายังกลุ่มผู้ชุมนุม ปลายปืนไม่ได้เล็งขึ้นฟ้าแล้วแต่เล็งมายังคน ผู้ชุมนุมแตกกระเจิง มีเสียงปืนดังขึ้นโดยตลอด เขาถูกกระสุนเข้าที่เท้า ขณะที่มีคนโดนที่เข่าและลำตัวด้วย ระหว่างนั้น คนขับรถข่าวช่อง 3 ช่วยพยุงเขามายังเพื่อนเพื่อส่งโรงพยาบาล

“ตอนนนั้นผมเห็นฝั่งตรงข้าม มีทหารกำลังรุมกระทืบคนแก่ที่วิ่งไม่ทันด้วย” วีระชัยกล่าวและว่า เขาไม่เห็นนักข่าวทีวีแม้แต่ที่เดียวในเวลานั้น

“ผม เคยผ่านประสบการณ์บ้านสี่เสาครั้งแรก วันที่ 22 ก.ค. มันก็มีการปะทะกัน ก็นึกว่าจะไม่รุนแรง มีแต่แก๊สน้ำตากับสเปรย์พริกไทย ไม่นึกว่าเขาจะยิงประชาชน รู้เลยว่าประชิดเขาใกล้เกินไป แล้วก็มีแต่ก้อนอิฐ”

วี ระชัย เป็นคนมุกดาหารโดยกำเนิด แต่มาประกอบอาชีพขายอาหารริมทางอยู่แถวสระบุรี เขาปิดร้านมาชุมนุมตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 เม.ย. และอันที่จริงเขาเริ่มออกมาชุมนุมตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 นั่งรถเมล์ขึ้นลงสระบุรี -กรุงเทพฯ เป็นว่าเล่น

“ผมแค่อยากบอกว่า เราต้องการประชาธิปไตย แล้วเราก็จงรักภักดีต่อในหลวงด้วย เพราะเราเป็นคนไทย” วีระชัยกล่าว

กลับมาที่โรงพยาบาลรามาฯ อีกครั้ง “ทองสุข บุญเสริม” กำลังตามหาลูกสาว “นภาพร บุญเสริม” วัย 16 ปี เนื่องจากเข้าไปร่วมชุมนุมอยู่ที่สามแยกดินแดงด้วย ขณะที่ตัวเธอและสามีมาชุมนุมที่ทำเนียบฯ

“เขาอยู่บ้าน แต่ถ้ามีปิดถนนแถวนั้นทีไรก็จะออกมาดูทุกที วัยรุ่นที่นั่นเยอะ จะออกมาดู มาช่วยตลอด”

เธอเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ และพยายามกลั้นการร้องไห้ไว้จนถึงที่สุด “มันมีข่าวว่า คนที่โดนทหารยิงตาย มีเด็กวัยรุ่นผู้หญิงด้วยคนหนึ่ง ....... ถ้าตายก็ทำใจแล้ว แต่ขอให้ได้เห็นศพ”

“เราคนยากคนจน แต่เรารักประชาธิปไตย ทำไมต้องทำกันรุนแรง ยิงแก๊สน้ำตาก็พอแล้ว เด็กๆ วัยรุ่นทั้งแถวดินแดงที่ออกมา”

ทอง สุข และสามี เป็นพนักงาน กทม. คอยดูแลสวนรถไฟ เขาและเธอมาร่วมชุมนุมโดยตลอด เลิกงานก็มา ตีห้า หกโมงเช้าก็กลับไปทำงาน ไม่เคยได้นอนเต็มตื่นมาหลายคืน

ระหว่าง คุยฆ่าเวลา เพื่อไม่ให้เธอตึงเครียดจนเกินไปนัก เธอก็สามารถติดต่อกับลูกสาวได้ รอยยิ้มปรากฏเต็มใบหน้า เธอเล่าว่า ลูกสาวเธอหลบได้ และมีคนช่วยเหลือ “เขายิงเหมือนหมูเหมือนหมาเลยแม่ หนูไม่กลัวแล้ว” เธอพูดถึงคำบอกเล่าของลูกสาวเธอ

สถานการณ์ จากเช้ามืด สร้างความตึงเครียดให้กับผู้ชุมนุม กระทั่งลากยาวมาจนเกิดเหตุอีกครั้งในช่วงเที่ยงที่เดิม คราวนี้ สื่อมวลชนคอยจับตาดูโดยตลอด ...แต่ยังไม่มีใครรู้ว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างไร และข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้จะถูกคลี่คลายไปหรือไม่ เพียงใด

ไม่มีความคิดเห็น: